ดวงตาขององค์หญิงอันหย่าเต็มไปด้วยน้ำตา นางมองดูมู่จื่อหลิงอย่างเสียใจ “เสด็จย่าทรงห่วงใยอันหย่า แล้วอันหย่าจะไม่คำนึงถึงสุขภาพของเสด็จย่าได้อย่างไร”
ยามนี้มู่จื่อหลิงเป็ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง ดังนั้นนางจึงค่อนข้างจะประเมินค่าไว้สูง เพราะดีกว่าที่จะประเมินผิด ยิ่งการประมาทยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
แม้ว่าที่นี่จะมีกันอยู่เพียงแค่สองคน แต่มู่จื่อหลิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้จงใจแสร้งทำเป็ว่าทำผิดให้นางเห็น
มู่จื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มให้ มันเป็รอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “เนื่องจากท่านเป็ดวงใจของไทเฮา ดังนั้นความหมายของคำที่ท่านพูดมาจึงหมายความว่าท่านกำลังประเมินทักษะทางการแพทย์ของเปิ่นหวางเฟยผู้นี้สูงไปหรือเปล่า?”
หลังจากพูดไปแล้ว มู่จื่อหลิงก็เหลือบมองไปยังรถม้าที่อยู่ถัดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากที่หลงเซี่ยวอวี่เข้าไปในรถม้าแล้ว ยังสามารถมองเห็นได้รางๆ จากช่องว่างของม่านรถม้าซึ่งดูเหมือนจะมีเส้นแสงแปลกๆ สอดแทรกอยู่โดยรอบ
ลำแสงอันเรืองรองนั้นช่างวิจิตรตระการตา เปล่งประกายระยิบระยับอยู่เสมอ...
ดวงตาของมู่จื่อหลิงเพียงแค่ชำเลืองมองที่รถม้าแวบหนึ่ง และนางไม่ได้มองค้างนานนัก
มีรอยยิ้มชัดเจนที่มุมปากของนาง ทุกคำที่พวกนางพูดกันในยามนี้ ที่ตรงนั้นควรจะสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
เหตุใดองค์หญิงอันหย่าจึงแสร้งรับผิดเช่นนี้? ไม่เข้าใจเลยจริงๆ!
ดวงตาของมู่จื่อหลิงเคลื่อนไหวราวกับหยดน้ำ จ้องมองไปทางองค์หญิงอันหย่าอย่างใจเย็น ส่ายหัวเบาๆ จนแทบมองไม่ออก
องค์หญิงอันหย่ายิ้มบางๆ แต่น้ำเสียงของนางนั้นค่อนข้างเศร้าใจ “เหตุใดหวางเฟยถึงถ่อมตนนัก เื่ที่องค์ชายห้าล้มป่วยถึงสองครั้งล้วนเป็ที่ประจักษ์แก่ทุกคน”
มู่จื่อหลิงหัวเราะในทันที รอยยิ้มนั้นช่างสดใสงดงามราวกับดอกไม้ในฤดูร้อน ก่อนที่จะเอ่ยอย่างเฉยเมย “เช่นนั้นแล้วอย่างไร?”
ต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้รู้จักนางดีทีเดียว
มู่อี๋เสวี่ยผู้อยู่ข้างกายองค์หญิงอันหย่าดูเหมือนเป็แจกันกลวง แต่กลับไม่อาจปักสิ่งตกแต่งลงไปได้โดยง่าย [1]
จะว่าไปองค์หญิงอันหย่าก็ไม่รู้จักนางเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น จะต้องเข้าถึงก้นบึ้งของนางด้วย
องค์หญิงอันหย่ากล่าวต่อไปว่า “อันหย่ามีความกังวลต่อพระวรกายของเสด็จย่า จึงอยากแสดงความกตัญญู”
มู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยาม ในใจยังคงวิจารณ์อย่างต่อเนื่อง
ไทเฮาเฒ่าเป็เสด็จย่าของเ้า ไม่ใช่ย่าของข้าผู้นี้! ข้าผู้นี้ไม่มีจิตใจที่หน้าซื่อใจคดจนต้องแสร้งเข้าไปแสดงความกตัญญูต่อนาง
คิดอยากจะให้ข้าผู้นี้เข้าไปช่วยเ้าแสดงความกตัญญู...มันเป็ได้เพียงความฝันของคนโง่!
