วันต่อมาเมื่อหวังซื่อทานอาหารเช้าแล้ว ก็จูงมือน้อยของผิงซั่นไปบ้านบุตรชายคนเล็ก
“อ้าว ผิงซั่นมาแล้ว” หลี่ซื่ออุ้มซิ่วจูเข้ามายิ้มและทักทาย
ซิ่วจูดิ้นอยู่ในอ้อมอกจนหลี่ซื่อปล่อยลงไปบนพื้น และวิ่งไปข้างกายผิงซั่น
“ผิงซั่น มา มา เล่นท่อนไม้ [1] กัน”
แต่ไหนแต่ไรมาซิ่วจูไม่เคยเรียกพี่ผิงซั่นเลย ไม่ว่าทุกคนจะปรับแก้ให้อย่างไร นางก็ไม่เรียก ในความเข้าใจของนาง ผิงซั่นกับนางล้วนเป็เด็กน้อยที่โตเท่ากัน ส่วนผิงอันและผิงซุ่นนั้นถึงจะเรียกพี่ชายเพราะโตกว่า
ท่อนไม้ของซิ่วจู เป็เจินจูตั้งใจให้หลู่โหย่วมู่ใช้เศษวัสดุไม้เหลือใช้มาทำขึ้นเป็พิเศษ ทำขึ้นเต็มหนึ่งตะกร้า เป็หนึ่งในของเล่นที่เด็กสองคนชอบมากที่สุด
“หรงเหนียง เจินจูล่ะ?”
“รดน้ำดอกไม้อยู่หลังบ้านเ้าค่ะ”
ชีวิตประจำวันของเจินจูใน่นี้ก็คือการรดน้ำดอกไม้ ฝึกคัดตัวอักษรและเลี้ยงซิ่วจู บ้างก็ทำงานเย็บปักถักร้อยด้วย
เมื่อหวังซื่อเห็นนาง นางกำลังใช้บัวรดน้ำที่ทำขึ้นจากไม้ มารดน้ำให้พืชไม้ดอกระย้าหลังบ้านอยู่
บัวรดน้ำชนิดนี้เป็ของทำเลียนแบบบัวรดน้ำในยุคปัจจุบัน แต่เปลี่ยนเป็ทำขึ้นจากไม้เท่านั้นเอง และเป็การฝากฝังให้หลู่โหย่วมู่ทำออกมาอีกเช่นเคย
รูปแบบหนึ่งอย่างที่เรียบง่ายสะดวกสบาย มีเพียงข้อบกพร่องเดียวคือ ค่อนข้างหนักมืออย่างมาก ใช้รดน้ำดอกไม้นานๆ เจินจูรู้สึกว่าแขนของตัวเองล้วนจะเบ่งกล้ามออกมาได้แล้ว
“ท่านย่า ท่านทานอาหารเช้ามาแล้วหรือเ้าคะ?” เจินจูเหลือบเห็นนาง จึงกล่าวทักทายขึ้น
รุ่งอรุณแสงแดดอบอุ่น ส่องกระทบอยู่บนกายอรชรของเด็กสาว ผิวขาวนวลผ่องราวหิมะอยู่ภายใต้แสงแดด ปรากฏให้เห็นความมันวาวจนแทบโปร่งแสงขึ้นไปอีก ใบหน้าสวยสง่ามีสีอ่อนๆ ราวดอกกล้วยไม้ในหุบเขา
หวังซื่อวิจารณ์อยู่ในใจ ชายหนุ่มล้ำเลิศแบบไหนที่จะเหมาะสมกับเจินจูของนางได้นะ
“ทานแล้ว” บนใบหน้าหวังซื่อเอ่อล้นไปด้วยรอยยิ้มที่รักใคร่เอ็นดู แล้วเดินเข้าไป “ปลูกพืชไม้ดอกมากมายเพียงนี้ รดน้ำล้วนต้องเปลืองแรงมากเลยนะนี่”
เฉลียงด้านหลังห้องโถงทั้งสองฝั่งเรียงรายเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้ ในแปลงปลูกดอกไม้นั้นได้เพาะพืชไม้ดอกนานาพันธุ์เรียงกันเต็มไปหมด พืชไม้ดอกที่ปลูกมากมายนี้ล้วนเป็โหยวอวี่เวยส่งมาจากเมืองหลวงทั้งสิ้น
อาศัยว่ามีน้ำแร่จิติญญา พืชไม้ดอกทั้งหมดล้วนเติบโตจนงอกงามคึกคักมีชีวิตชีวายิ่งนัก
พอถึงระยะที่ออกดอก ดอกไม้ล้วนบานจนเต็มลาน กลิ่นหอมลอยละล่องตามลมไปทั่วทั้งสวน
