เล่มที่ 3 บทที่ 85
ท่านแม่ถูกอนุหนิงสังหาร และอนุหนิงวางแผนให้มู่หรงฉิงแต่งงานกับเฉินเทียนหยูผู้โง่งม
เฉินเทียนหยูถูกอนุหนิงและแม่รองเฉินร่วมมือกันวางกับดักเมื่อสามปีก่อน เขารอดชีวิตจากภัยพิบัติมาได้ แต่กลับกลายเป็คนโง่งมเช่นที่เขาเป็อยู่ตอนนี้
ยวี้เอ๋อร์จัดการแม่นมจิ่นและแม่นมฟาง ซ้ำร้ายยังวางยาพิษเรื้อรังให้มู่หรงฉิง ส่วนยวี้เอ๋อร์เป็คนของใครนั้น เวลานี้นางยังไม่ทราบ
อนุหนิง้าฮุบทรัพย์สมบัติของตระกูลเฉิน และ้าให้มู่หรงยวี่ได้เป็ชายาเอกขององค์ชายรัชทายาท ในขณะที่แม่รองเฉิน้าให้เ้านายน้อยคนนั้นได้เป็ชายาเอกขององค์ชายรัชทายาท วันนี้องค์ชายรัชทายาทรักแต่นักแสดงคนนั้นเพียงคนเดียว และอาจถูกปลดยศศักดิ์เมื่อใดก็ได้ ส่วนองค์ชายสามได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ บางทีคนที่อนุหนิงและแม่รองเฉิน้าช่วยอาจจะเป็องค์ชายสาม
องค์ชายรัชทายาทเป็คนไม่เอาไหน ในขณะที่องค์ชายรองมีกำลังทหารหนึ่งแสนนาย ถ้าองค์ชายสาม้าที่จะเลื่อนยศ เขาจะต้องมีเงินและกองทัพที่สมดุลกันเพื่อต่อกรกับองค์ชายรอง
ดังนั้นมู่หรงฉิงจึงกล้าที่จะคาดเดาว่า องค์ชายสามมีจิตมุ่งหมายในตำแหน่งขององค์ชายรัชทายาท แต่กระนั้นเขาก็กลัวองค์ชายรองที่มีอำนาจทางทหารอันทรงพลัง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเปิดเผยได้มากเกินไป เขาทำได้แต่ต้องระดมเงินอย่างลับๆ กระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว เขาก็รวบรวมทหาร ฆ่าองค์ชายรองโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
ครั้นมองดูสิ่งที่อยู่ในกล่อง เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง มู่หรงฉิงก็ยังคงไม่ได้หยิบมันออกมา ในใจของนางเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน่หลายวันทีละเื่ราว และมีความคิดคร่าวๆ เกิดขึ้นแล้ว
หากความทรงจำในวัยเยาว์ของนางถูกต้อง ม้วนกระดาษทั้งหมดที่อยู่ในกล่องนี้ก็คงจะเป็ของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท, หลิงชิงป๋อคนเดียวทั้งหมด
ทว่าเ่าั้เชื่อมโยงกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทอย่างไรหรือ?
ถ้าเดาถูกต้อง คนในหัวใจของท่านแม่คือหลิงชิงป๋อ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด มารดาถึงได้ตกหลุมพรางกับดักจากแผนการของมู่หรงอั้นกระทั่งถูกเปลี่ยนความทรงจำ และในที่สุดก็แต่งงานกับมู่หรงอั้นโดยไม่สนใจต่อสิ่งใด นั่นสามารถทำความเข้าใจได้เหมือนกันว่าทำไมยามที่อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทพบนาง เขาถึงออกอาการกระวนกระวาย
ทว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮูหยินหลิง? คำพูดของฮูหยินหลิงในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า หมายความว่าอย่างไร? กอปรกับวันนี้ฮูหยินหลิงจงใจทำให้นางลำบากใจและอับอาย คำพูดของฮูหยินเป็การใส่ร้ายท่านแม่ของนางผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว มู่หรงฉิงจึงนึกกังขาว่า ระหว่างท่านแม่กับฮูหยินหลิงมีความแค้นอะไรหรือไม่? ฮูหยินหลิงถึงไม่อาจปล่อยวาง แม้ท่านแม่ของนางจะเสียชีวิตไปนานแล้ว?
