เดิมทีหั่วอี้ได้ยินเสียงนายบ่าวสนทนากันอย่างมีความสุขดังมาจากห้องนอนของหลิ่วจิ้งเขากำลังคิดว่าจะอาศัยโอกาสที่นางกำลังอารมณ์ดีไปพบนาง แต่ขณะกำลังจะก้าวออกจากประตูห้องกลับได้ยินคำพูดของอิ๋งเหอ
คำฟ้องว่าแม้แต่เบี้ยเดือนก็ยังไม่มีนี้ราวกับพูดให้เขาฟังโดยเฉพาะตอนนี้เองหั่วอี้จึงเพิ่งสำเหนียกว่านี่เป็ความละเลยของเขาโดยแท้ดีที่องค์หญิงยังพอมีตั๋วเงินติดตัวมา มิเช่นนั้นรายจ่ายในเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้นางต้องอยู่อย่างอัตคัดขัดสนเพียงใดเมื่อไม่มีเงินไว้ใช้จ่าย
สมควรตายจริงๆ หั่วอี้แอบด่าตนเองอยู่ในใจดูท่าแล้วสิ่งที่เขาละเลยต่อองค์หญิงคงไม่ใช่แค่เื่สองเื่เสียแล้ว
“เอาล่ะอิ๋งเหอ เ้าก็อย่าได้เป็ทุกข์ไปเลย ในจวนแม่ทัพแห่งนี้มีที่กินที่อยู่ข้าจะขาดเหลือเื่กินเื่ใช้ได้อย่างไร ต้องใช้เงินทองที่ใดกัน”หลิ่วจิ้งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง วันคืนที่ต้องยืมจมูกผู้อื่นหายใจจะต้องสิ้นสุดลงสักวัน
อิ๋งเหอเอาสร้อยข้อมือมาใส่ทันทีด้วยความดีใจ มันงดงามจนนางหัวเราะเหอๆออกมา ลืมไปแล้วว่าเพิ่งทำผมให้หลิ่วจิ้งได้แค่ครึ่งเดียว
“อย่าเพิ่งมางามเอายามนี้ ไว้ถึงยามเ้างามก่อนวันนี้ฮูหยินยังต้องออกไปซื้อของนอกจวนอีกนะ อย่าทำให้เสียเวลาให้ฮูหยินไปเร็วกลับเร็ว จะได้ไม่ต้องวุ่นวายอยู่จนถึงมืดค่ำเช่นเมื่อวาน เห็นฮูหยินเหน็ดเหนื่อยจนพอกลับมาหัวถึงหมอนก็นอนหลับไปให้รู้สึกสงสารนัก”
อวี้จิ่นเอ่ยปาก นับเป็การเตือนสติหั่วอี้ไปพร้อมกันเขาไม่อาจรั้งรอไม่โผล่หน้าออกไปสักทีได้อีก หากยังไม่ปรากฏตัว พวกของหลิ่วจิ้งก็คงออกจากเรือนไปก่อน
“ฮูหยินเ้าคะ ฮูหยินวานนี้ท่านบอกไว้แล้วว่าวันนี้จะพาออกไปนะเ้าคะ” พอบอกว่าจะออกไปข้างนอกอิ๋งเหอก็ทำงานคล่องแคล่วขึ้นมาขยับมือสองสามหนอย่างชำนาญก็ทำผมแต่งตัวให้หลิ่วจิ้งเสร็จแล้ว
“เอาล่ะๆ วันนี้ทั้งเ้าและอวี้จิ่นล้วนออกไปกับข้า”หลิ่วจิ้งเองก็สงสารสาวใช้ทั้งสองคนของนางเื่กินเื่ใช้ยามอยู่ในจวนแม่ทัพล้วนได้รับจัดสรรในสัดส่วนของบ่าวเท่านั้นในเมื่อตอนนี้นางมีเงินแล้วจึงคิดแต่อยากจะพาพวกนางออกไปปรับปรุงเื่การกินการอยู่สักหน่อย
เมื่อได้รับอนุญาตจากหลิ่วจิ้งว่าให้ออกไปนอกจวนได้ อิ๋งเหอก็รีบเดินไปที่ประตูเรียกเด็กรับใช้ให้เร่งยกอาหารมานางแทบทนรอไม่ไหวอยากออกไปข้างนอกเสียั้แ่เดี๋ยวนี้แล้ว