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ รดน้ำดอกไม้และผักไม่ใช่ว่าเหมือนกันหรือเ้าคะ” เจินจูยิ้มบางๆ ทุกวันนางล้วนว่างอย่างมาก ไม่หางานเล็กน้อยทำฆ่าเวลาจะได้อย่างไร
หวังซื่อมองไปรอบๆ ซ้ายขวาอยู่หลายที แล้วถึงเอ่ยกับนางด้วยเสียงแ่เบา “เจินจู ่นี้ท่านอาหงยู่ของเ้าไม่ได้พูดอะไรกับเ้าใช่ไหม?”
เป็ท่านอาหงยู่อีกแล้ว? เจินจูมองไปทางหวังซื่ออย่างประหลาดใจ หรือเื่ของนางกับฟางเสิงถูกพบเข้าอีกแล้ว?
“ไม่นะ ท่านอาหงยู่เกิดอะไรขึ้นหรือเ้าคะ?”
“เอ่อ... ไม่มีอะไร” เจินจูยังเป็แม่นางน้อยที่ยังไม่เป็ฝั่งเป็ฝา คงไม่เหมาะหากหวังซื่อจะแลกเปลี่ยนความคิดเื่การแต่งงานกับนาง
เจินจูกลอกตามองไปมาทีหนึ่งจึงวางบัวรดน้ำในมือลง และจูงหวังซื่อมานั่งข้างม้าหินด้านข้าง
หลังจากนั้นนำเื่เมื่อวานที่อาชิงเล่าให้นางฟังบอกแก่หวังซื่อ
เมื่อวานตอนทำอาหารเย็น นางไถ่ถามความคิดเห็นของจ้าวหงยู่ที่มีต่อฟางเสิงอย่างเลียบๆ เคียงๆ ผลที่ได้คือจ้าวหงยู่ลุกลี้ลุกลนหน้าแดงเคร่งขรึม เห็นท่าทางสาวน้อยเขินอายอย่างชัดเจน พอมองก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่ใช่ไม่ได้คิดอะไรต่อฟางเสิง
ในเมื่อเป็ชายหญิงมีความรู้สึกดีต่อกัน เช่นนั้นนางจะช่วยยุพวกเขาขึ้นมาให้ชัดเจนเสียหน่อย เพื่อสองคนจะได้ไม่เสียเวลาลังเล
“อะไรนะ เ้าจะบอกว่าท่านอาจารย์ฟางกับหงยู่?” หวังซื่อจ้องดวงตากลมโต ไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย
แม้ฟางเสิงผู้นั้นจะมีอายุเล็กน้อย แต่ใช้ชีวิตดูแลลูกศิษย์อยู่หมู่บ้านวั้งหลินคนเดียวมาตลอด นอกจากชี้แนะการต่อสู้ให้นักเรียน เวลาปกติอยู่อย่างสันโดษ ในสายตาของหวังซื่อเป็บุคคลที่ลึกลับอย่างมาก
แต่ไม่คิดเลยว่าจะคิดอะไรต่อจ้าวหงยู่
แต่พอคิดอีกที ขอแค่ฟางเสิงไม่รังเกียจฐานะการหย่าร้างของจ้าวหงยู่ ไม่ว่าจะอายุหรือหน้าตาของคนทั้งสองก็ล้วนเหมาะสมกันดีอย่างมาก
จากการบอกใบ้อย่างแสดงเจตนาออกมาของเจินจู หวังซื่อจึงไปหาจ้าวหงยู่เพื่อสืบหาความในใจ
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม นางออกมาปรากฏอยู่ต่อหน้าเจินจูด้วยรอยยิ้มเต็มไปทั่วใบหน้า
เื่ของฟางเสิงกับจ้าวหงยู่ได้มีการตัดสินชี้ขาดแล้ว
ฟางเสิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่า้าขอจ้าวหงยู่มาเป็ภรรยา เป็จ้าวหงยู่เองที่ลังเลไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดมาตลอด เพราะเป็กังวลชื่อเสียงการหย่าร้างของนาง กลัวว่าจะทำให้ฟางเสิงถูกคนนินทาไปด้วย
