ผ่านไปครู่หนึ่งหลี่เจี้ยนอันก็หยิบถ้วยใส่ไข่ไก่เดินเข้ามา พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ ฟองนี้ไข่แดงแตกหมดแล้ว แต่ไม่เสียขอรับ”
หลี่อิงฮว๋าพูดขึ้นว่า “ไม่เสียก็ยังกินได้”
จ้าวซื่อคิดว่าบุตรสาวทำงานเหนื่อยยากลำบากลำบนเพียงนั้น จึงเสนอขึ้นว่า “หรูอี้ทำไข่ตุ๋นได้อร่อยยิ่ง หากพวกเ้าทำเป็ ก็นำไข่ไก่ฟองนี้ไปทำไข่ตุ๋นให้หรูอี้กินกับแป้งย่างเถิด”
สี่พี่น้องมองหน้าสบตากัน “ท่านแม่ พวกเราทำไข่ตุ๋นไม่เป็ขอรับ”
จ้าวซื่อจึงรีบกล่าวสมทบ “ข้าก็ทำไม่เป็”
หลี่ฝูคังดวงตาเปล่งประกาย “เช่นนั้นข้าทำไข่ลวกให้น้องสาวกินก็แล้วกัน”
หลี่ิ่หานเลิกคิ้วขึ้น “พี่รอง ไข่แดงแตกแล้ว เอาไปทำไข่ลวกไม่ได้ ทำได้แค่น้ำแกงไข่ไก่หรือไม่ก็ไข่ทอด”
จากนั้นสี่พี่น้องจึงตัดสินใจใช้ไข่ฟองหนึ่งทำน้ำแกงไข่ไก่ แล้วนำไข่อีกฟองที่มีอยู่แล้วในครัวมาทำแป้งย่างใส่ไข่สองแผ่น
หลี่หรูอี้หลับจนกระทั่งสะดุ้งตื่นขึ้นเอง นางหิวจนไส้กิ่ว เดิมทีก็ผอมแห้งแรงน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งรู้สึกอ่อนแรงกว่าเดิม
แต่นางก็บำรุงร่างกายด้วยอาหารดีๆ มาครึ่งเดือนแล้ว ทำให้สุขภาพดีกว่าเมื่อก่อนมาก จนทนย่างแป้งแปดร้อยแผ่นในเวลาสามชั่วยามได้ แต่ยังคงห่างไกลจากเป้าหมายของหลี่หรูอี้อีกมาก
นางตัดสินใจแล้วว่า ั้แ่พรุ่งนี้ไปจะเริ่มฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง และจะลากพี่ชายทั้งสี่ไปด้วย
แต่เื่ที่ต้องแก้ไขตอนนี้ก็คือ เื่ปากท้อง หลังจากล้างหน้าเรียบร้อยแล้วก็กินอาหารที่พี่ชายทำอย่างตั้งใจจนหมด นางอารมณ์ดีขึ้นมาก
ใบหน้าหล่อเหลากระจ่างใสของหลี่อิงฮว๋าปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลี่หรูอี้ กล่าวถามด้วยท่าทีจริงจังว่า “น้องสาว มีข่าวร้ายและข่าวดีอย่างละหนึ่ง เ้าอยากฟังข่าวใดก่อน”
หลี่หรูอี้ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “ข่าวดี”
“พี่ใหญ่และพวกเราเกลี้ยกล่อมท่านแม่ ท่านแม่จึงเห็นด้วยเื่ปรับปรุงบ้านแล้ว!”
