“ทำลายชื่อเสียงของพวกนางได้หรือไม่ ?” เมื่อได้ยินมามาพี่เลี้ยงกล่าวลอยๆ เช่นนั้น หลิงิเยี่ยนก็หูผึ่งเข้ามาหากระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหู
“ได้ แต่คุณหนูใหญ่ต้องเชื่อฟังบ่าวนะเ้าคะ” มามาผู้เป็พี่เลี้ยงจากในวังตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน เื่แบบนี้ในวังมีให้เห็นถมไป นางอยู่กับฮองเฮามานานจะไม่เข้าใจเื่พวกนี้ได้อย่างไร พระนางทรงจัดให้ตนเองมาอยู่ข้างกายหลิงิเยี่ยน ไม่เพียงแต่ให้จับตามอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังเป็คุณหนูใหญ่จวนติ้งกั๋วกง หากถูกคนรังแกจริงๆ ผู้ที่เสียหน้าย่อมเป็จวนติ้งกั๋วกงทั้งตระกูล รวมถึงฮองเฮาด้วย
“ดี!” หลิงิเยี่ยนตอบอย่างพึงพอใจ มองเงาร่างของสตรีสองนางซึ่งอยู่ไม่ไกลอย่างร้ายกาจ “มามา ข้า้าทำลายชื่อเสียงของพวกนาง ดูซิว่าต่อไปยังจะกล้าทำจองหองต่อหน้าข้าอีกหรือไม่”
“เ้าค่ะ แต่คุณหนูต้องใจเย็นๆ ถึงจะสำเร็จได้นะเ้าคะ” มามาพี่เลี้ยงสีหน้าเรียบนิ่ง ส่งสัญญาณให้มามาอีกคนหนึ่งปล่อยมือหลิงิเยี่ยน
แค่หลิงิเยี่ยนคิดว่าโม่เสวี่ยถงกับลั่วิจูใกล้จะถึงคราเคราะห์ ก็ไม่โวยวายอาละวาดอีก เลือกซื้อผ้าตามความพอใจแล้วออกไปจากที่นั่น มามาคนหนึ่งตามขึ้นรถไปด้วย ส่วนอีกคนมิได้ตามไป หากแต่เดินไปอีกทางเพื่อกระทำการบางอย่าง
“ตามไปดูว่ายายแก่ผู้นั้นไปทำอะไร” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มพรายอยู่บนหอสูง นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของเขาพลิ้วกายะโออกจากหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็หายวับไป
วันนี้ชายหนุ่มสวมชุดขนจิ้งจอกสีม่วง พาดไหลด้วยผ้าคลุมสีแดงชาดตัดดำ ริมฝีปากดั่งสีโลหิตดูเย้ายวนไม่มีที่เปรียบ ดวงตาเรียวหรี่แคบ ขนตาสีน้ำหมึกทอดตัวยาวเรียงเส้นสวยงาม คางเชิดขึ้นเล็กน้อยเป็มุมที่ดูงดงามแข็งแกร่ง ใบหน้าดังประติมากรรมแกะสลักจาก์ เปล่งรัศมีเป็ประกายเจิดจ้า ความงามสง่าเหนือยุคสมัยทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตา แม้แต่คนที่เห็นความงดงามราวกับปีศาจของเฟิงเจวี๋ยหร่านมาจนชินตาอย่างเฟิงเยวี่ยก็ยังตะลึงงัน ต้องรีบก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้ามององค์ชายผู้มีรูปโฉมงามพิลาสผู้นี้อีกแม้เพียงแวบเดียว
ความงามของเซวียนอ๋องเป็ที่ต้องตาไม่ว่าบุรุษหรือสตรี มิน่าเล่าวันนั้นแม้แต่ข้ารับใช้ยังถูกรอยยิ้มของเขาสะกดจนลืมตัว ทำให้รูปภาพที่ฮองเฮาส่งมาเสียหายทั้งหมด ป่านนี้เกรงว่าฮองเฮาคงยังไม่ทรงทราบว่าเ้านายของตนไม่คิด้าหลานสาวผู้งดงามเลื่องชื่อเป็อันดับหนึ่งในเมืองหลวงของพระนางผู้นั้น จึงจงใจแกล้งขันทีให้เหม่อลอยจนประสบหายนะอย่างที่เป็อยู่กระมัง