หลิ่วจิ้งกับอวี้จิ่นต้องปิดปากหัวเราะเมื่อเห็นอิ๋งเหอวุ่นหน้าวุ่นหลังไม่หยุดดูไปแล้วในจวนแม่ทัพแห่งนี้ก็มิได้ไม่ดีไปเสียหมด อย่างน้อยเมื่อมีสาวใช้สองคนนี้อยู่ด้วยก็นำพาความสุขมาสู่ชีวิตนางไม่น้อยเลยทีเดียว
น่าเสียดายก็แต่บรรยากาศแช่มชื่นนี้กลับต้องเงียบงันลงทันใดเมื่อหั่วอี้ก้าวเข้ามา
ร่างหยัดตรงของหั่วอี้หันหลังให้แสงอาทิตย์ก้าวเข้ามาในห้องทว่าไม่เพียงมิได้นำความอบอุ่นมาสู่หลิ่วจิ้ง กลับกันเมื่อนางเห็นเขาเข้ามา ตัวนางก็ััได้ถึงไอะเืหนักหน่วงที่ไม่รู้ที่มาเสียอีก
ภาพเมื่อสองคืนก่อนปรากฏขึ้นสู่สมองอีกครั้งนางมองหั่วอี้ด้วยสายตาระแวงระวัง เหลือบตามองใบหน้าของหั่วอี้ด้วย้าประเมินอารมณ์ของเขาในเวลานี้
เห็นสีหน้าระวังตัวของหลิ่วจิ้ง หั่วอี้ก็รู้สึกอึดอัดใจเต็มทนล้วนต้องโทษเขาที่ทำให้ทุกสิ่งมาถึงจุดนี้
“จัดอาหารเถิด ข้าหิวแล้ว” เขาสั่งความไปแสร้งทำเป็ว่าไม่มีเื่ใดเกิดขึ้น
สตรีทั้งสามคนในห้องพากันมองเขาด้วยสีหน้าฉงนทำเอาเขารู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง
“จัดอาหารสิ ฮูหยินไม่หิวหรือไร?” เขาได้แต่อาศัยเหตุผลไม่เอาไหนเช่นนี้มาช่วยลดทอนบรรยากาศแสนแข็งทื่อภายในห้อง
“รีบไปสิ” หลิ่วจิ้งเอ่ยเบาๆ บอกให้อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอรีบไปจัดการ
อิ๋งเหอมองหลิ่วจิ้งคราหนึ่งด้วยความเป็ห่วง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสงบเยือกเย็นราวกับไม่เป็อะไรจึงออกไปอย่างวางใจ
“เมื่อคืนฮูหยินนอนหลับดีหรือไม่” หั่วอี้รู้สึกว่าตนต้องพูดบางสิ่งบ้างความเงียบงันเช่นนี้ทำเอาเขาไม่รู้ว่าควรวางมือวางไม้อย่างไรจึงจะดี
“นอนหลับสบายนักเ้าค่ะขอบพระคุณท่านใต้เท้าแม่ทัพที่เป็ห่วงนะเ้าคะ”หลิ่วจิ้งมีสีหน้าครึ่งกลัวครึ่งลนลาน หลังจากถูกให้ร้ายมาหลายครั้งในที่สุดนางก็คิดตกแล้วว่าขอเพียงท่านไม่มารังควานข้า ข้าก็จะนอนหลับฝันดีนัก
หั่วอี้จะรู้ได้อย่างไรว่านางพูดอย่างคิดอีกอย่างเมื่อเห็นว่าหลิ่วจิ้งยอมพูดจาด้วยเขาก็ดีใจนักและไม่ได้มีท่าทีขัดเขินเช่นตอนเพิ่งเข้ามาอีกแล้ว
“งานที่ฮูหยินใหญ่มอบหมายให้ฮูหยินทำนั้น สามีพอจะได้ยินมาบ้างแล้วฮูหยินนึกเสียว่าออกไปเดินเที่ยวซื้อของก็แล้วกันสองสามวันนี้สามีก็จะไปกับท่านด้วยงานใดที่หนักหนาเกินไปก็ให้พ่อบ้านไปจัดการเป็พอแล้ว”