สองคนมีใจต่อกัน เป็เพราะสกุลหูมักทำอาหารการกินเต็มโต๊ะอยู่บ่อยครั้ง และมักนำไปมอบให้ซิ่วฉายหยางกับฟางเสิงสองบ้านเป็ประจำ แล้วยังเป็เพราะ ฟางเสิงกับอาชิงเย็บเสื้อผ้ากับรองเท้าเองไม่เป็ คนในครอบครัวสกุลหูมีมากจนหลี่ซื่อเย็บเสื้อผ้าให้ไม่ทันอยู่บ้าง ดังนั้นเลยมอบเสื้อผ้าสี่ฤดูของฟางเสิงและลูกศิษย์ให้แก่จ้าวหงยู่จัดการ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จ้าวหงยู่จึงติดต่อกับฟางเสิงอยู่ไม่น้อย พอเวลาเนิ่นนานไปต่างฝ่ายต่างเริ่มมีความรู้สึกดีต่อกันอย่างช้าๆ
หวังซื่อดีใจแทนหงยู่เป็อย่างมาก แม่นางดีๆ ที่ชะตาชีวิตลำบากผู้นี้ สมควรมีที่พึ่งพิงที่ดียิ่งขึ้นได้แล้ว
เจินจูก็ดีใจเช่นกัน สามปีที่ได้สนิทสนมกัน การวางตัวของฟางเสิงนับว่าไม่เลว นอกจากไม่ใส่ใจเื่เล็กน้อยกับกระทำเื่ต่างๆ อย่างลวกๆ ไปบ้าง ปัญหาอื่นล้วนยังดีอยู่
จ้าวหงยู่ละเอียดรอบคอบและอ่อนหวาน ถ้าสองคนอยู่ด้วยกันค่อนข้างเหมาะสมเป็อย่างมาก
เื่ราวแสดงออกมาชัดเจน ปัญหาต่อไปก็หาทางออกได้ง่ายแล้ว
หวังซื่อไปถามความคิดเห็นของฟางเสิง ฟางเสิงแสดงจิตใจออกมาชัดเจน และถือโอกาสขอร้องหวังซื่อมาเป็แม่สื่อให้กับเขาไปด้วยเลย
หลังสามีภรรยาสูงวัยของสกุลจ้าวทราบเื่ ทั้งสองคนก็ดีใจจนเป็บ้าเป็หลัง
ส่วนพานซื่อดีใจยิ่งกว่า นางวิ่งไปหาบุตรสาวที่บ้านสกุลหูทันที
“เ้าลูกคนนี้นี่ เห็นอยู่ว่าเป็เื่น่ายินดีอย่างยิ่ง เ้ายังจะปิดบังอีก จะให้แม่กล่าวกับเ้าอย่างไรดี”
แต่จ้าวหงยู่กลับเม้มปาก สีหน้าท่าทางกลัดกลุ้มเล็กน้อย
“ทำไมหรือ?” พานซื่อหุบยิ้มลง ถามด้วยความกังวลใจ
จ้าวหงยู่เงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน แล้วจึงขมวดคิ้วน้อยๆ “ท่านแม่เ้าคะ สถานะข้าเช่นนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกับเขา”
พานซื่อชะงักงัน มองใบหน้าหดหู่ของบุตรสาวจึงได้รู้ความกังวลในใจของนาง
“หงยู่เอ๋ย เพราะอาจารย์ฟางกล่าวกับท่านป้าสะใภ้หูของเ้าว่าให้นางเป็แม่สื่อให้พวกเ้า เช่นนั้นเขาก็ต้องคิดปัญหาเช่นนี้มาดีแล้วแน่นอน ในเมื่อเขาไม่ถือสา เ้าก็อย่าคิดมากเกินไปเลย”
แน่นอนว่าจ้าวหงยู่ย่อมทราบดี แต่นางกลับผ่านปัญหาจุดนี้ของตนเองไปไม่ได้ มักรู้สึกว่าฐานะของตนเองไม่เหมาะสมกับฟางเสิง
ความรู้สึกของจ้าวหงยู่ตกต่ำลงจนลากยาวมาถึง่พลบค่ำ
เจินจูมองจ้าวหงยู่เก็บตะเกียบและถ้วยเงียบๆ ด้วยความสงสัย นี่นางเป็อะไรไป?
