ภายในห้องโถงประชุมของจวนท่านโหวเหวินชาง
ใบหน้าของชายชราอึมครึมมากเสียจนเหมือนท้องฟ้าที่ฝนกำลังจะตก เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำในลำคอ “องค์ไท่จื่อถูกลอบสังหาร นังเด็กเวรนั่นไม่กลับจวน พรุ่งนี้พอฮ่องเต้ส่งคนไปสอบสวน ไม่แน่ว่าอาจดึงคนภายในจวนพวกเราเข้าไปพัวพันด้วยก็ได้”
“อวี่เวยบอกว่า นางเห็นหน้าโหยวเสวี่ยชิงอยู่ครั้งหนึ่งตอนเริ่มงานเท่านั้น ขณะอยู่ในงานเลี้ยงหลังจากนั้นก็ไม่เห็นเงากายของนางอีกเลย ท่านพ่อ ท่านพี่ สถานการณ์ของพวกเราท่าจะไม่ดีอย่างมากแล้วขอรับ!” โหยวฮั่นสีหน้าไม่ดีเช่นกัน องค์ไท่จื่อปรากฏอยู่คฤหาสน์นั่น โหยวเสวี่ยชิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย แปดถึงเก้าในสิบส่วนสองคนต้องอยู่ด้วยกันเป็การส่วนตัวแน่ เมื่อองค์ไท่จื่อตาย เช่นนั้นโหยวเสวี่ยชิงก็หลุดจากความน่าสงสัยไปไม่ได้แล้ว
“เพล้ง” ถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายครามถูกปัดตกแตกเป็เสี่ยง
“ไม่ใช่ว่าต้องโทษพวกเ้าทั้งหมดหรอกหรือ ครั้งก่อนตอนคุยกันเื่นี้ ก็ควรขังนังเด็กเวรนั่นไว้สิ คราวนี้เป็อย่างไรล่ะ นางก่อหายนะเป็คลื่นใหญ่ั์นี้ขึ้นมา ลากพวกเราทั้งจวนเข้าไปเกี่ยวพันด้วยแล้ว” นายท่านผู้เฒ่าโหวเดือดดาลไม่หยุด ลุกขึ้นยืนชี้หน้าด่าพวกเขา
ท่านโหวเหวินชางกับโหยวฮั่นมองหน้ากันไปมาแล้วยิ้มเจื่อน อุปนิสัยอารมณ์ร้อนนี้ของผู้เป็บิดา ขนาดชราลงแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อชายชราด่าจนเหนื่อยแล้ว ถึงได้กลับมานั่งอยู่กับที่ด้วยลมหายใจหอบถี่
“ท่านพ่อ เสวี่ยชิงเป็สตรีที่แต่งออกไปนอกตระกูลแล้ว บ้านรองก็แยกครอบครัวออกไปแล้ว สถานการณ์ของพวกเรายังไม่รุนแรงเพียงนั้น พรุ่งนี้รุ่งสางท่านกับข้าไปเข้าเฝ้าในวังด้วยกัน พวกเราดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยคิดจัดการเถอะขอรับ ท่านรู้จักกับฮ่องเต้มาั้แ่วัยเยาว์ ชิงยอมรับผิดและขอรับการอภัยเสียก่อน อย่างไรฮ่องเต้ก็มีเมตตาและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นตลอดมา ไม่มีทางตัดสินลงโทษจวนพวกเราง่ายๆ หรอกขอรับ”