นอกจากข้อสงสัยข้างต้น ยังมีพี่ชายใหญ่ที่นางเป็ห่วงด้วย พี่ชายใหญ่เป็ผู้บัญชาการทหารระดับห้าฝ่ายแนวหน้า ด้วยสถานะของเขาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถคุกคามอนุหนิงได้ แต่ทำไมอนุหนิงและแม่รองเฉินถึง้ากำจัดพี่ชายใหญ่ของนาง?
ถ้า้ากำจัดพี่ชายใหญ่จริงๆ ่หลายปีก่อนย่อมกำจัดได้ทุกเมื่อ แต่ทำไมถึงต้องส่งคนไปลอบสังหารใน่เวลานี้? เป็ไปได้หรือไม่ที่พวกเขาเพิ่งค้นพบภัยคุกคามจากพี่ชายใหญ่?
ดูเหมือนความคิดในสมองเริ่มชัดเจนเพิ่มมากขึ้น ในเวลาเดียวกันนางก็รู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกว่ากำลังเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น แต่อีกความคิดหนึ่งกลับรู้สึกว่านางห่างไกลจากความจริงอีกมาก
“พวกเ้ากำลังมองอะไรอยู่? มีอะไรดีๆ อยู่ในนั้นหรือ?”
มู่หรงฉิงมองไปที่กล่องพลางคิดตรึกตรองอย่างเงียบๆ ฝั่งจ้าวจื่อซินก็มองดูนางที่กำลังใช้สมองครุ่นคิดจากด้านข้าง เขาคิดแค่ว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจมาก อย่ามองเพียงว่านางได้แต่อยู่นิ่งๆ ทว่าบางเวลาร่างกายของนางกลับแผ่ซ่านความเ็าออกมา บางเวลาก็เผยความสับสนโดยเฉพาะเวลาที่ดวงตาทั้งสองข้างฉายประกายแห่งความสับสน ที่สำคัญแววตาซึ่งแสดงความสับสนของนางช่างงดงามจริงๆ
มู่หรงฉิงมองไปที่กล่อง และจ้าวจื่อซินก็มองไปที่มู่หรงฉิง เฉินเทียนหยูมองไปที่มู่หรงฉิงชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นหันมองจ้าวจื่อซินชั่วครู่หนึ่ง ในท้ายที่สุดเขาจึงจ้องมองไปที่ม้วนกระดาษในกล่อง ระหว่างเอ่ยปากถาม มือของเขาก็ไม่ได้อยู่นิ่งแต่อย่างใด เขาหยิบภาพวาดหนึ่งภาพขึ้นมา และโยนกระดาษน้ำมันกับผ้าแพรไว้ข้างๆ กระดาษลวก ๆ หลังจากเปิดม้วน จากนั้นเขาก็เบะปาก “มันก็แค่คนคนหนึ่ง ทั้งยังเป็ภาพจากด้านหลัง ไม่เห็นมีอะไรดีเลย”
พูดจบก็โยนภาพวาดลงบนพื้นตามใจพลางหันไปหยิบกระดาษม้วนอื่นๆ
เมื่อเห็นเฉินเทียนหยูทิ้งภาพวาดสะเปะสะปะ มู่หรงฉิงถึงกับกระวนกระวายใจพร้อมรีบก้าวเท้าเข้าไปรับ ทว่าด้วยความตื่นตระหนก นางจึงเหยียบชายกระโปรงจนทรงตัวไม่อยู่ แม้ว่านางจะจับม้วนภาพวาดได้ ถึงกระนั้นร่างกายของนางก็เซถลาไปข้างหน้า
เดิมทีเฉินเทียนหยูยืนอยู่ด้านหน้ามู่หรงฉิง ซึ่งถ้านางล้มลงไป นางจะไม่ได้รับาเ็เนื่องจากล้มใส่เฉินเทียนหยู แต่จังหวะนั้นเฉินเทียนหยูได้เห็นม้วนกระดาษจำนวนมากในกล่องประกอบกับความตื่นเต้นชั่วขณะ เขาจึงสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าพลางโน้มตัวลงเพื่อหยิบม้วนภาพเ่าั้ออกมาทั้งหมด
ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นมู่หรงฉิงจึงไม่ทันแม้กระทั่งกรีดร้องด้วยความใ นางล้มลงไปแล้วโดยทำได้เพียงหลับตาลงพร้อมพูดพึมพำในใจว่า คราวนี้นางต้องล้มกระแทกพื้นจนเจ็บตัวเป็แน่
“เ้าโง่หรือ?”