หลี่หรูอี้หัวเราะอย่างยินดี จากนั้นจึงถามต่อไป “ข่าวร้ายเล่า”
“ต้นหอมในแปลงผักบ้านเราเหลือแค่ไม่กี่ต้นแล้ว”
“ข้าก็คิดว่าเป็เื่อันใดเสียอีก ที่แท้ก็ไม่มีต้นหอมแล้วนี่เอง นี่แก้ไม่ยาก พวกเราไปขอซื้อจากบ้านสวี่ได้ บ้านสวี่ขายหมดแล้วก็ไปขอซื้อจากครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบ้านเรา”
บ้านสวี่ก็คือ บ้านของอู่โก่วจื่อ
สวี่เจิ้งและหม่าซื่อของบ้านสวี่ ก็เป็ผู้ที่หนีภัยโรคระบาดมายังอำเภอหลี่เมื่อสิบห้าปีก่อนเช่นกัน สองสามีภรรยามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลี่ซานและจ้าวซื่อมาโดยตลอด
ซึ่งหลายวันก่อนสวี่เจิ้งก็ไปสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยนกับหลี่ซานด้วย
หลี่หรูอี้จำได้ว่า อู่โก่วจื่อเคยบอกว่า แปลงผักของบ้านสวี่ปลูกต้นหอมไว้เยอะมาก
“พวกเราจะไปคุยกับท่านแม่เสียหน่อย ให้ท่านแม่ไปซื้อต้นหอมจากน้าหม่า” หลี่เจี้ยนอันจึงเดินไปหาจ้าวซื่อที่กำลังเดินเล่นอยู่ที่ลานด้านหลัง
เมื่อจ้าวซื่อได้ฟังเื่นี้ก็รีบพาหลี่เจี้ยนอันถือเงินสิบทองแดงไปที่บ้านสวี่ทันที
บ้านสวี่ห่างจากบ้านหลี่ประมาณสองถึงสามจั้ง เป็บ้านมุงด้วยหญ้าคาขนาดหกห้อง
ตอนนี้หม่าซื่อกำลังนั่งปักผ้าอยู่ใต้ต้นแพร์บริเวณลานด้านหน้า
ก่อนหน้านี้ฝีมือปักผ้าของหม่าซื่อธรรมดามาก เป็จ้าวซื่อที่สอนนางมือต่อมือ ส่วนนางก็ยอมเสียเวลาเรียนเพื่อหวังเพิ่มรายรับให้กับครอบครัว เรียนไปถึงสองปี ในที่สุดก็เรียนรู้ออกมาได้ ตอนนี้ลายปักของนางนำไปขายที่ร้านผ้าในตำบลได้แล้ว
เมื่อหม่าซื่อเห็นจ้าวซื่อก็ราวกับได้พบญาติตนเอง ในใจของนางเห็นจ้าวซื่อเป็ดังน้องสาวที่บ้านเดิมอย่างแท้จริง นางยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ “เ้ายังตั้งครรภ์อยู่ มีอะไรก็บอกให้ข้าไปหาก็พอแล้ว มาหาข้าถึงบ้านทำไม”
จ้าวซื่อยิ้มตอบ “บ้านข้าไม่มีต้นหอมแล้ว เลยมาขอซื้อจากบ้านเ้า”
“ขอซื้ออะไรกัน เอาไปเถิด”
“บ้านข้า้าจำนวนมาก อีกทั้งต้นหอมบ้านเ้าก็ต้องเหลือไว้ขายไว้กินในฤดูหนาวมากกว่าครึ่ง ข้าจะเอาไปโดยไม่จ่ายเงินได้อย่างไร”
“หากเ้าจะให้เงิน ข้าจะไม่ให้เ้าเข้าไปที่แปลงผักบ้านข้าแล้ว”
“นี่มันอะไรกัน หึ... หากรู้เช่นนี้ข้าคงไม่มาซื้อต้นหอมจากบ้านเ้าแต่แรก”
หม่าซื่อะโเข้าไปในบ้านว่า “ลิ่วโก่วจื่อ ชีโก่วจื่อ หูหนวกแล้วหรือ รีบไปเก็บต้นหอมจากแปลงผักมาให้น้าจ้าวของพวกเ้าเร็ว!”