ยามค่ำของฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้ากว้างใหญ่ดวงจันทร์ปลอดโปร่งไร้เมฆบัง สายลมยามค่ำคืนพัดโชยอ่อนๆ
เจินจูยกถ้วยชาเก๊กฮวยเดินเข้ามาในห้องของจ้าวหงยู่
นางกำลังนั่งอยู่ข้างตะเกียงน้ำมัน เย็บเสื้อผ้าสีฟ้าอมเขียวทีละเข็มทีละเส้นด้าย
หญิงสาวภายใต้แสงไฟ ดวงตาหลุบลงท่าทางจิตใจจดจ่อ ดูเข้มแข็งเหมือนผู้ชายแต่ก็มีความอ่อนโยนของผู้หญิง งดงามบริสุทธิ์เหมือนดั่งดอกบัวก็ไม่ปาน
“เจินจู เ้ามาได้อย่างไร?”
นางเงยหน้าขึ้น ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน
“ท่านอาหงยู่ กลางคืนทำงานเย็บปักเสียสายตานัก ท่านพักหน่อยเถอะเ้าค่ะ และนี่เป็ชาเก๊กฮวยที่ชงขึ้นใหม่” เจินจูยื่นถ้วยชาออกไป
จ้าวหงยู่รีบม้วนเสื้อผ้าบนมือวางไว้ด้านข้างทันที
“นี่เป็เสื้อผ้าที่ทำให้อาชิงหรืออาจารย์ฟางเ้าคะ?” สายตาของเจินจูทอดมองอยู่บนผ้าสีฟ้าอมเขียว
จ้าวหงยู่รับถ้วยชามา เมื่อได้ยินดังนั้นก็อดหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
นางรู้ว่าฟางเสิงขอร้องให้หวังซื่อเป็แม่สื่อให้พวกนาง คนสกุลหูต่างก็รู้เื่ของนางกับฟางเสิงแล้ว
“เป็เสื้อผ้าของอาจารย์ฟาง พวกเขาฝึกการต่อสู้ เสื้อผ้าต่างก็ชำรุดเร็วมาก” นางตอบเสียงแ่เบา
“ท่านอาหงยู่ อาจารย์ฟางเป็คนที่ไม่เลวนัก เขาสอนได้อย่างจริงจังและมีความรับผิดชอบ การวางตัวซื่อสัตย์และมีสัจจะ ทำอะไรล้วนมีความอดทน ความสามารถด้านการต่อสู้สูงล้ำลึกแต่ไม่ข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า นอกจากซุ่มซ่ามและไม่ใส่ใจเื่เล็กน้อยไปบ้างแล้ว ด้านอื่นก็ค่อนข้างดีอย่างมากนะเ้าคะ” เจินจูนับข้อดีข้อเสียของฟางเสิงด้วยความจริงจัง
ใบหน้าของจ้าวหงยู่ยิ่งแดงขึ้นมาอีก มือที่ยกถ้วยชาเกือบควบคุมไว้ไม่อยู่
“ข้า… รู้” นางพยักหน้าเล็กน้อย เสียงแ่ลงไปเรื่อยๆ
“เช่นนั้น ท่านกังวลอะไรหรือเ้าคะ?” เจินจูถามออกไปตามตรง
ใบหน้ามีเืฝาดของจ้าวหงยู่เปลี่ยนสีไปทันที
มุมปากของนางปิดลง ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ความกลัดกลุ้มในดวงตากลับเข้มขึ้น
“ท่านอาหงยู่ ท่านดื่มชาสักหน่อยก่อน พวกเราแค่พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ไม่ต้องเป็กังวลเ้าค่ะ” เจินจูยิ้ม