ท่านโหวเหวินชางกล่าวด้วยวาจาสงบนิ่งใจเย็น เขาไม่กังวลว่าฮ่องเต้จะตัดสินพวกเขาอย่างไม่มีหลักฐาน แต่ห่วงว่าจะพบร่องรอยของโหยวเสวี่ยชิงอยู่ในสถานที่เกิดเหตุขณะองค์ไท่จื่อถูกฆ่าเท่านั้น
“ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้อง ไม่ว่าเสวี่ยชิงจะอยู่ในสถานที่ถูกลอบฆ่าหรือไม่ ก็ไปยอมรับผิดและขอรับการอภัยกับฮ่องเต้ก่อน เื่ที่สองคนลอบมีความสัมพันธ์ชู้สาวกัน หากตรวจสอบการถูกลอบสังหารออกมาแล้วจะได้ไม่ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่าเดิม” โหยวฮั่นเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้เป็พี่ชายอย่างยิ่ง
ชายชราฮึดฮัด “หน้าตาของสกุลโหยวล้วนถูกนางทำป่นปี้จนหมดสิ้นแล้ว ขณะนี้ยังต้องสละใบหน้าแก่ๆ ของข้าไปขายขี้หน้าเพิ่มอีก เฮ้อ นี่ข้าไปก่อบาปกรรมอะไรเข้ากันนะ ถึงได้มีลูกเวรออกมาเพียงนี้”
ท่านโหวเหวินชางกับโหยวฮั่นรีบกล่าวปลอบใจอีกรอบขึ้นทันที
...ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่หนาวเย็นและมืดมิด ลานด้านในของพระราชวังเต็มไปด้วยแสงไฟอันเจิดจ้า
ในศาลาตงหน่วนของพระราชวังเฉียนชิง ฮ่องเต้นอนตะแคงข้างอยู่บนเตียงหลัวฮั่นไม้หนานมู่แกะสลักลายัสีทองด้วยพระพักตร์ซีดขาว
ท่านหมอเทวดาจางเชียนหย่วนกำลังเอี้ยวตัวเข้าไปด้านข้างเพื่อตรวจชีพจรของฮ่องเต้
ฉีกุ้ยเฟยยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเป็กังวล
เวลาหนึ่งเดือนกว่ามานี้ ฮ่องเต้พึ่งพาประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของโสมคนชั้นยอด กว่าพระวรกายของฝ่าาจะกลับขึ้นมาดีได้ไม่ง่ายเลย ผลสุดท้ายข่าวร้ายนี่ก็มาทำให้ฮ่องเต้ตื่นตกพระทัยจนโงนเงน คนทั้งร่างล้วนเป็ลมไปแล้ว
มือของฉีกุ้ยเฟยสั่นเทาเล็กน้อย โสมคนใช้หมดไปแล้วหนึ่งต้น พระวรกายของฮ่องเต้ยังแข็งแรงขึ้นได้ไม่ดีทั้งหมด หากโรคเก่ากำเริบและล้มประชวรลุกไม่ขึ้นอีก เช่นนั้นโสมคนที่เหลืออยู่อีกหนึ่งต้นจะประคับประคองไปได้อีกนานแค่ไหนกัน?
โสมคนชั้นยอดอาจพานพบแต่ไม่อาจร้องขอให้ได้มา จวนสกุลกู้ก็เว้นไปตั้งสามปีจึงจะหาโสมคนชั้นยอดสองต้นนี้พบได้อีกครั้ง หากเป็เช่นนี้ฝ่าาจะรออีกสามปีได้ไหวหรือ?