ไม่มีความเ็ปตามที่คาดไว้ ทว่ามีแต่เสียงล้อเลียนด้านข้างใบหู เงยหน้าขึ้นและเห็นตนเองอยู่ห่างจากพื้นเพียงหมัดเดียว นางถูกจ้าวจื่อซินจับไว้อย่างมั่นคงทำให้ปลอดภัยจากความเ็ปจากการกระแทกกับพื้น
“บางครั้งก็รู้สึกว่าเ้าค่อนข้างฉลาด แต่ทำไมบางครั้งเ้าถึงได้โง่เง่านักล่ะ? อย่างน้อยเ้าก็มีทักษะการต่อสู้ แต่ทำไมเ้าถึงหกล้มง่ายนักเล่า” ฝ่ามืออันทรงพลังคว้านางไว้ได้ทัน แต่เขากลับไม่รีบที่จะประคองนางให้ลุกขึ้นทรงตัว เอวเรียวบางของนางอ่อนนุ่ม การััที่ใกล้ชิดทำให้ได้กลิ่นจางๆ จากร่างกายของนางซึ่งคล้ายมีมนต์ขลังเป็สาเหตุให้เขาอดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้
“ข้า...” นี่มันคืออุบัติเหตุ ถ้อยคำดังกล่าวติดอยู่ในลำคอของนางอย่างกะทันหัน นางได้เห็นั์ตาทั้งสองข้างของจ้าวจื่อซินในระยะประชิด แปลกจริง... ยามจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา นางกลับรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย
“เยอะมาก”
ขณะที่สบตากัน เสียงพึมพำของเฉินเทียนหยูก็ดังขึ้น มู่หรงฉิงใและรีบเบี่ยงสายตาไปทางอื่น นางวางมือลงบนไหล่ของจ้าวจื่อซินเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน
“น้องหญิง น้องหญิงเป็คนวาดภาพนี้หรือไม่? เหตุใดถึงวาดภาพจำนวนมาก?” เฉินเทียนหยูหยิบม้วนกระดาษครึ่งหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ จนกระทั่งโต๊ะไม่มีที่ว่างให้วางและเขาก็ยังคงนำออกมาอีก
มู่หรงฉิงสาวเท้าไปข้างหน้าเพื่อดู และพูดพึมพำในใจว่า เฉินเทียนหยูผู้นี้ก็นับว่ามีสมองอยู่โดยรู้ว่าจะต้องเอาถ้วยชาบนโต๊ะออกไปก่อน
เมื่อคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาจากไป จ้าวจื่อซินก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในหัวใจ เขายืนขึ้นด้วยใบหน้าเ็า ในใจของเขาพลางกล่าวโทษเฉินเทียนหยู
“ท่านพี่ ระวังหน่อย อย่าทำให้ภาพวาดเสียหายล่ะ” นางเห็นว่าเฉินเทียนหยูยัง้าไปเอามาอีก มู่หรงฉิงจึงไม่สนใจถึงความน่าอับอายและรีบหยุดเฉินเทียนหยู “จะเป็การดีกว่าที่จะนำไปวางบนเก้าอี้ยาว เกรงว่าโต๊ะนี้ไม่มีที่ว่างให้วางแล้ว”