มู่จื่อหลิงยกยิ้มอย่างสบายๆ แล้วพูดช้าๆ ว่า “โอ้? ข้าไม่นึกเลยว่าองค์หญิงอันหย่าจะมีความกตัญญูถึงเพียงนี้ ว่ากันว่าไทเฮาทรงรักใคร่ในองค์หญิงเป็อย่างมาก ยามนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็จริงแล้ว”
ดวงตาขององค์หญิงอันหย่าเป็ประกาย ั์ตาเต็มไปด้วยการอ้อนวอนและคาดหวัง “วันนี้อย่างไรหวางเฟยก็มาพอดี เหตุใดไม่ไปพบเสด็จย่าพร้อมกับอันหย่าในยามนี้เลยเล่า”
นางเคยได้ยินมาว่า ไทเฮาก็ทรงปฏิบัติต่อมู่จื่อหลิงราวกับเป็เสี้ยนหนามตำใจ [2] มักจะทำให้เจ็บๆ คันๆ เพียงเล็กน้อย แค่พูดถึงก็ทำให้คับแค้นใจจนเหลือทน
อีกทั้งไทเฮายังคิดอยู่เสมอว่าจะกำจัดมู่จื่อหลิงออกไปโดยเร็ว เหตุใดนางจึงไม่ผลักเรือตามน้ำ [3] เล่า?
มู่จื่อหลิงดูเหมือนจะมีความสามารถมากทีเดียว แต่นางยัง้าเห็นว่ามู่จื่อหลิงจะต่อกรกับไทเฮาอย่างไร
องค์หญิงอันหย่าแสดงออกว่าตนยอมกล้ำกลืนใจเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย [4] กำปั้นใต้แขนเสื้อของนางกำแน่น นางกำลังคิดคำนวณทุกย่างก้าวในใจอย่างเงียบๆ
ปรากฏว่ามันคือการอ้อมไปอ้อมมา ไม่มีอะไรมากไปกว่าการขอให้นางเข้าไปในวังในยามนี้ การเยาะเย้ยฉายแววในดวงตาของมู่จื่อหลิง
ต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้คงจะรู้ด้วยว่านางไม่ลงรอยกับไทเฮาเฒ่า และยามนี้ยังขอให้นางเข้าวัง มีหัวใจที่สงบสุขคือสิ่งใดกัน?
บางทีองค์หญิงอันหย่าผู้นี้อาจจะอยากเป็คนกตัญญูจริงๆ ก็ได้ ด้วยท้ายที่สุดไทเฮาเฒ่าก็เป็ผู้สนับสนุนเพียงหนึ่งเดียวขององค์หญิงอันหย่า!
อาศัยอยู่ในบริเวณวังหลวงที่น่าสนใจแห่งนี้ หากไม่มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่เื้ั นางคงจะถูกกำจัดไปในระยะเวลาอันสั้น ไม่ต้องพูดถึงว่านี่คือองค์หญิงผู้อ่อนแอที่เป็เพียงบุตรบุญธรรม
มู่จื่อหลิงมองไปที่องค์หญิงอันหย่าด้วยดวงตาครึ่งยิ้ม แต่ในแววตากลับมีรอยครุ่นคิด
เมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงไม่ได้พูดสิ่งใดเป็เวลานาน องค์หญิงอันหย่าจึงเงยหน้าขึ้นมองนาง พูดต่ออย่างจริงจังว่า “ไม่แน่ว่าการเข้าเฝ้าในครั้งนี้ หวางเฟยอาจจะสามารถแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับและการเสวยไม่ได้ของเสด็จย่าได้สำเร็จ”
ใบหน้าขององค์หญิงอันหย่าเต็มไปด้วยความจริงใจ มู่จื่อหลิงไม่สนใจข้อเสนอขององค์หญิงอันหย่า ทั้งยังลอบคิดในใจว่า
ไม่ว่าองค์หญิงขี้โรคผู้นี้จะใช้หญิงชราในวังสร้างปัญหาให้กับตนเองอย่างไร นางก็ไม่อาจเสริมความทะเยอทะยานของผู้อื่นและทำลายศักดิ์ศรีของตนเองได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหาบางอย่างกำลังเข้ามา จะซ่อนตัวอย่างไรก็หนีไม่พ้น
แต่ยามนี้นางยังไม่ทันเดินหมาก ก็รู้ตัวแล้วว่าตนเองเป็ดั่งคนแคระ [5]?