“เฟิงเยวี่ย หากข้าหาคนไปทำลายชื่อเสียงของนางจะเป็อย่างไร” ดวงตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านมองทะลุผ่านหน้าต่างตรงบันไดไปจับที่ใบหน้างามพริ้มเพราที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ รอยยิ้มอ่อนโยนระบายอยู่บนแก้มใสสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากอมยิ้ม กิริยาท่าทางเช่นเดียวกับหญิงสาวจากสกุลใหญ่ แต่คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้าหน้ากากจอมปลอมนี้จะอำมหิตนัก ตอนที่อยู่ในห้องมารดาของตนยังกล้ากัดเขาได้ โชคดีที่เขากัดนางคืนไปคำหนึ่งเลยไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบเท่าไร
เฟิงเยวี่ยตะลึงกับคำพูดของผู้เป็นาย เงยหน้าขึ้นมองปราดหนึ่ง ชั่วขณะนั้นยังตามความคิดคนตรงหน้าไม่ทัน ดวงตาของเขามองตามสายตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านไปตกอยู่ที่ใบหน้าของโม่เสวี่ยถงที่กำลังเลือกอาภรณ์อยู่ในร้าน หัวใจพลันตื่นตระหนกอย่างฉับพลันกับความหมายในคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ องค์ชายแปดผู้สง่าผ่าเผย เซวียนอ๋องผู้เป็ที่โปรดปรานของจักรพรรดิ กลายเป็คนจิตใจคับแคบคิดทำลายชื่อเสียงที่ดีงามของสตรีผู้หนึ่งั้แ่เมื่อไร
“หลังจากนั้นข้าก็ค่อยออกไปปรากฏตัว ช่วยชำระคืนความบริสุทธิ์ให้ นางจะซาบซึ้งถึงขั้นอุทิศกายเป็การตอบแทนหรือไม่หนอ?” เฟิงเจวี๋ยหร่านค่อยๆ กล่าวประโยคต่อมาช้าๆ เฟิงเยวี่ยถึงกับมึนตึ้บไร้วาจาไปชั่วขณะ
“เปิ่นหวางช่วยนางก็นับว่าเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต บุญคุณย่อมต้องตอบแทน หากนางจะใช้ร่างกายแทนคุณจริงๆ เปิ่นหวางก็คงต้องจำใจยอมรับเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรตำแหน่งชายาของเปิ่นหวางก็ยังว่างอยู่ มอบให้นางไปก็ไม่เห็นจะเป็อะไร” เฟิงเจวี๋ยหร่านกำลังอารมณ์ดี หัวเราะคิกคักพูดเองเออเองเสร็จสรรพ แต่เฟิงเยวี่ยที่อยู่ข้างกายยิ่งฟังก็ยิ่งเหงื่อตก
“เฟิงเยวี่ย เ้าว่าความคิดของเปิ่นหวางเป็อย่างไร?” เฟิงเจวี๋ยหร่านเชิดคางขึ้น ปรายสายตามาที่เฟิงเยวี่ย ถามความคิดเห็นของคนสนิทด้วยความกังวลใจอยู่ลึกๆ
เฟิงเยวี่ยรู้สึกเพียงว่ามโนธรรมสำนึกที่มีอยู่เต็มเปี่ยมบัดนี้ถูกบ่อนทำลายไปจนหมดสิ้น เ้านายของข้า... ท่านคิดสิ่งใดอยู่ ให้ทำลายชื่อเสียงของชาวบ้าน แล้วตนเองก็แสดงบทพระเอกออกไปช่วยเหลือ หลังจากนั้นยังคิดให้ผู้อื่นใช้กายตอบแทน ส่วนตนเองก็จะทำเป็ยอมรับนางไว้เป็ชายารองด้วยความจำใจอีก นี่คือเ้านายผู้ทรงพระปรีชาและเยือกเย็นยิ่งตัวจริงของตนเองหรือไม่ ดูอย่างไรก็รู้สึกผิดปรกติ!