ด้วยคำแนะนำข้างต้น เฉินเทียนหยูจึงรีบพยักหน้าเห็นด้วย “น้องหญิงฉลาดจริง ข้ายังคิดอยู่เลยว่าทำไมโต๊ะเล็กมากถึงเพียงนี้ ปรากฏว่า มันไม่กว้างขวางเท่าเก้าอี้ยาวนี่เอง”
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็ผู้ชายและเป็ชายหนุ่มที่มีทักษะการต่อสู้ที่ดีอีกด้วย ไม่พูดถึงอะไรอื่น แต่พูดเพียงการขนย้ายกล่องนั่น เขาสามารถจัดการได้ด้วยมือทั้งสอง
เฉินเทียนหยูทำหน้าที่ใช้แรงงานด้วยการยกกล่องไปวางไว้ด้านข้างเก้าอี้ยาว มู่หรงฉิงคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วไปปิดหน้าต่าง จากนั้นนางก็นั่งบนเก้าอี้ยาวและคลี่ม้วนภาพออก
ภาพแรก ภาพที่สอง และภาพที่สาม ไม่น่าแปลกใจเลยที่แต่ละภาพต่างก็เป็ภาพของผู้ชายคนหนึ่ง และผู้ชายคนนั้นคืออาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท, หลิงชิงป๋อ
แม้เวลาจะผ่านไปมากกว่าสิบปีแล้ว แม้สิ่งต่างๆ ร้อยพันหมื่นเปลี่ยนแปลง แต่หน้าตาของเขาก็ยังคงเดิมเสมอ และดูเหมือนว่าท่านแม่ของนางจะเคยเห็นอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทใน่ไม่นานนี้ด้วย คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีหน้าตาเหมือนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะยืนอยู่ใต้ต้นบ๊วย หรือถือชิ้นส่วนไว้ข้างกระดานหมากรุก หรือวางกู่ฉินไว้ที่หลางฟาง หรือนั่งเงียบๆ ในห้องโถง
ภาพวาดทุกภาพต่างผสานเข้ากับความรักอันลึกซึ้งของท่านแม่ สังเกตจากภาพวาด มู่หรงฉิงสามารถรับรู้ถึงความรักที่ท่านแม่ของนางมีต่อหลิงชิงป๋อ
มู่หรงฉิงมองดูม้วนภาพวาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่เฉินเทียนหยูแค่มองภาพทางด้านซ้ายหนหนึ่ง จากนั้นมองไปที่ภาพทางด้านขวาอีกหนหนึ่ง หลังจากดูอยู่ชั่วครู่เขาก็พบว่ามันน่าเบื่อมาก
จ้าวจื่อซินเดินไปที่ด้านหน้าเก้าอี้ยาว หลังจากมองสำรวจเผินๆ สองภาพ เขาก็หมดความสนใจ จากนั้นจึงเบี่ยงสายตาไปมองกล่องเปล่าใบนั้นแทน
