เมื่อสนองความ้าของอาจิ่วที่เมืองราคะแล้วหลังจากกินเที่ยวอย่างสนุกสนานแล้วก็ออกเดินทางต่ออีกครั้ง ไม่เกินสองวันก็มาถึงพรมแดนของดินแดนเหมันต์แล้วอากาศเมื่อวันก่อนก็มืดครึ้มหนักมาก แล้วสิ่งที่ผมกังวลที่สุดก็เกิดขึ้นตามคาด
หิมะตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย...
เหตุผลที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าต้องรีบไปให้ถึงดินแดนเหมันต์ก่อนต้นฤดูหนาวก็เพราะกลัวว่าจะเกิดสถานการณ์แบบในตอนนี้ขึ้นตราบใดที่ดินแดนเหมันต์เกิดหิมะตกก็จะต้องตกหนักอย่างแน่นอนและผลที่ตามมาจากหิมะตกหนักก็คือชาวภูตหิมะจะปิดทางเข้า เพื่อไม่ให้คนภายนอกเข้าไปทำให้การที่ผมจะหาพวกเขาเจอเพิ่มระดับความยากลำบากเป็ขั้นสูงสุด
ไม่รู้ว่ายังเหลือเวลาอีกกี่วันกว่าจะถึงต้นฤดูหนาวทำไมตอนนี้หิมะถึงได้เริ่มตกแล้ว? ทำไมเื่ง่ายๆ สำหรับเยี่ยวั่งจือในตอนนั้นถึงกลายเป็เื่ยากสำหรับผมในตอนนี้ขนาดนี้กันเล่า?
อากาศภายนอกนั้นหนาวสุดขั้วแต่ภายในรถม้ากลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเลยอาจิ่วนอนงีบหลับอยู่ตรงมุมที่ปูเบาะหนังเสือเอาไว้ ผมนำม่านที่แหวกเปิดออกลงและสังเกตเห็นว่าซ่งฉียวนหยิบเ้าหินสีเขียวนั่นออกมาจากในอกเสื้ออีกครั้ง เขาลูบไล้และถือมันอยู่ในมือราวกับเป็สมบัติล้ำค่าจนผมเกิดรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ั้แ่เด็กคนนี้ได้หินก้อนนี้มาเขาก็ทะนุถนอมมันมาทั้งวัน พอเก็บมันไปไม่นานเขาก็จะหยิบมันออกมาแล้วลูบไปมาเหมือนกับถูกสิ่งชั่วร้ายครอบงำ
เมื่อวานผมขอหินก้อนนี้จากในมือเขามาสังเกตอยู่นานก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งอัศจรรย์ตรงไหนและก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้หวงแหนของสิ่งนี้นัก
ในใจพลางคิดแล้วก็โพล่งถามออกมา“ฉียวน วันนี้เ้าเอาหินก้อนนี้ออกมาเป็ครั้งที่เก้าแล้วกระมัง? บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเ้าจึงชอบของสิ่งนี้ถึงเพียงนี้? ”
เมื่อได้ยินคำพูดของผมหน้าของซ่งฉียวนก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลง และตอบว่า“เพราะนี่คือของขวัญที่ท่านอาจารย์มอบให้ข้าขอรับ”
โอ๊ย บ้าเอ้ย! หน้าหนาๆ ของผมเกิดบางขึ้นมาทันทีจากนั้นจึงรีบกลั้วคอไปมา แล้วกระแอมไอสองครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน“เช่นนั้นการที่เ้าเอาออกมาบ่อยครั้งก็คงไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไร หากเ้าชอบข้าจะเจาะหินสีเขียวนี้แล้วร้อยเชือกหนังห้อยไว้บนคอเ้าดีหรือไม่? ”
ซ่งฉียวนนิ่งไปราวกับกำลังลังเลอยู่พักหนึ่งสุดท้ายก็นำหินก้อนนั้นยื่นส่งมาให้ผม ก่อนจะพูดทิ้งท้ายอย่างกังวลว่า“ท่านอาจารย์มีพลังบำเพ็ญที่แข็งแกร่งมาก อย่าทำให้หินแตกเป็อันขาดนะขอรับ...”
ผมได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ ที่เขามองหินก้อนนี้เป็ของรักไปแล้ว!