เฟิงเยวี่ยได้แต่อ้าปากค้าง ไร้สุ้มเสียงเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก
“หรือรู้สึกว่าความคิดของเปิ่นหวางมีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง เ้ามีวิธีการที่ดีกว่าช่วยควบคุมจัดการกับนางแมวป่าตัวน้อยของเปิ่นหวางตัวนี้หรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบเบาๆ ดวงตางดงามกวาดมองไปที่เฟิงเยวี่ย แสดงให้เห็นว่าหากไม่ได้คำตอบก็จะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ มุมปากเย้ายวนกระดกขึ้นเป็รอยยิ้มที่คล้ายว่ายิ้มแต่ไม่ใช่ ความมืดลึกเย็นะเืจากใต้ก้นบึ้งดวงตาประกายออกมาเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
หมายความว่า...
เฟิงเยวี่ยกัดฟันข่มใจ ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะขยับริมฝีปากที่อ้าค้างไว้เปล่งเสียงออกมา “ท่านอ๋องทรงปรีชายิ่งแล้ว”
ยิ่งเห็นเฟิงเยวี่ยก้มหน้า เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยิ่งพึงพอใจ ไม่ใช้สายตางดงามราวกับปีศาจกดดันเขาอีก จากนั้นก็หมุนตัวมองไปชั้นล่างอีกครั้ง ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ไปเชิญนางขึ้นมา”
“ท่านอ๋อง?” เฟิงเยวี่ยมึนงงหนักยิ่งกว่าเดิม มองเฟิงเจวี๋ยหร่านอย่างฉงนฉงาย รู้สึกว่าวันนี้ท่านอ๋องทรงต้องมีสิ่งใดผิดปรกติแน่นอน จึงเรียกหญิงสาวมาพบเป็การส่วนตัว ทั้งยังกล่าวออกมาเป็เื่เป็ราวอย่างชัดเจน นอกจากนี้เขายังไม่เห็นว่าคุณหนูสามโม่จะมีความรู้สึกใดๆ ต่อเ้านายของตนเลย นี่มันเื่อะไรกันหนอ ข้าน้อยเป็องครักษ์ประจำตัวที่คุ้มกันความปลอดภัยของท่าน แต่ไม่เคยทำงานเป็พ่อสื่อให้ใครมาก่อนเลยนะขอรับท่านอ๋อง!
…
“คุณหนูสามโม่?” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจแต่ฟังดูมีมารยาทดังขึ้นข้างหูของโม่เสวี่ยถง น้ำเสียงที่นางฟังมานานหลายปีจนคุ้นเคยเมื่อชาติปางก่อน หัวใจพลันหดเกร็ง บัดนี้เมื่อนึกถึง แม้แต่เืเนื้อและกระดูกของนางก็ยังเย็นเยือก
เมื่อเงยหน้าขึ้นระยะทิ้งห่างกันไม่ไกล ก็มองเห็นใบหน้าที่ในอดีตแม้แต่ในความฝันก็ยังจินตนาการออกมาได้ นางเคยเชื่อว่าเขาคือคู่ครองที่จะอยู่กับนางไปชั่วชีวิต ใครจะคิดว่าคนเช่นเขาร้ายยิ่งกว่าอสรพิษ ลอบกัดแม้แต่จวนฝู่กั๋วกงที่อุ้มชูสนับสนุนตนเองขึ้นมา
นางหลับตาลงถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งแววตากลับเป็ประกายระยิบระยับดั่งสายน้ำที่กระเพื่อมน้อยๆ งดงามยิ่ง ทำให้ใบหน้านั้นยิ่งมีเสน่ห์คล้ายดรุณีที่โตเป็สาว ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นอีกสามส่วน ดวงตาพราวระยับของนางราวกับวารีที่ไหลผ่านเข้าสู่กลางใจ ทำให้คนหัวใจสั่นสะท้าน ซือหม่าหลิงอวิ๋นยืนมองตาค้างด้วยความหลงใหล หัวใจเต้นระรัว
“คารวะซือหม่าซื่อจื่อ” โม่เสวี่ยถงยิ้มกล่าวพร้อมกับย่อกายคารวะอย่างมีมารยาท แต่ให้ความรู้สึกห่างเหิน