จางเชียนหย่วนเก็บมือที่จับชีพจรกลับมา ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเฮือกหนึ่ง ตอนที่เขาถูกเรียกตัวมาก็ค่อนข้างใไม่น้อยเช่นกัน เขาติดอยู่ในวังหลวงแห่งนี้มาสี่ปี เฝ้ามองอาการประชวรของฮ่องเต้ดีวันดีคืนกลับขึ้นมาได้ เขาก็เหมือนเห็นแสงอาทิตย์แรกอรุณ พอฮ่องเต้มาหมดสติไปกะทันหันเช่นนี้ เขารู้สึกว่าอนาคตของเขามืดดับลงไปทันที แต่ยังดีที่การหมดสติไปครั้งนี้เป็แค่ทนรับข่าวร้ายที่มากระทบกระเทือนใจอย่างกะทันหันไม่ได้เท่านั้นเอง อาการของโรคเก่าไม่ได้กำเริบขึ้นอีก
ฉีกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นจึงผ่อนลมหายใจโล่งอกเช่นกัน ร่างกายที่ผ่านความตึงเครียดอดซวนเซไม่ได้ เฉาลั่วที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายรีบเข้ามาพยุงนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้หวงลี่สลักลวดลายดอกกุหลาบ
ซื่อจื่อเฉิงเอินโหวยังคงคุกเข่าอยู่ภายในตำหนักกลาง ยามนี้เขาก็ใจนใบหน้าซีดเผือด และสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งกายเช่นกัน
องค์ไท่จื่อถูกลอบปลงพระชนม์อยู่ภายในคฤหาสน์ของเขา ฮ่องเต้เป็ลมหมดสติไปหลังจากได้ยินข่าวร้ายที่เขานำมา ท่านหมอเทวดาจางเลยต้องถูกเรียกเข้าวังอย่างเร่งด่วน หากฮ่องเต้มีอันเป็ไปเกรงว่าจวนเฉิงเอินโหวคงต้องฝังตามติดกันไปด้วยแน่แล้ว
จู่ๆ ได้มีเสียงความวุ่นวายดังขึ้นที่นอกตำหนักอย่างฉับพลัน
ขันทีรีบสาวเท้าเข้ามาในศาลาตงหน่วนเพื่อรายงาน
“ทูลกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ฮองเฮาเหนียงเหนียงร่ำไห้เอะอะอยู่นอกตำหนัก้าเข้าพบฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีกุ้ยเฟยขมวดคิ้วขึ้น องค์ไท่จื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ฮองเฮากลายเป็เสือไร้คมเขี้ยวและกรงเล็บ นางเพียงผู้เดียวไม่เพียงพอให้น่าหวาดกลัว แต่อำนาจทางครอบครัวของฮองเฮากลับไม่อาจดูถูกได้
“ไปทูลฮองเฮาเหนียงเหนียง ฮ่องเต้ได้รับข่าวร้ายกะทันหัน ตอนนี้หมดสติไปยังไม่ฟื้น ท่านหมอเทวดาจางกำลังทำการจับชีพจรตรวจและรักษาอยู่ ตอนนี้ไม่เหมาะให้เข้าเฝ้า ให้นางมาใหม่วันพรุ่งนี้”
ขันทีรับคำสั่งและออกไป
นอกตำหนัก หลังความโกลาหลวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง จึงกลับสู่ความเงียบสงบลงอีกครั้ง
...ในท้องฟ้ามืดมิดเกล็ดหิมะปลิวว่อน และเริ่มตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ
วันถัดมาแสงยามรุ่งอรุณของท้องฟ้าเพิ่งสว่างโร่ขึ้น
หิมะที่ทับถมอยู่นอกหน้าต่างสะท้อนแสงเข้ามาในห้องทำให้สว่างไสวไปทั่ว