ผมรวบรวมพลังปราณให้มาประจุรวมกันอยู่ที่ปลายนิ้วเมื่อเกิดเสียงพึ่บก็ทะลุผ่านเ้าหินก้อนนี้ไปอย่างง่ายดายแล้วหมุนโค้งวนอยู่ด้านในอย่างเบามือโดยไม่ได้ทำให้บริเวณอื่นเสียหายแม้แต่นิดเดียว แค่ทิ้งรูเล็กๆไว้สองด้านเพียงสองรูเท่านั้น ผมนำเชือกหนังสีน้ำตาลเข้มออกมาจากในแหวนหยกแล้วร้อยผ่านรูทั้งสองจากนั้นก็ผูกปมที่ปลายทั้งสองด้านก่อนจะเดินไปตรงหน้าของเด็กน้อยเพื่อสวมจี้อันเรียบง่ายไปบนคอของเขา
คงเพราะรู้สึกถึงอุณหภูมิของหินอีกครั้งผมััได้ถึงลมหายใจรอบตัวซ่งฉียวนว่าได้ผ่อนคลายลงหมดแล้ว เขาซ่อนหินไว้ด้านในเสื้ออย่างทะนุถนอมก่อนจะเงยหน้าแล้วยกมุมปากขึ้นให้ผม แล้วตอบกลับว่า “ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์”
เมื่อคิดถึงซ่งฉียวนในตอนนี้อีกหลายปีข้างหน้าอวี๋เคอจะต้องรู้สึกอบอุ่นหัวใจเพราะรอยยิ้มนี้เป็แน่ บางทีั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไปอวี๋เคอคงเก็บซ่งฉียวนผู้นี้เอาไว้ในใจแล้ว
“ฉียวน ข้างนอกนั้นหนาวมาก เ้ารออยู่ในรถก่อน ข้าจะออกไปสำรวจเส้นทางข้างนอกสักหน่อยไปดูเสียหน่อยว่าจะหาทางเข้าดินแดนเผ่าภูตหิมะได้หรือไม่”
“ขอรับ เช่นนั้นท่านอาจารย์ก็ระวังตัวให้มากนะขอรับ”
เมื่อได้ยินคำตอบกลับมา ผมจึงเดินไปย่อตัวลงนั่งอยู่ตรงมุมแล้วสะกิดอาจิ่วที่กำลังนอนหลับสบาย ก่อนจะกำชับว่า “คุ้มกันเขาไว้ให้ดีแล้วรอข้ากลับมา”
เ้าเด็กน้อยตอบผมอย่างรำคาญว่า “อ๊าอ๊าเข้าใจแล้ว นายท่าน ท่านไปอย่างสบายใจเถอะ เขามีข้าคอยดูอยู่ ไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“เ้าพูดว่าอย่างไรนะ? ”
เมื่อรู้ว่าสัตว์เทพที่มีธาตุไฟเมื่อเข้ามาอยู่ในดินแดนเหมันต์แล้วร่างกายก็จะรู้สึกไม่ค่อยดีผมจึงไม่พูดมากแล้ว จากนั้นจึงกำชับอาจิ่วอีกสองสามประโยคแล้วลงจากรถ
สำหรับคนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงเช่นนี้ความหนาวเย็นก็ทำอะไรไม่ได้ ผมเหาะขึ้นไปกลางอากาศ เบื้องล่างเป็ผืนดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนและูเาสูงจากนั้นจึงปิดตาลงแล้วปล่อยกระแสจิตอันแข็งแกร่งของตนกวาดไปทั่วบริเวณนี้ผ่านไปครู่ใหญ่จึงลืมตาขึ้น แต่กลับไม่สามารถััถึงลมหายใจได้เลยแม้แต่น้อย
ผมทะยานนำหน้าออกไปไกลมาก ส่วนสิงโตปีกเพลิงสองหัวก็ลากรถเหาะออกมากับผมด้วยแล้วไล่ตรวจดูทีละซอกทีละมุมอยู่แบบนั้น เมื่อตกเย็น ผมซึ่งออกตามหาเกือบทั่วทั้งดินแดนเหมันต์ก็แล้วทำให้กระแสจิตรู้สึกอ่อนล้าไปไม่น้อย แต่ผลที่ได้รับคือไม่ได้อะไรกลับมาเลย
เมื่อกลับมาถึงภายในรถม้าและเอ่ยถามไถ่ซ่งฉียวนแล้วในหัวก็รู้สึกวิงเวียนหน้ามืดตาลายขึ้นมาชั่วขณะผมจึงนั่งลงเอนศีรษะพิงบนผนังด้านในของรถหวังจะพักผ่อนเสียหน่อย แต่จู่ๆก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วผ่านผ้าม่านตรงเข้ามาในหูผมเป็ระยะ
“ท่านอาจารย์? ท่านได้ยินไหมขอรับ? มีคนกำลังร้องเพลง”
ผมลืมตาขึ้น แล้วนวดขมับที่ปวดแปลบไปมาก่อนจะปลดปล่อยกระแสจิตออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้ผมสามารถรับรู้ได้อย่างแม่นยำเลยว่ามีลมหายใจของใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปห้าลี้[1] น้ำเสียงของหญิงสาวนั้นใสกังวาน เสียงเพลงที่ขับขานก็ช่างไพเราะชวนฝันเมื่อคิดดูแล้วคงจะหน้าตาดูดี หากกล่าวตามหลักแล้วนี่แสดงว่าตัวเอกกำลังจะมีโชคดอกท้อ [2] แล้วใช่ไหม?