นับั้แ่หลังเกิดเื่ที่วัดเป้าเอิน ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็ไม่ไปที่จวนโม่อีกเลย ไม่รู้ว่า้าหลบเลี่ยงหรือไม่มีหน้าจะไป
“คุณหนูสามโม่ พวกเราช่างมีวาสนาต่อกันโดยแท้ ข้าเพิ่งกลับมาจากต่างถิ่น คิดจะไปจวนโม่อยู่พอดี ไม่ทราบว่าคุณหนูสามจะช่วยข้าเลือกอาภรณ์แพรต่วนสักสองสามชุด เพื่อมอบเป็ของกำนัลให้พี่สาวน้องสาวของคุณหนูจะได้หรือไม่?” หลังจากได้สติ ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็หัวเราะแหะๆ อย่างเก้อเขิน แล้วยื่นเสื้อคลุมในมือส่งให้บ่าวที่รอรับอยู่ด้านหลัง
เขาก้าวเข้ามาสองก้าว ดูเหมือน้าเข้ามาตีคู่กับโม่เสวี่ยถง ชี้ไปที่อาภรณ์ไหมปักลายเมฆาที่ดูหรูหรางดงามชุดหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “คุณหนูสาม เ้าว่าชุดนี้เป็อย่างไร ดูงดงามเข้ากับผิวพรรณของคุณหนูสามเป็อย่างยิ่ง”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองทำเื่น่าละอายไว้กับจวนโม่เพียงใด ยังคงยิ้มหน้าระรื่นแสดงความสง่างามอยู่ได้
“ขอบคุณซือหม่าซื่อจื่อ ข้ามิได้มาเลือกซื้ออาภรณ์หรอกเ้าค่ะ แค่มาเป็เพื่อนลูกผู้พี่เท่านั้น” โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะอย่างไร้สุ้มเสียง ซือหม่าหลิงอวิ๋นคงจะมาได้ครู่หนึ่งแล้วกระมัง แม้ว่าเขาเพิ่งจะปรากฏตัวที่หน้าประตูใหญ่คล้ายว่าเพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้ แต่บ่าวผู้นั้นกลับเดินออกมาจากหลังฉากกั้น เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจแสร้งทำให้เป็ความบังเอิญที่พบกัน ดูจากท่าทางแล้ว คงจะพาผู้อื่นมาด้วยเป็แน่
นางกวาดตามองไปยังสตรีที่ยืนอยู่ในร้าน สายตาพลันสะดุดกับร่างของสตรีในชุดสีเขียวที่ยืนอยู่หน้าชั้นวางอาภรณ์ซึ่งกำลังหมุนตัวมาพอดี รูปโฉมเกลี้ยงเกลาดูชดช้อย ภายในดวงตาซ่อนความรู้สึกของคนมีความรักแต่ไม่เปิดเผยออกมา แม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าสีเรียบ แต่กลับดูงดงามยิ่ง ก้นบึ้งดวงตาของนางพลันบีบรัด
อวิ๋นอี้ชิว!
โม่เสวี่ยถงไม่คิดว่าจะได้พบกับอวิ๋นอี้ชิวที่นี่ เมื่อชาติภพก่อนตนเองเป็คนเลือกอนุภรรยาให้ซือหม่าหลิงอวิ๋น เนื่องจากรูปโฉมที่ถูกทำลายจนอัปลักษณ์ของตนเอง ปรกติก็จะปิดบังใบหน้าด้วยผ้าแพร ย่อมรู้สึกผิดต่อความรักอันลึกซึ้งของซือหม่าหลิงอวิ๋น เมื่อเห็นอวิ๋นอี้ชิวผู้เป็ลูกพี่ลูกน้องของเขา มักแอบมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่อยู่ไกลๆ
ด้วยเห็นแก่ความรักที่ลึกซึ้งของนางและด้วยความสงสาร จึงยกฐานะให้นางขึ้นมาเป็บ้านรอง แต่บ้านรองผู้นี้สมคบกับมารดาของซือหม่าหลิงอวิ๋น ทั้งกลั่นแกล้งและกดดันตนเองสารพัด บุตรคนแรกที่นางอุ้มท้องต้องมาแท้งไปเพราะฝีมือของสตรีผู้นี้ นางจงใจแกล้งยั่วโมโหซือหม่าหลิงอวิ๋นแล้วมาชนนางล้ม ทำให้สูญเสียบุตรไป