จากนั้นก็มีเสียงของเด็กชายสองคนดังมาจากลานด้านหลัง “น้าจ้าว ท่านรอสักครู่ พวกเราจะไปเก็บต้นหอมเดี๋ยวนี้” “น้าจ้าว ท่านไม่ได้มาบ้านพวกเรานานเลยขอรับ”
จ้าวซื่อลากหม่าซื่อไปที่ห้องโถง “่นี้ครอบครัวข้าทำการค้า เด็กๆ ยุ่งจนไปไหนไม่ได้ ฝีมือทำครัวของข้าก็ไม่ดี คิดจะช่วยก็ช่วยไม่ได้จึงได้แต่อยู่เฝ้าบ้าน จะดีจะร้ายก็ยังเป็กำลังใจให้พวกเขาได้บ้าง”
“เื่นี้ข้าก็ได้ยินอู่โก่วจื่อพูดถึงเหมือนกัน” หม่าซื่อหยุดไปครู่หนึ่ง พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “หรูอี้ของบ้านเ้าดีจริงๆ สอนอู่โก่วจื่อให้รู้จักสมุนไพรและขุดสมุนไพรด้วย” ที่บ้านของนางกินผักเบี้ยผักโขมมาหลายมื้อแล้ว เมื่อก่อน่ฤดูนี้พวกเขามักเป็ร้อนในและแผลในปาก แต่ตอนนี้ไม่เป็แล้ว
“หรูอี้แค่หาเื่เล่นเท่านั้น แต่อู่โก่วจื่อรู้จักสมุนไพรเ่าั้แล้ว หากเรียนรู้เทียบยารักษาอาการเล็กๆ น้อยๆ ติดตัวไว้สักสองสามเทียบก็คงดี”
น้ำเสียงของหม่าซื่อเต็มไปด้วยความปลงอนิจจัง “หากอู่โก่วจื่อมีความสามารถได้ถึงหนึ่งในสิบของหรูอี้ก็ดีแล้ว”
เด็กๆ บ้านสวี่เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ลิ่วโก่วจื่ออายุเจ็ดขวบ ชีโก่วจื่ออายุห้าขวบ ทั้งสองกอบต้นหอมมาเต็มสองมือ เดินออกมาจากลานด้านหลัง นำต้นหอมไปกองไว้ข้างๆ เท้าของหลี่เจี้ยนอัน
ลิ่วโก่วจื่อเงยหน้าขึ้น ที่จมูกมีน้ำมูกไหลย้อยจนสกปรก เอ่ยถามว่า “พี่เจี้ยนอัน พอหรือไม่ขอรับ”
หลี่เจี้ยนอันตอบด้วยรอยยิ้ม “ประมาณสามถึงสี่ชั่ง พอใช้ไปหลายวันเลย” เขาพาลิ่วโก่วจื่อและชีโก่วจื่อไปยังถังเก็บน้ำในห้องครัวของบ้านสวี่ ช่วยล้างหน้าล้างตาให้พวกเขา นี่เป็เื่ที่เขาต้องทำทุกครั้งที่มาบ้านสวี่
หม่าซื่อไม่ได้รักสะอาดเหมือนจ้าวซื่อ บ้านสวี่สกปรกั้แ่ภายในถึงภายนอก คนบ้านสวี่ไม่สะอาดสะอ้านั้แ่ผู้ใหญ่ยันเด็ก
หลี่เจี้ยนอันพาเด็กน้อยทั้งสองที่ล้างหน้าจนสะอาดสะอ้านแล้วออกมาด้านนอก หม่าซื่อจึงนำถั่วลิสงหนึ่งกำมือที่เพิ่งไปหยิบออกมาจากตู้ในห้องนอนเมื่อครู่นี้มายัดใส่มือเขา
จ้าวซื่อเห็นลิ่วโก่วจื่อและชีโก่วจื่อผู้มีใบหน้าผอมเหลืองซูบเซียวไม่มีเนื้อหนังแม้แต่น้อยกำลังมองไปยังถั่วลิสงในมือของหลี่เจี้ยนอัน จึงบอกว่า “พี่หม่า เก็บถั่วลิสงไว้ให้ลูกๆ เ้ากินเถิด”