ดังนั้นจึงต้องอาศัย่ที่ปัญหายังมาไม่ถึง เริ่มการจู่โจมก่อน
“องค์หญิงอันหย่า เ้าเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่? เปิ่นหวางเฟยกล่าวว่าทักษะทางการแพทย์ไม่ดีมากนัก นี่ไม่ได้เป็การเจียมเนื้อเจียมตัวแต่อย่างใด เช่นเดียวกับอาการป่วยของเ้า เปิ่นหวางเฟยยังมองไม่ออกเลยว่าเกิดจากสิ่งใด” มู่จื่อหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายและหยอกล้อ หันมององค์หญิงอันหย่าด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
พูดตามตรง เมื่อพูดถึงโรคหัวใจ นางไม่อาจช่วยอะไรได้อย่างแท้จริง แน่นอนว่า นั่นคือในกรณีที่ไม่มีน้ำยาหลิงอวิ้นอยู่ในระบบซิงเฉิน
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้พูดเช่นนี้เพื่อพิสูจน์ว่านางไม่อ่อนน้อมถ่อมตน
องค์หญิงอันหย่าผู้นี้คงรู้ดีอยู่แก่ใจตนว่า โรคนี้มีมาจากครรภ์มารดา และจะเป็เช่นนี้ไปตลอดชีวิต
แม้ว่าต้นกล้าอ่อนแอขี้โรคนี้จะชมชอบเสแสร้งแกล้งป่วยจากอาการของโรคที่ตนเป็ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้นกล้าอ่อนแอจะชอบให้ผู้อื่นพูดถึงโรคของนางซ้ำแล้วซ้ำอีก
แน่นอนว่า...ทันทีที่คำเหล่านี้ออกมา องค์หญิงอันหย่าชะงักไป นางพูดไม่ออกไปหนึ่ง่ลมหายใจ และในชั่วพริบตา นางก็เริ่มไออย่างรุนแรงอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่จื่อหลิงยังรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ นางจึงยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “เหตุใดเ้าจึงต้องยื้อยุดให้เปิ่นหวางเฟยเข้าวังด้วยเล่า? ในยามนี้เ้าเป็ถึงเพียงนี้ เปิ่นหวางเฟยเริ่มคิดไปไกลแล้วว่าในใจของเ้ามีแผนการร้ายใดซ่อนอยู่”
องค์หญิงอันหย่าไอหนักจนน้ำตาแทบไหล
เห็นเพียงแต่นางใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกที่เคลื่อนไหวรุนแรงจนเป็เกลียวคลื่น และยังคงใช้อีกมือหนึ่งโบกมือให้มู่จื่อหลิง “แค่ก แค่ก...อันหย่าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ท่านพูดเช่นนั้นกับอันหย่าได้อย่างไร?”