จ้าวหงยู่ดื่มชาไปอึกใหญ่อย่างว่าง่าย ชาเก๊กฮวยกลิ่นหอมละมุนละไม ได้ปลอบอารมณ์ความคิดของนาง นางถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจ บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอาหงยู่ ท่านอย่างกังวลเกินไป ชีวิตคนสั้นๆ ไม่กี่สิบปี สิ้นเปลืองเวลาห่วงหน้าพะวงหลังล้วนไม่คุ้มเลยสักนิดเดียว ความคิดเห็นของผู้อื่นไม่ต้องไปสนใจ ท่านใช้ชีวิตได้ดีมีคนชื่นชมและอิจฉาริษยา ท่านใช้ชีวิตได้แย่มีคนถากถางและเห็นใจ ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรล้วนแล้วแต่มีคนวิพากษ์วิจารณ์และคอยมองดูความครื้นเครง หากท่านกังวลจนเกินไปก็จะลังเลตัดสินใจไม่ได้ ในเมื่อรู้อยู่ชัดๆ ว่านั่นเป็เส้นทางราบเรียบสงบ แต่เพราะความคิดเห็นของคนอื่นท่านจะหยุดก้าวและไม่เดินไปข้างหน้าหรือเ้าคะ?” เจินจูชักจูงอย่างชำนาญ
จ้าวหงยู่ที่ฟังอยู่ อดเบ้าตาแดงรื้นขึ้นไม่ได้ นางกังวลมากเกินไปจริงๆ
“อย่าคิดมากเกินไป ผ่อนคลายลงหน่อย เดินไปตามใจของตัวเอง ชีวิตคนหนึ่งชีวิต ต้นไม้ใบหญ้าหนึ่งฤดูใบไม้ร่วง [2] เวลาพริบตาเดียวก็หายสาบสูญไปแล้ว ทำไมต้องกังวลมากเกินไปด้วยเ้าคะ”
...เจินจูกลับมาถึงห้องของตนเอง ทิ้งตัวลงบนเตียงดวงตาสองข้างว่างเปล่าเล็กน้อย
เฮ้อ... กล่าวโน้มน้าวใจผู้อื่นนั้นง่ายดาย แต่พอเป็ตัวเองกลับลำบากใจ
นางหยิบเอาขลุ่ยไม้ไผ่สีเหลืองอ่อนเลานั้นออกมาจากลิ้นชักตู้บนเตียง
มองเงียบๆ อยู่นาน ในที่สุดก็เก็บมันเข้าลิ้นชักไป
ใครจะสนเขากัน เรือมาถึงสะพานแล้วย่อมต้องตรงต่อไป คิดมากมายเพียงนั้นทำไม
นางถีบรองเท้าลายปักที่สวมอยู่ออก แล้วกลิ้งเข้าในผ้าห่มผืนบาง
ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าไปในมิติช่องว่าง
สูดดมความหอมกรุ่นที่คุ้นเคยในมิติช่องว่าง อารมณ์ของเจินจูจึงกลับมาสงบลง
หญ้าสงบจิติญญาใต้ฝ่าเท้าได้เก็บเกี่ยวครั้งที่สองไปแล้ว หญ้าที่นิ่มและเหนียวยืดหยุ่นยังไม่เพียงพอให้ทำหมอนหนึ่งใบเลย เจินจูเคยแอบเอาหญ้าสงบจิตออกจากมิติช่องว่าง คิดจะลองตากแดดให้แห้ง