เจินจูตื่นขึ้นมา หลังล้างหน้าแปรงฟันหนึ่งรอบก็เริ่มจัดเก็บสิ่งของภายในห้อง และสั่งให้ผิงอันจัดเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย
เดิมนางตั้งใจจะพาผิงอันไปยืมที่พักอยู่บ้านโหยวอวี่เวยสักสองสามวัน
แม้พวกเขาจะมีป้ายผ่านทางยืนยันตัวตนเข้าเมืองมา แต่ตอนนี้ก็เป็่เวลาพิเศษ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ความคิดที่จะไปพึ่งพิงอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่อย่างจวนท่านโหวเหวินชางคงปลอดภัยมากกว่า
แต่เมื่อคืนนางคิดอย่างละเอียดรอบคอบอยู่พักหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร ขณะที่องค์ไท่จื่อตาย โหยวเสวี่ยชิงอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย สกุลโหยวมากน้อยอย่างไรก็ต้องได้รับการพัวพันเข้าไปด้วยแน่ เวลาเช่นนี้ไปเป็แขกที่บ้านของพวกนาง ไม่ใช่ว่าไปเพิ่มปัญหาให้คนเขาหรือ
แน่นอนว่าโรงเตี๊ยมก็อยู่ต่อไม่ได้แล้วเช่นกัน หากเ้าหน้าที่ตรวจการจะสืบค้น ที่แรกคงต้องเลือกโรงเตี๊ยมอย่างแน่นอน
ฉะนั้นตอนนี้ต้องเก็บสัมภาระให้เรียบร้อยก่อน อีกเดี๋ยวค่อยหารือกับหลัวจิ่งสักหน่อย
ขณะที่กำลังวุ่นวายเก็บของอยู่นั้น ข้างนอกประตูแว่วเสียงฝีเท้าเข้ามา
ต่อจากนั้นเสียงของหลัวจิ่งก็ดังขึ้น “นายท่านกั๋วกง มาเยี่ยมเยือนแต่เช้าเพียงนี้มีเื่ใดหรือขอรับ?”
เจิ้นกั๋วกงมาหรือ? เจินจูชะงัก เช้าตรู่เพียงนี้เขามาทำอะไรกัน
เซียวฉิงมองหลัวจิ่งที่รูปร่างสูงใหญ่ สง่างามไม่ธรรมดา ในดวงตาของเขาปรากฏความยุ่งเหยิงวาบผ่าน
จัดการองค์ไท่จื่อลงได้อย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่เื่ง่ายดายเลยแต่เขากลับทำได้
หลัวจิ่งเห็นเขาไม่ตอบ อีกทั้งสายตาที่จับจ้องมายังเฉียบคมประดุจเหยี่ยวก็ไม่ปานอีก
เขาอดตึงเครียดขึ้นไม่ได้
“เ้าหนุ่มสกุลหลัว เ้าไม่เลวยิ่งนัก” ผ่านไปพักหนึ่ง ประโยคนี้จึงกล่าวออกมาจากปากของเซียวฉิง
สายตาของหลัวจิ่งแสดงความงงงวยขึ้น
เจินจูดึงประตูเปิดออก และย่อกายทำความเคารพไปทางเจิ้นกั๋วกง
“อรุณสวัสดิ์นายท่านกั๋วกงเ้าค่ะ”
เซียวฉิงมองมาทางหญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางแสงสีทองของยามเช้า หน้าตาให้ความรู้สึกปลอดภัย ดวงตาปราดเปรียวฉลาดเฉียบแหลม ผิวขาวดุจหิมะ บุคลิกโดดเด่นไม่มีผู้ได้เทียบได้ ท่าทางเป็เด็กสาวที่งดงามมีชีวิตชีวาผู้หนึ่งเลย
ไม่แปลกใจเลยที่จะดึงดูดสายตาของจวิ้นเอ่อร์ให้ตราตรึงไว้ได้
แต่เมื่อเซียวฉิงหันหน้ากลับมา เขามองหลัวจิ่งที่ยืนสูงตรงอยู่อีกด้านแวบหนึ่ง คนผู้นี้คุ้มครองสองพี่น้องมาตลอดทาง สองคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันนะ?
เซียวฉิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา โดยแสดงจุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้ว่า มารดาของเซียวจวิ้นหรือก็คือฮูหยินของเขา ได้เชิญพวกเขาไปพักที่จวนกั๋วกงเป็การชั่วคราว เพื่อแสดงความจริงใจในการขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ
บังเอิญเพียงนี้เลย? เจินจูกับหลัวจิ่งมองหน้ากันแวบหนึ่ง ในดวงตาสองคนล้วนปรากฏความสงสัยขึ้น
แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากได้ไปพักอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงสักพัก นับเป็ตัวเลือกที่ไม่เลวเลยจริงๆ หลัวจิ่งลังเลใจอยู่นิดหน่อยแล้วหันไปพยักหน้าเบาๆ กับเจินจู
การกระทำของเซียวฉิงรวดเร็วอย่างมาก กำลังคนที่เซียวฉิงนำมา ต่างพากันช่วยพวกเขาขนสัมภาระขึ้นรถม้าอยู่สองสามทีก็เรียบร้อยแล้ว
หลังจัดการค่าใช้จ่ายโรงเตี๊ยมเสร็จ รถม้าก็มุ่งหน้าไปยังจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างรวดเร็ว
เซียวฉิงขี่ม้านำทางอยู่ข้างหน้า ข้างหลังตามมาด้วยผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา และรถม้าสองเกวียน รวมกับผู้คุ้มกันที่ขี่ม้าอีกหนึ่งกลุ่มตามอยู่ข้างหลังอย่างใกล้ชิด
เมื่อคืนมีหิมะตกลงมาอย่างหนัก ริมฝั่งถนนสองข้างทางล้วนปกคลุมไปด้วยกองหิมะผืนหนา คนที่ตื่นแต่เช้าตรู่จึงเริ่มออกมาทำความสะอาดกองหิมะที่ทับถมหน้าประตูบ้านของตัวเอง
ลมเหนือพัดพาความหนาวเย็นมาปะทะบนใบหน้า ผู้คนจำนวนมากหนาวเย็นจนจมูกขึ้นสีแดง
เจินจูมองออกไปด้านนอกผ่านซอกม่านครู่หนึ่ง จากนั้นจึงล้วงเข้าไปในห่อผ้าหนึ่งอันภายในเกวียน
หยิบถุงมือที่แต่ละนิ้วเล็กใหญ่ไม่เท่ากันคู่นั้นออกมา
“ผิงอัน เ้าลองดูไหม?”
“ท่านพี่ สิ่งนี้คืออะไร?”
“…เอ่อ เ้ายื่นมือออกมา ใช่ แบบนี้แหละ อื้ม เสร็จแล้ว”
เจินจูมองผลงานของตัวเองด้วยความรังเกียจ ฝีมือช่างแย่เกินไปแล้ว ช่างเถอะ ไว้กลับไปหมู่บ้านวั้งหลินแล้ว ค่อยให้ท่านแม่เย็บให้แล้วกัน
“ท่านพี่ ข้างในนี้อุ่นจริงๆ นี่เป็ท่านเย็บใช่ไหม จุ๊ๆ รอยเย็บนี่ช่างบิดเบี้ยวจริงๆ”
ผิงอันยกมือขึ้นมามองซ้ายทีขวาที พร้อมกับพูดแทงใจดำขึ้นด้วยประโยคเดียว
เ้าเด็กนี่ ยังอยากอยู่เล่นสนุกอย่างมีความสุขอยู่หรือไม่? เจินจูมองค้อนเขาทีหนึ่งและยึดถุงมือกลับมา
“แหะๆ ท่านพี่ ของสิ่งนี้ใช้ตอนขี่ม้าคงยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ แต่ต้องหาคนที่เย็บปักถักร้อยดีๆ มาทำนะ ส่วนฝีมือของท่านอันนี้ก็ช่างมันเถอะ”
ผิงอันยิ้มแป้นก่อกวนผู้เป็พี่สาวของเขาต่อ
เจินจูยกกำปั้นขึ้น และแกว่งขู่ไปทางเขา
ขณะที่สองคนกำลังทะเลาะหยอกล้อกันอยู่ รถม้าได้หยุดลงกะทันหัน
“นายท่านกั๋วกง เช้าตรู่เพียงนี้ นี่ท่านออกมาทำอะไรกันขอรับ?”