ผมแหวกม่านออกก่อนจะให้สิงโตปีกเพลิงมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ประมาณห้าลี้แล้วก็เป็ไปตามคาดเมื่อเห็นสาวน้อยผมสีเงินร่างเล็กในชุดกระโปรงสีขาว กำลังนั่งร้องเพลงอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ที่สะอาดสะอ้านยามเกล็ดหิมะตกลงมาจากฟากฟ้าก็จะลู่หลบตัวของหญิงสาวไป ฉากนี้ช่างงดงามยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าผมมา เธอก็หยุดร้อง แล้วะโลงมาจากหินก้อนใหญ่เดินมาหาผมอย่างเชื่องช้าผิวพรรณขาวผ่องดูน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าหิมะขาวโพลนทั่วทุกหนแห่งเสียอีกหว่างคิ้วถูกสลักด้วยสีเงินเล็กน้อย ดวงตาดำขลับฉายรอยยิ้มบางๆ มองมาที่ผมแล้วยื่นมือข้างหนึ่งชี้มาทางผม กลีบปากสีชมพูอ่อนของเธอขยับเบาๆ แต่คำที่พูดออกมากลับทำให้ผมใจนหัวโต[3]
“ข้าชื่อรั่วรั่วข้าชอบท่าน ข้าอยากแต่งงานกับท่าน! ”
พระเ้าช่วยทั้งหมดนี้มันเื่อะไรกัน? ผมจำได้แม่นเลยว่ารั่วรั่วเป็ลิขิตรักครั้งแรกของซ่งฉียวนแล้วทำไมตอนนี้ถึงได้กลายมาเป็ชอบผมกันเล่า?
สาวน้อยเอื้อมมือไปลูบศีรษะของสิงโตสองหัวไปมาแล้วเ้าหมอนั่นก็ส่งเสียงคำรามขึ้นมาอย่างพอใจ ทำตัวอ่อนยวบราวกับเป็แมวตัวหนึ่งเธอยืนอยู่บนรถ ซึ่งอยู่ใกล้กับผมมาก โดยไม่แม้แต่จะมองซ่งฉียวนเลยสักนิดก่อนจะถามต่อว่า “ท่านชื่ออะไร? ”
หัวใจผมเต้นอย่างบ้าคลั่งไม่ใช่ตื่นเต้น แต่กลัวต่างหาก อาจารย์แย่งผู้หญิงของลูกศิษย์ แบบนี้มันจะเป็เื่ดีได้อย่างไร?