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะได้เห็นทักษะการแสดงขององค์หญิงอันหย่ามาก่อนแล้ว แต่ในขณะนี้เมื่อเห็นว่าองค์หญิงอันหย่าเริ่มแสร้งทำเป็น่าสงสารต่อหน้านางอีกครั้ง นางก็ยังคงลอบทอดถอนใจอยู่ภายในอย่างอดไม่ได้
คนผู้นี้ เล่นละครเก่งมาก แสดงได้ดีจริงๆ
ในยามนี้ใบหน้าที่ซีดเซียวขององค์หญิงอันหย่าเปลี่ยนเป็สีแดงเป็ครั้งแรก ไม่รู้ว่าเกิดจากการไอหรือโกรธกันแน่
มู่จื่อหลิงมองดูองค์หญิงอันหย่าที่มีท่าทางหายใจยากลำบากจากการไออย่างเฉยเมย และปลอบนางอย่างสงบว่า “ความหมายเป็อย่างไรองค์หญิงอันหย่าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เปิ่นหวางเฟยเพียงแค่พูดมันออกมาเท่านั้น เ้าอย่าตื่นเต้นจนเกินไป”
มีผู้ใดปลอบใจเช่นนี้บ้าง? การหายใจขององค์หญิงอันหย่าอึดอัดจนแทบจะหมดสติ
มู่จื่อหลิงมององค์หญิงอันหย่าอย่างสำรวจ ก่อนจะพึมพำเบาๆ “เห็นได้ชัดว่ามันเป็โรคที่ไม่อาจรักษาไม่หายขาดได้ อย่าทำให้ดูเหมือนว่าเ้ากำลังป่วยร้ายแรงจนอยู่ในระยะสุดท้าย แสร้งทำให้ผู้ใดดูกัน”
แม้ว่ามันจะเป็เพียงเสียงกระซิบ แต่ก็ดังพอที่องค์หญิงอันหย่าจะได้ยิน
ใจขององค์หญิงอันหย่าอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก [6] ทันที นางไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว นางจึงล้มลงนอนราบไปกับพื้นโดยตรง
ในระหว่างการพูดคุย มู่จื่อหลิงไม่ลืมที่จะหันไปมองมู่อี๋เสวี่ยเป็ครั้งคราว...
ในขณะนี้ นางกำนัลทั้งสองกำลังแต่งตัวให้มู่อี๋เสวี่ยที่ยังคงพร่ำเพ้ออยู่ ปิดร่างกายในส่วนที่น่าอับอายของนาง ในขณะเดียวกันก็พูดบางอย่างเพื่อกรอกหูมู่อี๋เสวี่ย
เมื่อฟังไปฟังมา ความกลัวของมู่อี๋เสวี่ยที่เดิมทีทำอะไรไม่ถูกก็ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัว
เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนว่าจะได้เห็นดวงตาคู่นั้นลุกโชติ่ไปด้วยไฟที่ลุกโชน มันมีความดุร้าย และจับจ้องมาที่มู่จื่อหลิงราวกับกำลังจะพุ่งเข้าใส่อีกชั่วครู่ที่จะถึงนี้
ในเวลาไม่นาน มู่อี๋เสวี่ยก็แต่งตัวเรียบร้อย
นางได้รับการช่วยเหลือจากสองนางกำนัลทั้งทางด้านซ้ายและขวา เท้าของนางทั้งไม่มั่นคงและอ่อนแรง นางแทบรอไม่ไหวที่จะรีบเดินมาตรงนี้...
สภาพจิตใจขององค์หญิงอันหย่าแย่ลง นางลุกยืนขึ้นอย่างโงนเงน เหลือบมองไปทางมู่อี๋เสวี่ยและคนอื่นๆ ที่กำลังใกล้เข้ามา แววตาที่ดุร้ายของนางส่องประกายชั่วร้ายอยู่ภายใน
นางรู้ว่าหากมู่อี๋เสวี่ยรู้ว่าสิ่งที่นางเป็อยู่ในยามนี้เกิดจากมู่จื่อหลิง ในยามนี้นางคงอยากจะกลืนมู่จื่อหลิงลงในท้องไป
อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของนางไม่ใช่การยืมมีดฆ่าคน [7] แต่เป็...