หลี่เจี้ยนอันหน้าแดง “น้าหม่า ข้าอายุเท่าใดแล้ว ไม่ต้องกินขนมแล้วขอรับ”
หม่าซื่อพูดอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “พวกเขาล้วนเป็ผีหิวตายกลับชาติมาเกิด ให้พวกเขากินเท่าไรก็ไม่พอ”
จ้าวซื่อได้ต้นหอมมามัดหนึ่งโดยไม่ได้จ่ายเงินแม้แต่ทองแดงเดียว เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงพูดกับหลี่หรูอี้ว่า “น้าหม่าของเ้า จะเป็จะตายก็ไม่ยอมรับเงินค่าต้นหอม เช่นนี้จะทำอย่างไรดี”
ก่อนหน้านี้ที่จ้าวซื่อไม่ไปซื้อแป้งขาวและไข่ไก่จากบ้านสวี่ ก็เพราะกลัวว่าหม่าซื่อจะไม่ยอมรับเงิน ดูเอาเถิด ต้นหอมมากมายเพียงนี้ หากเก็บไว้จนฤดูหนาว หนึ่งชั่งขายได้ถึงสองทองแดง สี่ชั่งก็เป็เงินแปดทองแดงแล้ว
“น้าหม่ายังให้ถั่วลิสงข้ามากำมือหนึ่งด้วย” หลี่เจี้ยนอันพูดอย่างทอดถอนใจ “น้าหม่าไม่ได้ร่ำรวยเลยสักนิด แต่ก็ยังใจกว้างกับครอบครัวเราเสมอ”
“คนรวยไม่จำเป็ต้องใจกว้าง คนจนก็ไม่จำเป็ต้องใจแคบ” หลี่หรูอี้กล่าวประโยคนี้ออกมาแล้วพูดต่อไปว่า “หากครอบครัวเราจะปรับปรุงบ้าน ก็ต้องดูแลเื่อาหารการกินให้คนงานสองมื้อ เช่นนั้นก็ให้เงินน้าหม่า แล้วให้คนงานไปกินข้าวที่บ้านนางเป็อย่างไร”
จ้าวซื่อยิ้มเจื่อน “ฝีมือครัวน้าหม่าของเ้าสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“นึ่งหมั่นโถวจากแป้งดำ ต้มไข่ โจ๊กแป้งข้าวโพดใส่ผัก ของพวกนี้คงทำได้กระมัง”
จ้าวซื่อเผยรอยยิ้มออกมา “ทำได้ ของพวกนี้ทำได้”
หลี่หรูอี้กล่าวต่อไปอย่างเนิบช้า “ข้าคิดไว้แล้วว่า จะให้คนงานกินหมั่นโถวแป้งดำสี่ลูก ไข่ต้มหนึ่งฟอง และโจ๊กแป้งข้าวโพดใส่ผักหนึ่งถ้วยทุกมื้อ”
หลี่เจี้ยนอันพูดอย่างใ “เช่นนั้นทุกคนก็จะได้กินไข่ต้มวันละสองฟอง!”
หลี่หรูอี้พูดว่า “ให้พวกเขากินไข่ต้ม จะได้ทำงานให้บ้านเราดีๆ”
หลี่อิงฮว๋ายื่นหน้าออกมาจากห้องครัว ถามว่า “ท่านแม่ บ้านเราจะเริ่มปรับปรุงบ้านเมื่อใดขอรับ”
สายตาของจ้าวซื่อมองกลับไปกลับมาระหว่างบุตรชายคนโตและบุตรสาวสุดที่รัก จึงถามขึ้นอีกครั้งว่า “เื่ใหญ่เช่นนี้จะไม่รอพ่อเ้ากลับมาก่อนค่อยทำหรือ”
.......................................