“ข้าชื่อเยี่ยวั่งจือมาในครั้งนี้เพื่ออยากจะมาเยี่ยมเยือนชาวภูตหิมะและขอบัวหิมาลัยสองหัวหนึ่งดอกเพื่อมารักษาดวงตาทั้งสองข้างของลูกศิษย์ข้าจึงขอถามแม่นางผู้นี้ว่ารู้เส้นทางที่จะไปยังดินแดนของเผ่าภูตหิมะหรือไม่ว่าไปอย่างไร? ”
ผมจงใจเลี่ยงคำถามที่เธอบอกว่าจะให้ผมแต่งงานกับเธอถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“เมื่อมองท่านใกล้ๆแล้วก็ยิ่งดูดีเสียจริง! ท่านจะไปหาภูตหิมะหรือ? ก็ข้าอย่างไรล่ะ!” สาวน้อยผู้งดงามชี้ไปที่ตัวเอง และพูดต่อว่า “หากท่านสัญญาว่าจะแต่งงานกับข้า บัวหิมาลัยสองหัวของข้าจะยกให้ท่านตอนนี้เลยก็ย่อมได้!นี่ ท่านดูสิ มันอยู่ตรงนี้! ”
รั่วรั่วพลิกข้อมือจากนั้นบัวหิมาลัยที่เปล่งประกายสว่างใสต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือเธอเธอจงใจแกว่งไปมาตรงหน้าผมสองครั้ง เพื่อจะสื่อว่าให้ผมรีบตอบตกลง
“ท่านอาจารย์ อย่า...”ทันทีที่ผมกำลังจะพูด ก็ได้ยินซ่งฉียวนที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น
เนื่องจากเสียงของการพูดคุยกันจึงทำให้อาจิ่วตื่นขึ้น จากนั้นบินขึ้นไปเกาะบนไหล่ของผมเหมือนอย่างเคยแล้วะโใส่รั่วรั่วว่า “แม่สาวน้อยผู้นี้ เ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านของข้าเก่งกาจแค่ไหน? เ้าบอกจะแต่งก็แต่งได้อย่างนั้นหรือ? และยังไม่ส่องดูตัวอื้ออื้ออื้อ...”ไม่รอให้เขาพูดจบผมก็รีบอุดจะงอยปากของเขาไว้ทันที หากเ้าหมอนี่พูดมากไปกว่านี้ไม่แน่ว่าซ่งฉียวนอาจจะคิดมากด้วยหรือเปล่าหากรอให้คำว่าจอมปีศาจหลุดออกมาอีกแค่คำเดียว เท่ากับว่าความพยายามตลอดหลายวันที่ผ่านมาของผมก็นับว่าสูญเปล่า
ซ่งฉียวนคลำทางแล้วคว้าเอาชายชุดคลุมของผมเอาไว้ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ไม่ต้องรักษาตาข้าแล้วขอรับ พวกเรากลับกันเถอะข้าไม่อยากทำให้ท่านต้องลำบาก”
“นี่? เ้าเด็กน้อยผู้นี้ ข้าให้อาจารย์ของเ้าแต่งงานกับข้าแล้วมันเป็อย่างไร?เ้าเกี่ยวอะไรด้วยหรือ? เ้าก็ด้วย”พูดจบก็ชี้ไปยังอาจิ่วที่อยู่บนไหล่ผม “นกบ้านเช่นเ้ามีเกียรติอะไร? องค์หญิงผู้สูงศักดิ์แห่งเผ่าภูตหิมะเช่นข้ายังไม่คู่ควรกับเขาอีกหรือ? ”
เมื่อได้ยินคำว่า “นกบ้าน” สองคำนี้ขนทั่วทั้งร่างของอาจิ่วก็แทบจะะเิออกมา เดิมทีเขาก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้วที่ผมให้เขาแปลงกายเป็นกกระจอกแล้วตอนนี้ยังมาถูกคนด่าอีก ในใจคงรู้สึกอัดอั้นมากแต่ติดที่กลัวพลังข่มขู่ของผมจึงได้แต่กลืนลมหายใจนี้ลงไป แล้วพูดใส่รั่วรั่วอย่างไม่พอใจว่า“บุรุษที่ดีไม่ทะเลาะกับสตรี” แล้วก็พิงคอผมเพื่อขอความเห็นใจ
ผมรู้สึกตลกมาก จึงลูบขนของอาจิ่วไปมาก่อนจะตบศีรษะของซ่งฉียวนเบาๆ แล้วยิ้มออกมา “เลิกโวยวายได้แล้วข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย พวกเ้าก็รีบร้อนไปได้”