ชาติก่อนนางนึกว่าทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความสะเพร่าของตนเอง มองไม่เห็นใบหน้าอาบยาพิษของอวิ๋นอี้ชิว การแต่งนางเข้ามาเป็อนุภรรยาให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นนับเป็เคราะห์ร้ายของตนเองอย่างยิ่ง ยามนี้เมื่อได้สบตากับอีกฝ่าย จึงพบว่าที่แท้ชาติภพก่อนตนเองช่างโง่เง่านัก อะไรคือเพิ่งเข้ามาอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วโหว อะไรคือเพิ่งพบกับพี่ชายพี่สะใภ้เป็ครั้งแรก ที่แท้ทุกสิ่งล้วนเป็ความหลอกลวงทั้งสิ้น
เห็นแววตาฉายความรักใคร่มองมาที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นอย่างระมัดระวัง ก็รู้ได้ว่าเขาพานางมาที่นี่ ทุกอย่างล้วนบอกชัดว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันมานานแล้ว แต่ตนเองยังนึกว่าอวิ๋นอี้ชิวเพิ่งพบกับซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็ครั้งแรก จำได้ว่าตอนที่เอ่ยถึงเื่ตั้งอนุภรรยาให้ ซือหม่าหลิงอวิ๋นยังบอกกับนางด้วยท่าทางจริงจังว่าไม่ให้ตั้งลูกผู้น้องของตนเป็อนุภรรยา ถึงขั้นโมโหตนเองจนหนีไปนอนที่ห้องหนังสืออยู่หลายคืน
โง่! ตนเองช่างโง่บัดซบยิ่งนัก ตอนนั้นนางยังพะวงว่าจะอธิบายกับซือหม่าหลิงอวิ๋นอย่างไร ที่แท้ทั้งสองคนก็มีอะไรกันมานานแล้วและกำลังยิ้มเยาะตนเองอยู่ ์ช่างยุติธรรมยิ่ง ชาติภพนี้ให้นางได้กระจ่างใจเื่ราวที่ชาติปางก่อนไม่เคยรับรู้ นางจะไม่ปล่อยให้สตรีที่ดูนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่แท้ที่จริงแล้วใจดำอำมหิตผู้นี้ลอยนวลไปเด็ดขาด
เมื่อสี่ตาสบประสานผ่านแพรโปร่งที่กั้นอยู่ อวิ๋นอี้ชิวดูอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกว่าสายตาที่พุ่งผ่านผ้าแพรบางเบาผืนนั้นช่างเย็นะเืปานน้ำแข็ง รู้สึกตื่นกลัวจนเกือบร้องออกมาด้วยความใ ถอยห่างออกไปสองก้าว สาวใช้ประจำตัวที่ยืนอยู่รีบเอื้อมมือมาประคองแล้วเอ่ยถามอย่างห่วงใย “คุณหนู เป็อะไรไปเ้าคะ”
อวิ๋นอี้ชิวกุมหน้าอกหายใจหอบถี่สองสามคราก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ “ไม่มีอะไร ข้ามิได้เป็อันใด” สุขภาพของนางไม่ค่อยดี ต้องกินยามาโดยตลอด โชคดีที่ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวเป็อาแท้ๆ และดีต่อนางยิ่ง อยู่ในจวนก็จัดหายามาให้ ปรกติอาการก็ไม่เห็นจะกำเริบ แต่เมื่อถูกสตรีที่พรางใบหน้าด้วยผ้าโปร่งจับจ้องเพียงปราดเดียว กลับรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น รู้สึกตึงเครียดอย่างไม่มีเหตุผล
“้าให้บ่าวไปตามซื่อจื่อมาดูอาการให้หรือไม่เ้าคะ” สาวใช้เห็นนางหน้าซีดเผือดก็ร้อนใจ มองไปที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นที่ยืนอยู่กับสตรีตระกูลสูงสองคนที่สวมหมวกเหวยเม่าด้วยความไม่พอใจ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดซือหม่าหลิงอวิ๋นจึงไม่มาดูดำดูดีคุณหนูของตน แต่กลับไปยืนคุยกับสตรีอื่นอย่างใส่ใจ เห็นแล้วขวางหูขวางตายิ่ง จึงประคองอวิ๋นอี้ชิวให้ยืนอย่างมั่นคง แล้วทำท่าจะเดินเข้าไปเพื่อไปแจ้งเื่คุณหนูของตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้