หั่วอี้เอ่ยปากด้วยสีหน้าปกติ แต่กลับรู้สึกฝืนตนเองอยู่ในใจเพราะเขาเคยต้องอธิบายด้วยเสียงเบาอ่อนโยนเช่นนี้กับใครมาก่อนที่ใดกัน
เขามองหลิ่วจิ้งพลางพูดต่อว่า “ฮูหยินใหญ่มอบหมายงานให้ท่านแต่ท่านก็สามารถมอบหมายงานต่อไปได้”
หลิ่วจิ้งจ้องหั่วอี้ด้วยสายตาประหลาดใจ เขาไม่โกรธแล้วหรือ? ซ้ำยังช่วยนางพูด และจะออกไปซื้อของกับนางอีกด้วยไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่เหมือนสิ่งที่แม่ทัพใหญ่จะปฏิบัติเลย
“อะแฮ่ม” หั่วอี้ถูกหลิ่วจิ้งมองจนขัดเขินไปหมดได้แต่กระแอมไอกลับเกลื่อนท่าทีประหม่าของตน
ดีที่อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอทยอยยกอาหารเช้าเข้ามาพอดีพวกนางจัดสำรับอย่างรวดเร็วจึงเริ่มทานอาหารได้เสียที
“ทานอาหารกันเถิด” หั่วอี้เอ่ยบอกอย่างง่ายๆ คำหนึ่งแล้วเริ่มลงมือทานอาหาร
ขณะที่หลิ่วจิ้งเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบเตรียมทานอาหารผิวขาวเนียนของนางก็ยั่วยวนหั่วอี้เข้าให้โดยไม่ได้ตั้งใจและในเวลาเดียวกันก็ดึงดูดความสนใจของเขาไปด้วย
หั่วอี้วางตะเกียบไว้บนโต๊ะก่อนหันมาจับจ้องหลิ่วจิ้งไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
หลิ่วจิ้งถูกเขามองจนรู้สึกประหลาดใจจึงวางตะเกียบลงเช่นกัน พลางเอียงคอมองเขา“ท่านแม่ทัพไม่ทานแล้วหรือเ้าคะ?”
“สร้อยข้อมือของท่านเล่า?” แววตาของหั่วอี้มืดดำดั่งหมึก เขาจ้องเขม็งไปที่ข้อมือของหลิ่วจิ้งน้ำเสียงไม่เป็มิตรเอาเสียเลย
วานนี้อิ๋งเหอไม่ได้ตามออกไปด้วย นางเองก็ไม่รู้สาเหตุจึงมองอวี้จิ่นด้วยสายตาไม่เข้าใจ
อวี้จิ่นส่ายหน้าเบาๆ เป็การบอกอีกฝ่ายว่าอย่าพูด
“ถูกข้าขายไปแล้ว” หลิ่วจิ้งหาได้ปิดบังหั่วอี้เพราะไม่ว่าอย่างไรกระดาษก็ห่อไฟไม่มิดหากจะให้นางไปหาสร้อยข้อมือที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการมากลบเกลื่อนหั่วอี้มิสู้เอ่ยไปตามจริงดีกว่า
“ขาย! แล้ว!” หั่วอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยออกมาทีละคำ
หั่วอี้ที่นั่งตรงข้ามกับหลิ่วจิ้งปัดแขนเสื้อยาวกวาดอาหารทั้งหมดบนโต๊ะลงพื้นจนเกิดเสียงโครมครามขึ้นหลายครั้งเสียงระคายหูดังไปถึงนอกห้อง
หั่วอี้โน้มตัวไปเอื้อมจับแขนของหลิ่วจิ้งในตำแหน่งที่เคยสวมสร้อยข้อมือที่เขาซื้อให้พูดออกมารวดเดียวว่า “ท่านปฏิบัติกับน้ำใจของข้าอย่างเลื่อนลอยไร้แก่นสารเช่นนี้หรือ? ในหัวใจท่าน จะมีหรือไม่มีข้าอยู่ก็ไม่สลักสำคัญเลยหรือ?”