“มู่หรงฉิง เ้าคิดว่ากล่องนี้แปลกไปเล็กน้อยหรือไม่?” หลังจากย่อตัวลงนั่ง ชายหนุ่มได้แตะมือบนผนังของกล่องอยู่ชั่วครู่ก่อนเงยหน้าขึ้นถามมู่หรงฉิง
“แปลกหรือ?” มู่หรงฉิงวางม้วนภาพในมือลง จากนั้นลุกขึ้นและสังเกตมองที่กล่อง
ทั้งที่กล่องนั้นสามารถมองเห็นก้นกล่องแล้วซึ่งหากเป็เวลาปกติ มันคงเป็การยากที่จะตรวจจับความผิดปกติ แต่เนื่องด้วยจ้าวจื่อซินเอ่ยตั้งข้อสังเกต นางจึงรู้สึกว่ากล่องนี้แปลกจริงๆ ด้วย
“โดยทั่วไปแล้ว เมื่อวางสิ่งของเช่นม้วนภาพ ก็จะต้องวางยากันความชื้นบางชนิดที่ผนังกล่อง ดังนั้น จึงมีข้อกำหนดบางประการสำหรับการผลิตกล่องโดยจะต้องมีชั้นภายใน แต่เ้าสังเกตหรือไม่? ชั้นภายในของกล่องนี้มีสองเท่าของกล่องธรรมดา และใต้ฐานก็ดูเหมือนว่าจะมีชั้นป้องกันความชื้นเพียงชั้นเดียว แต่กล่องเปล่าใบนี้หนักจนน่าประหลาดใจ” จ้าวจื่อซินอธิบายให้มู่หรงฉิงฟัง
พลางทำท่าทางและในที่สุดก็ยกกล่องด้วยมือทั้งสอง “กล่องเปล่า แม้ว่ามันจะทำจากไม้หนักก็ตาม แต่ด้วยสัดส่วนนี้ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะมีน้ำหนักเท่านี้”
หลังจากจ้าวจื่อซินสรุปอย่างมั่นใจ เขามองมู่หรงฉิงอย่างสงสัย และความหมายก็ชัดเจน มีบางอย่างในกล่องนี้ จะให้เปิด? หรือยังไม่เปิดดี?
“ถ้ามีชั้นภายในจริงๆ จะมีการป้องกันอะไรหรือไม่? ถ้าเกิดออกแรงเปิด สิ่งที่อยู่ด้านในจะถูกทำลายหรือไม่?” หลังจากสังเกตดูกล่องอย่างระมัดระวัง มู่หรงฉิงก็พูดด้วยความวิตกกังวลว่า “ถ้าเป็ฝีมือของท่านแม่ซึ่งพยายามซ่อนอะไรสักอย่าง ท่านแม่ย่อมไม่้าให้คนร้ายเอาของสิ่งนั้นไปเด็ดขาด ก่อนที่ท่านแม่จะจากไป ท่านแม่บอกกับข้าว่า ของในกล่องนี้เป็ภาพวาดที่ท่านแม่วาดในยามเบื่อๆ รอข้ามีเวลาว่างแล้วก็เปิดดูได้”
เพียงแต่เวลานั้นท่านแม่ไม่ได้ให้ลูกกุญแจกับนาง เนื่องจากไม่ให้ลูกกุญแจ นางจะดูได้อย่างไร? เป็ไปได้หรือไม่ที่ท่านแม่ของนางวิตกกังวลว่ายวี้เอ๋อร์จะพบข้อพิรุธของกล่อง ดังนั้นแม้กระทั่งนาง ท่านแม่ก็ไม่บอกหรือ?