องค์หญิงอันหย่าละสายตาไปที่รถม้า รอยยิ้มเ็าปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
เมื่อเข้ามาใกล้ มู่อี๋เสวี่ยก็พยายามดิ้นรนเพื่อสลัดการช่วยเหลือจากนางกำนัลออก พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรีบวิ่งเข้ามาราวกับถูกฉีดเืไก่
“มู่จื่อหลิง ข้าจะฆ่าเ้า นางหญิงสารเลว...ข้าจะฆ่าเ้า...” การแสดงออกของมู่อี๋เสวี่ยนั้นบ้าคลั่งและน่ากลัว ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด
มู่จื่อหลิงมองไปที่มู่อี๋เสวี่ยซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหานางอย่างแยกเขี้ยวยิงฟัน [8] ในดวงตาของนางมีแววเย้ยหยัน
ด้วยรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามู่อี๋เสวี่ยกำลังจะเป็บ้า แต่คาดไม่ถึงว่านางจะคลั่งได้มากถึงเพียงนี้ ทั้งที่ทั้งร่างอ่อนแรงมากถึงเพียงนี้ กลับยังมีแรงที่จะด่าคนอยู่อีก
เดิมทีมู่จื่อหลิงคิดว่ามู่อี๋เสวี่ยจะเร่งรีบเข้ามาในรถม้าอย่างบ้าคลั่ง และนางได้รวบรวมกำลังทั้งหมดไว้ที่ขาของตนไว้ก่อนแล้ว เมื่อมู่อี๋เสวี่ยรีบร้อนขึ้นมา ก็จะเตะนางออกไปอีกครั้ง
แต่ผู้ใดจะรู้ว่ามู่อี๋เสวี่ยจะทำเพียงหยุดยืนห่างจากรถม้าคันใหญ่เพียงไม่กี่ก้าว ก่อนจะร้องะโดุด่า โดยไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว
มู่จื่อหลิงรู้สึกผิดหวังอย่างมากในทันที
นางสับสน มู่อี๋เสวี่ยผู้นี้โกรธมาก เหตุใดนางจึงไม่รีบเข้ามาเล่า?
“มู่จื่อหลิง นางหญิงสารเลว เ้ากล้าดีอย่างไรถึงปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาทำร้ายข้า ข้าจะฆ่าเ้า...” มู่อี๋เสวี่ยะโด่าทอสาปแช่งมาจากด้านล่าง นางไม่กล้าที่จะก้าวเข้ามาด้านหน้า
เมื่อเห็นเช่นนี้ จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็กลับมามีพลังอีกครั้ง
เป็เพราะ...จู่ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ว่าเพราะเหตุใด มู่อี๋เสวี่ยจึงไม่กล้าขึ้นมา
คาดไม่ถึงเลยว่า แม้ยามนี้มู่อี๋เสวี่ยจะโกรธจัด และกำลังบ้าคลั่ง แต่นางก็ยังจำได้ว่าไม่สามารถเข้าใกล้รถม้าของฉีอ๋องได้
แต่ดูเหมือนว่ามู่อี๋เสวี่ยจะไม่ทราบว่าฉีอ๋องยังไม่จากไป ดังนั้นความสนุกจึงกลับมาอีกครั้ง
มู่จื่อหลิงยกแขนขึ้นกอดอกของตน มองไปที่มู่อี๋เสวี่ยอย่างขบขัน “เ้าด่าอยู่หรือ?”
ถูกผู้อื่นชี้หน้าด่าอย่างรุนแรง เหตุใดนางถึงยังใจเย็นได้ขนาดนี้? ยังสามารถหัวเราะได้อีกหรือ?
องค์หญิงอันหย่าซึ่งกำลังชมการแสดงอยู่ด้านข้างรู้สึกตกตะลึง แต่นางปฏิเสธไม่ได้ว่าแท้จริงแล้ว สภาวะทางจิตใจของมู่จื่อหลิงนั้นสูงกว่าที่นางคิดไว้มาก
“อี๋เสวี่ย อย่าหยาบคาย หวางเฟยจะเป็คนเช่นนั้นได้อย่างไร” องค์หญิงอันหย่าก้าวไปข้างหน้าและดึงแขนเสื้อของมู่อี๋เสวี่ย แสร้งตำหนิทั้งที่เนื้อตัวสั่นเทา
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่องค์หญิงอันหย่า เห็นได้ชัดว่านางโกรธตนแทบตาย ยังจะแสร้งทำเป็คนดีอยู่อีก
นางอยากจะบอกว่า นางก็เป็คนเช่นนั้นแหละ แล้วจะทำไม?