เมื่อมองไปที่รั่วรั่วผมรู้สึกเพียงว่าสาวน้อยนางนี้น่ารักใสซื่อมาก ผมลูบหน้าไปมาและตระหนักได้ว่าตัวเองไม่รอบคอบจริงๆ เพราะไม่ได้สวมหน้ากาก
“แม่นางข้าแก่กว่าเ้าเกินไป เ้าเป็ถึงองค์หญิงของเผ่าภูตหิมะแล้วจะแต่งงานกับชายชราได้อย่างไร? อีกอย่างต่อให้ข้าอยากจะแต่งงานกับเ้าแต่พ่อแม่ของเ้าคงจะไม่ตอบตกลงแน่”
อายุของอวี๋เคอนั้นต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยปีแน่นอนสำหรับผมแล้วรั่วรั่วก็คือหญ้าอ่อน
“ข้าไม่สนว่าท่านจะอายุเท่าไร!ข้าก็อยากให้ท่านแต่งงานกับข้า!” แม่นางน้อยเงยหน้าด้วยท่าทางที่ไม่อาจต่อรองได้“หากท่านแต่งงานกับข้า ข้าจะมอบบัวหิมาลัยให้กับท่าน หากท่านไม่แต่งงานกับข้าข้าจะทำให้ท่านไม่ได้รับบัวหิมาลัยจากใครอื่นเลย! ”
ผมััได้ถึงมือของซ่งฉียวนที่จับชายเสื้อของผมแน่นขึ้นริมฝีปากเม้มจนเป็เส้นตรงเห็นได้ชัดเลยว่าใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์กลับดูจริงจังและแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะแต่งงานกับเ้า”
เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากผมขนของอาจิ่วที่เพิ่งถูกผมลูบจนเรียบก็พองขึ้นมาอีกครั้งมือของเด็กน้อยแทบจะฉีกกระชากชายเสื้อคลุมของผม “แต่ว่า อีกสิบปีอีกสิบปีข้าจะมาแต่งงานกับเ้า”
“อ๊าอ๊า! ดีจังเลย! บัวหิมาลัยเป็ของท่านแล้ว!” รั่วรั่วยื่นบัวหิมาลัยส่งมาในมือของผม แล้วกล่าวต่อว่า“บัวหิมาลัยสองหัวถือเป็ของหมั้นที่ชาวภูตหิมะของเรามอบให้กับคนที่พวกเรารักให้แค่คนที่พวกเราชอบเท่านั้นดังนั้นหากท่านถือบัวหิมาลัยแล้วก็ต้องแต่งงานกับข้า! ไม่มีการต่อรองใดๆ! ”เมื่อพูดคำนี้จบ แม่นางน้อยก็ยื่นมือออกมา แล้วขยิบตาให้ผม “แล้วท่านเล่า จะให้อะไรกับข้า? ”
เมื่อถูกเธอถาม ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าจะให้อะไรเธอดี ขณะที่กำลังจะตั้งหน้าหาของจากในแหวนหยกให้เธออยู่แต่กลับไม่คิดว่าเบื้องหน้าจะมืดลง แม่นางน้อยขยับเข้ามาด้านหน้าแล้วหนึ่งจุมพิตก็ััลงบนหน้าผากของผม
ผมถูกััอันนุ่มละมุนนี้กระตุ้นจนตัวแข็งทื่อได้ยินเพียงเสียงหัวเราะอันไพเราะของเธอที่อยู่ใกล้ใบหู “ข้าประทับตราให้ท่านแล้วท่านหนีไม่พ้นแล้ว! ” พูดจบเธอก็หมุนตัวะโลงจากรถม้า แล้ววิ่งออกไปราวกับสายลมเสียงใสกังวานดังแว่วมาพร้อมกับเสียงหิมะที่ตกลงมา
“อีกสิบปีข้างหน้าข้าจะรอท่านกลับมา! ”
ผ่านไปครู่ใหญ่ ผมถึงได้สติกลับมาเมินอาจิ่วที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุดกับซ่งฉียวนที่เงียบขรึมเป็ทองคำ แล้วลูบสลักเงินบนหน้าผากไปมาจู่ๆ ก็รู้สึกว่าความรู้สึกนี้ไม่เลวเลย
......
เชิงอรรถ
[1] ลี้เป็หน่วยวัดของจีน มีความยาวเท่ากับ 500 เมตร
[2] โชคดอกท้อ หมายถึงโชคเื่ความรัก
[3] หัวโต หมายถึงเวียนหัว อธิบายสิ่งที่เป็เื่ยากหรือน่ารำคาญ หรือกลัว