เสียงหนาเข้มแฝงไว้ด้วยความแหบต่ำดังขึ้นอยู่ด้านหน้า
“ที่แท้ก็เป็ใต้เท้าฟางนี่เอง เ้าก็ออกมาเช้าตรู่เพียงนี้ เร่งออกมาทำงานอะไรกัน?”
เสียงของเซียวฉิงเรียบนิ่งบางเบา
“ข้าน้อยเร่งออกมาทำงานอะไร นายท่านกั๋วกงจะไม่ทราบเลยหรือ? ทั้งเมืองหลวงล้วนวุ่นวายเสียจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ท่านกลับสงบได้มากเพียงนี้ ข้าน้อยเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง”
“หึ ฮ่องเต้มีพระวรกายมั่นคงแข็งแรง เปิ่นโหว [1] ย่อมสงบมากเป็ธรรมดา”
เซียวฉิงมองไปที่ฟางติ่งผู้ตรวจการของศาลาว่าการแห่งเมืองหลวง ที่กำลังขวางอยู่ข้างหน้าเขาราวกับตั้งใจและไม่ตั้งใจด้วยหางตา ฟางติ่งผู้นี้ภายนอกแสดงออกว่าเป็กลางไม่ถือข้างผู้ใด แต่ในที่ลับกลับไปขอพึ่งพาองค์ไท่จื่อหานเซี่ยน ไม่รู้ว่าช่วยองค์ไท่จื่อปกปิดเื่สกปรกเป็การส่วนตัวไปมากเท่าไรแล้ว
หึๆ เมื่อหานเซี่ยนตาย พวกเขาย่อมต้องโมโหจนกระทืบเท้าปึงปังเป็ธรรมดา
ฟางติ่งถูกเขาตอกกลับจนลมหายใจสะดุดเช่นนี้ ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก เมื่อคืนเขากับแม่ทัพทั้งเก้าประตูถูกเรียกตัวเข้าวังพร้อมกันอย่างเร่งด่วน องค์ไท่จื่อถูกลอบสังหารสิ้นพระชนม์อยู่ในที่พักซื่อจื่อเฉิงเอินโหว ฮ่องเต้ได้ฟังข่าวร้ายที่น่าใก็หมดสติไป พอฟื้นขึ้นมาได้ก็เรียกพวกเขาเข้าวังทันที สั่งให้พวกเขาไปตรวจค้นที่เกิดเหตุในคืนนั้นพร้อมกันกับซื่อจื่อเฉิงเอินโหว
องค์ไท่จื่อสิ้นพระชนม์อยู่บนกายของหญิงสาว และหญิงสาวผู้นั้นคือโหยวเสวี่ยชิง นางผู้ซึ่งเป็จี้ซื่อ [2] ที่ลี่ปู้ซื่อหลางแต่งเข้ามาหมาดๆ เป็บุตรสาวของครอบครัวรองที่บิดากำเนิดโดยอนุแห่งจวนท่านโหวเหวินชาง ขณะที่ถูกคนพบเข้า สองคนร่างกายเปลือยเปล่าเกี่ยวพันอยู่ด้วยกัน องค์ไท่จื่อไร้ลมหายใจ โหยวเสวี่ยชิงโดนพิษตกอยู่ในภาพมายาสติเลอะเลือน แล้วยังมีองครักษ์สองคนก็โดนพิษชนิดเดียวกันและถูกคนทำให้หมดสติไปพร้อมกัน
าแที่ทำให้องค์ไท่จื่อถึงแก่ความตายอยู่บนข้อมือ ผ่านการตรวจสอบจากท่านหมอหลวงมาแล้ว พบว่าคราบเืบนข้อมือมียางของต้นเกาทัณฑ์พิษ เมื่อเข้าสู่หลอดเืจึงปิดกลั้นลมหายใจ ไร้ยาใดถอนพิษได้
เมื่อไม่มีองค์ไท่จื่อ พรรคพวกเหล่านี้ก็เหมือนฝูงัไร้หัว อลหม่านเสียจนกลายเป็มดในหม้อร้อน