“อันหย่า อย่ากังวลไปเลย นางหญิงเลวผู้นี้รังแกเรามาจนถึงยามนี้ เหตุใดต้องทนนางด้วย?” มู่อี๋เสวี่ยไม่สนใจ และสะบัดมือขององค์หญิงอันหย่าทิ้งไป
นางหน้าแดงด้วยความโกรธ เส้นเืที่นูนออกมา [9] ของนางแตกออก ชี้ไปที่มู่จื่อหลิงอย่างโกรธเคือง “นางเป็คนสารเลว หากมีความสามารถก็จงลงมาจากรถม้าเสีย วันนี้ข้าจะฉีกร่างเ้าออกเป็ชิ้นๆ ให้ได้”
ในยามนี้ชิวเซียงกับชิวเยวี่ยได้อธิบายเื่ราวทั้งหมดให้นางฟังแล้ว
นางหญิงเลวมู่จื่อหลิงกล้าที่จะปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ มันทำให้นางโกรธมากอย่างแท้จริง
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] แจกันกลวง แต่กลับไม่อาจปักสิ่งตกแต่งลงไปได้โดยง่าย (空心花瓶,但是可不是摆设那么简单) เป็วลี มีความหมายว่า มีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีเพียงเท่านั้น แต่กลับไม่อาจใช้ประโยชน์ได้จริง เปรียบเป็แจกันที่มีรูกลวงตรงกลาง ทำให้ปักดอกไม้ลงไปได้อย่างยากลำบาก ทั้งยังจัดให้สวยงามยาก
[2] เสี้ยนหนามตำใจ (心尖上的刺) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า สิ่งที่ทำให้เ็ปใจอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ไม่มีความสุข แม้จะเจ็บไม่มากแต่ก็ทำให้รู้สึกไม่ชอบ ไม่พอใจและทุกข์ใจอยู่เสมอ
[3] ผลักเรือตามน้ำ (顺水推舟) เป็สำนวน มีความหมายว่า ดำเนินการตามสถานการณ์ที่เป็ไป
[4] กล้ำกลืนใจเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย (委曲求全) เป็สำนวน มีความหมายว่า ตัวเองยอมลำบากหรือเสียใจ เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้หรือเพื่อให้สถานการณ์ผ่านไปได้ด้วยดี
[5] เป็ดั่งคนแคระ (矮人一截) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ไม่มั่นใจด้วยรู้ว่าตนเองด้อยกว่า
[6] กลืนไม่เข้าคายไม่ออก (不上不下) เป็สำนวน มีความหมายว่า การตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้ลำบากใจ ตัดสินใจลำบาก ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรก็มีผลเสีย
[7] การยืมมีดฆ่าคน (借刀杀人) เป็คำที่มาจากหนึ่งในกลศึกสามก๊ก มีความหมายว่า ใช้ความขัดแย้ง ยืมกำลังของคนอื่นไปทำลายศัตรู ด้วยการกำจัดศัตรูที่มีความเข้มแข็ง ไม่จำเป็ที่จะต้องลงมือเอง พึงยืมกำลังและไพร่พลทหารของผู้อื่นเป็ฝ่ายกำจัดศัตรู เพื่อเป็การรักษากำลังและไพร่พลทหารของตนเอง
[8] แยกเขี้ยวยิงฟัน (张牙舞爪) เป็สำนวน มีความหมายว่า ทำท่าทางดุร้ายหรือทำท่าทำทางข่มขู่
[9] เส้นเืที่นูนออกมา (青筋暴突) คือเส้นเืที่จะปรากฏออกมาในยามที่คนมีปฏิกิริยารุนแรงที่เกิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ว่าจะเป็ความใ หรือความโกรธ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้