นางหลบอยู่ในที่ร่มนั่งมองหญ้าสงบจิตที่ตากแดดทั้งวันตาปริบๆ รอจนตอนเย็นจึงเก็บเข้ามาในมิติช่องว่าง และเปรียบเทียบหญ้าทั้งสองแบบ พบว่าหญ้าสงบจิตที่หยิบออกไปตากแดด กับหญ้าสงบจิตที่ไม่ได้เอาออกไปโดยรวมแล้วเหมือนกัน
เจินจูหมดแรงในทันที ตากแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงเพียงนั้นหนึ่งวัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็หญ้าระดับขั้นเทพเซียนในตำนานจริงๆ เลย ช่างเถอะ... เก็บไว้ก่อนแล้วกัน
ในที่นาสมุนไพรขณะนี้พืชดอกไม้ระย้าเป็สิ่งที่ปลูกไว้มากที่สุด นางหว่านเมล็ดดอกไม้ลงไป หลังบ่มเพาะให้งอกเงยก็แอบเอาดอกไม้ในนั้นออกมาไม่น้อยเพื่อสับเปลี่ยนในลานบ้าน แล้วเอาดอกไม้เดิมจากลานบ้านย้ายไปในแปลงดอกไม้ของโรงเรียน ใช้น้ำแร่จิติญญารดให้รากยึดแน่น โรงเรียนวั้งหลินในขณะนี้พอถึงระยะออกดอก ก็เป็ดอกไม้หลากสีแข่งขันกันชูช่อออกดอกเขียวขจี
ในกระท่อมหญ้าคา เม็ดทองเปลือยและเม็ดเงินเปลือยแต่เดิมที่วางอยู่บนโต๊ะตามอำเภอใจล้วนเก็บเข้าไปในลิ้นชักแล้ว เวลาไม่กี่ปีมานี้เสี่ยวฮุยยังคงนำสิ่งของแวววาวมาให้นางอย่างต่อเนื่อง
ทองและเงินแท้ หินหมาหน่าว อัญมณี ผลึกหินหยกเนื้อแข็ง แหวนกำไล ปิ่นปักผม ต่างหู และของมีค่าอื่นๆ ที่ควรจะมีล้วนมีทั้งสิ้น
เจินจูมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งของเหล่านี้แล้ว ทุกครั้งจึงหยิบติดมือและโยนเข้าไปในมิติช่องว่าง สนใจมูลค่าของมันว่าเท่าไรเสียที่ไหน
บนโต๊ะไม้ที่ยังเหลืออยู่คือประคำไม้จันทน์สีดำหนึ่งพวง วางอยู่้าอย่างสงบนิ่ง
เจินจูหยิบขึ้นมา กลิ่นหอมบางๆ หนึ่งสายของไม้จันทน์โชยเข้าจมูก
สวมมันไว้บนข้อมือ ยังมีช่องว่างอยู่เล็กน้อย
เป็ไปตามคาด ยังใหญ่กว่าข้อมืออยู่เหมือนเดิม
รูดออกมาจากข้อมือ นำมาเล่นอยู่กลางฝ่ามือ ประคำเม็ดกลมอิ่มเอิบแต่ละเม็ดผิวเรียบเนียนเป็มันวาว
น่าเสียดาย... ไร้วาสนาต่อนาง
เชิงอรรถ
[1] ท่อนไม้ คือ ของเล่นตัวต่อไม้
[2] ชีวิตคนหนึ่งชีวิต ต้นไม้ใบหญ้าหนึ่งฤดูใบไม้ร่วง หมายถึง หนึ่งชีวิตของมนุษย์เราก็เหมือนกับต้นไม้ใบหญ้าที่เดี๋ยวฤดูใบไม้ผลิ (พืชเจริญเติบโตงอกงาม) เดี๋ยวฤดูใบไม้ร่วง (พืชแห้งเหี่ยวโรยราและตายไป) บ่งบอกถึง่เวลาอันสั้นน้อยนิด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้