ความวิตกกังวลของมู่หรงฉิงใช่ว่าจะไม่สมเหตุสมผล เดิมทีจ้าวจื่อซิน้าที่จะเปิดกล่องโดยใช้กำลัง แต่เวลานี้เขาทำได้เพียงยอมแพ้โดยคิดตรึกตรองเกี่ยวกับมันเล็กน้อย “อย่างน้อยๆ มีดสั้นของข้าก็กล่าวได้ว่าเป็สมบัติอันล้ำค่า สามารถตัดเหล็กได้ดั่งตัดโคลน ถ้าทำอย่างระมัดระวังให้มากกว่านี้ ลอกกล่องออก ไม่น่าจะทำให้สิ่งของด้านในเสียหาย”
ความจริงที่กำลังจะเปิดเผย มันจะเป็การร่วมมือและโต้กลับทันที
หลังจากเปิดกล่องซึ่งเป็ไปตามที่คาดไว้ ม้วนกระดาษทั้งหมดต่างเป็ภาพวาดของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท, หลิงชิงป๋อ นั่นพิสูจน์ได้ว่าบุคคลในดวงใจของท่านแม่คือ หลิงชิงป๋อ
ขณะที่รู้สึกประหลาดใจ จ้าวจื่อซินได้พบว่ามีบางอย่างอยู่ในกล่องเก็บม้วนภาพวาด หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยหารือกันจึงตัดสินใจที่จะเปิดกล่องเพื่อตรวจสอบ
ในจังหวะที่จ้าวจื่อซินกำลังค่อยๆ เปิดกล่องทีละเล็กทีละน้อย อยู่ๆ เฉินเทียนหยูก็วิ่งเข้ามาเพื่อร่วมสนุกด้วย “จ้าวจื่อซิน เ้ากำลังเล่นอะไรอยู่หรือ? ข้าอยากเล่นด้วย”
จ้าวจื่อซินกำลังใช้มีดกรีดกล่อง ทว่าเฉินเทียนหยูก็เข้ามารบกวน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเฉินเทียนหยูและหยิบผลไม้ออกมา “กินช้าๆ จะต้องรู้วิธีเคี้ยวให้ช้าๆ ให้เหมือนกับน้องหญิงของเ้า หลังจากกินผลไม้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปนอนพักผ่อนบนเตียง”
“ทำไมจะต้องนอนพักผ่อนด้วย? ทั้งเ้าและน้องหญิงต่างก็ไม่ได้พักผ่อน” หลังจากรับผลไม้ เฉินเทียนหยูก็เริ่มแทะกิน เขาจะสนใจคำพูดที่ว่าให้เคี้ยวช้าๆ อะไรนั่นได้อย่างไร?
“เ้ากินผลไม้ก่อน กินผลไม้เสร็จแล้ว เ้าก็ไปอยู่ด้านข้าง สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่าเข้ามายุ่มย่ามตรงนี้เด็ดขาด” จ้าวจื่อซินมองเฉินเทียนหยูอย่างหงุดหงิด ทุกครั้งที่ทำเื่จริงจัง อีกฝ่ายจะมาก่อกวนตลอด คราวนี้แตกต่างจากวันก่อนๆ กล่องนี้เป็กล่องที่ท่านแม่ของมู่หรงฉิงมอบให้นาง หากทำผิดพลาดอะไรบางอย่าง แล้วทำลายของด้านในเสียหาย นางจะไม่ผิดหวังหรือ?
คิดได้ดังนั้น จ้าวจื่อซินก็ลุกขึ้นไปดึงเฉินเทียนหยูให้ยืนห่างๆ “ยืนนิ่ง ห้ามเคลื่อนไหว ถ้าไม่เรียก เ้าก็ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ”
“เ้าไม่เรียกข้าว่า คุณชายรอง มิหนำซ้ำเ้ายังดุข้าด้วย ข้าจะฟ้องท่านแม่” ด้วยท่าทีเ็าของจ้าวจื่อซินซึ่งสั่งกำชับด้วยความหงุดหงิด เฉินเทียนหยูจึงปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม เขาแทะผลไม้พลางขู่ว่าจะไปฟ้อง
“อืม รอให้ข้าจัดการกล่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เ้าค่อยไปฟ้องก็ได้” คร้านเกินกว่าจะพูดเื่ไร้สาระกับเฉินเทียนหยู จ้าวจื่อซินจึงเดินกลับมา และใช้ความระมัดระวังถึงสิบสองส่วนในการแกะกล่องอย่างช้าๆ
กรีดด้วยมีดสั้นที่สามารถตัดเหล็กได้ดั่งตัดโคลนสองสามส่วน แต่แล้วปลายมีดกลับโดนเข้ากับของบางอย่าง จ้าวจื่อซินขมวดคิ้วและขยับมีดสั้นอีก เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนมีดสั้น เขาถึงกับแปลกใจ “ข้างในมีกลไก และอัดแน่นไปด้วยกรดกำมะถัน”