และการที่พระวรกายของฮ่องเต้กลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม ผู้ใดจะมีหน้าตาไปกว่าเจิ้นกั๋วกงที่คอยสนับสนุนฮ่องเต้เสมอมาได้
“ฮ่าๆ นั่นย่อมเป็เื่ธรรมดา ฮ่องเต้มีพระวรกายที่แข็งแรงมั่นคงได้ ทั่วทั้งราชสำนักสมควรสงบเช่นยามปกติยิ่ง นายท่านกั๋วกงลึกซึ้งและมีข้อคิดเห็นที่ชัดแจ้งจริงๆ ข้าน้อยเคารพเลื่อมใสยิ่งนัก”
ฟางติ่งปล่อยวางท่าทีลง กล่าวเอาใจอย่างระมัดระวัง
ความถากถางของเซียวฉิงปรากฏวาบผ่านในดวงตา กากเดนขององค์ไท่จื่อเหล่านี้ ในอีกไม่ช้าต้องถูกเก็บกวาดจนหมดสิ้นแน่
“ใต้เท้าฟางกำลังอยู่ในหน้าที่ เปิ่นโหวไม่รบกวน ขอล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งก้าวแล้ว”
“ได้เลยๆ นายท่านกั๋วกงเดินทางปลอดภัย” ฟางติ่งออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชา หลบทางออกเป็ถนนหนึ่งเส้น
เซียวฉิงไม่ให้ความสนใจเขาอีก ยกมือสะบัดแส้ม้าหนึ่งที ควบม้าพันธุ์ดีจากไปอย่างรวดเร็ว
กลุ่มคนมากมายที่อยู่ด้านหลังรีบตบม้าตามไป
เจินจูถือโอกาสที่รถม้าควบผ่าน มองออกไปจากซอกม่านแวบหนึ่ง เห็นฟางติ่งผู้ตรวจการของศาลาว่าการแห่งเมืองหลวงที่สวมเครื่องแบบและหมวกทางการได้พอดี
อายุสี่สิบปีโดยประมาณ หัวคิ้วย่นเป็ตัวเลขแปด มีริ้วรอยที่หางตา บนใบหน้าไว้หนวดเคราสั้นๆ รูปร่างท้วมเล็กน้อย สายตามืดครึ้มยากแก่การคาดเดากำลังจ้องเขม็งไปที่กองกำลังพวกเขา
จุ๊ๆ พอมองก็รู้เลยว่าไม่ใช่สายตาที่มีเจตนาดี หรือเขาก็เป็พรรคพวกขององค์ไท่จื่อด้วยอย่างนั้นหรือ?
เจินจูคิดไปถึงตอนที่พรรคพวกขององค์ไท่จื่อทราบข่าวการตายของเขา จะใจนทำอะไรไม่ถูกมากเพียงใดกันนะ นางกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่
ปล่อยให้เ้าหลงระเริงกับอำนาจและแสดงความดุร้าย ปล่อยให้เ้าฆ่าคนเป็ผักปลา ปล่อยให้เ้าจิตใจคับแคบอย่างมาก หึๆ ถึงคราวที่กรรมตามมาสนองแล้วล่ะสิ
ย่อมต้องมีคนจัดการลงโทษเ้าแทน์เป็ธรรมดา
และนาง... ก็คือผู้ที่ธำรงคุณธรรมแทน์ผู้นั้นนั่นเอง ฮ่าๆๆ!
“ท่านพี่ ท่านอย่ายิ้มจนน่าขนลุกเพียงนั้นจะได้หรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นโหว คือ คำเรียกแทนตัวเองของขุนนางบรรดาศักดิ์สูง
[2] จี้ซื่อ คือ ภรรยาทดแทน เมื่อภรรยาเก่าตายไปจึงแต่งภรรยาใหม่เข้ามาทดแทน