ความสัมพันธ์ระหว่างหั่วอี้กับหลิ่วจิ้งเพิ่งอบอุ่นขึ้นมาบ้างกลับต้องมาสู่จุดเยือกแข็งเพราะเื่นี้อีกแล้ว
หลิ่วจิ้งคิดเอาไว้ก่อนแล้วว่าหั่วอี้จะต้องไม่พอใจแต่นางก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหั่วอี้จะโกรธเป็ฟืนเป็ไฟเช่นนี้ราวกับไฟโทสะที่คู่รักซึ่งรักใคร่กันมานานปีพบว่าอีกฝ่ายหักหลังเช่นนั้น
หลิ่วจิ้งไม่เข้าใจ พวกเขาสองคนมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันเพียงนั้น? สนิทสนมรักใคร่กันขนาดนั้นเชียวหรือ? ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง หั่วอี้น่าจะโมโหและเสียดายเงินที่ซื้อสร้อยข้อมือให้นางเท่านั้นแล้วต้องโกรธถึงขั้นนี้ด้วยหรือ?
ครานี้กลายเป็หลิ่วจิ้งไม่เข้าใจหั่วอี้บ้างแล้ว ช่างเขาก็แล้วกันให้ผ่านเื่นี้ไปก่อนค่อยว่ากัน นางให้กำลังใจตนเองอยู่ในใจก่อนขยับลูกตาหนหนึ่งขณะคิดแผนการขึ้นมาได้
หลิ่วจิ้งแสดงสีหน้าน้อยใจ น้ำตารื้นจวนจะไหลออกมา “ท่านแม่ทัพท่านจะไม่ฟังข้าอธิบายก็คิดสังหารข้าอีกแล้วหรือ?”
คำพูดของหลิ่วจิ้งเรียกความทรงจำเมื่อสองคืนก่อนของหั่วอี้กลับมาได้สำเร็จวานนี้ทั้งวันเขาก็เอาแต่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ให้โอกาสหลิ่วจิ้งอธิบายจึงทำให้พวกเขาต้องหันหลังให้กัน
“ท่านว่ามา” น้ำเสียงของหั่วอี้ผ่อนคลายลงแต่มือที่กุมข้อมือหลิ่วจิ้งเอาไว้แน่นนั้นยังไม่ได้คลายลง
คิ้วงามของหลิ่วจิ้งขมวดแน่นยามััได้ถึงความเ็ปตรงข้อมือที่แล่นเข้าสู่หัวใจนางไม่มีแก่ใจมาตรวจดูว่าข้อมือเป็อย่างไรบ้าง ฝืนกลั้นน้ำตารับสายตาของหั่วอี้พูดอย่างน่าสงสารว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าไม่มีเงินใช้แล้ว วานก่อนนี้ท่านแม่ทัพจะสังหารข้าด้วยความเ็ปใจ ข้าจึงเอาสร้อยข้อมือเส้นนั้นไปแลกเป็เงินแล้วเ้าค่ะ”
_____________________________
