ตอนที่ 10: กลิ่นเนื้อและความริษยา
สามวันต่อมา...
ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดและการบำรุงด้วยโอสถทิพย์ของหลินเฟย อาการของท่านแม่หลิวก็ดีขึ้นราวกับคนละคน นางสามารถลุกขึ้นเดินเหินและทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้แล้ว ใบหน้าก็กลับมามีน้ำมีนวล รอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้กลับคืนสู่กระท่อมซอมซ่อหลังนี้อีกครั้งเป็ครั้งแรกในรอบหลายปี
บรรยากาศในครอบครัวเต็มไปด้วยความสุขและความหวังอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
เพื่อเป็การฉลองให้กับสุขภาพที่ดีขึ้นของท่านแม่ และเพื่อบำรุงร่างกายให้กับทุกคนในครอบครัวที่ผอมโซมานาน วันนี้หลินเฟยจึงตัดสินใจทำเื่ที่ "ฟุ่มเฟือย" ที่สุดเท่าที่ครอบครัวนี้เคยทำมา
นางยื่นเงินสองหยวนให้หลินเจิ้ง “ท่านพ่อ...วันนี้ไปที่โรงฆ่าสัตว์ของคอมมูน ช่วยซื้อเนื้อหมูสามชั้นมาสักหนึ่งชั่งได้ไหมคะ”
หลินเจิ้งเบิกตากว้างด้วยความใ “หนึ่งชั่งเลยรึ! เฟยเอ๋อ...มันจะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยไหมลูก?” เนื้อหมูในยุคนี้ถือเป็ของหรูหราที่ชาวบ้านจะได้กินกันแค่ตอน่เทศกาลตรุษจีนเท่านั้น
“ไม่สิ้นเปลืองหรอกค่ะ” หลินเฟยยิ้ม “ร่างกายของทุกคน้าสารอาหาร วันนี้ฉันจะทำ ‘หมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊วสูตรพิเศษ’ ให้กิน”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หลินเจิ้งก็ไม่ได้คัดค้านอะไรอีก เขาเดินทางไปยังโรงฆ่าสัตว์ด้วยหัวใจที่พองโต ไม่นานนัก...เขาก็กลับมาพร้อมกับเนื้อหมูสามชั้นชิ้นใหญ่มันวาวที่ถูกห่อด้วยใบตองมาอย่างดี
หลินเฟยรับเนื้อหมูมาด้วยความดีใจ นางจัดการล้างและหั่นมันเป็ชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ ก่อนจะตั้งกระทะเหล็กใบใหญ่ขึ้นบนเตา
นางไม่ได้ทำหมูตุ๋นแบบธรรมดา แต่ใช้ความรู้และเครื่องเทศจากมิติิญญามาประยุกต์ใช้ นางแอบนำ "โป๊ยกั้ก", "อบเชย", และ "ขิงผง" ที่ไม่มีในครัวออกมาใช้อย่างลับ ๆ ผัดเนื้อหมูในกระทะจนเหลืองหอม จากนั้นจึงใส่เครื่องเทศ ซีอิ๊ว และน้ำตาลกรวดลงไป ตุ๋นด้วยไฟอ่อน ๆ อย่างช้า ๆ
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม...
กลิ่นหอมอันยั่วยวนของหมูสามชั้นตุ๋นก็เริ่มลอยคลุ้งออกมาจากกระท่อม มันไม่ใช่แค่กลิ่นหอมของเนื้อและซีอิ๊วธรรมดา แต่เป็กลิ่นหอมที่ซับซ้อนและลึกล้ำของเครื่องเทศนานาชนิด มันเป็กลิ่นที่ทรงพลังจนสามารถปลุกสัญชาตญาณความหิวของทุกคนที่ได้กลิ่นในระยะร้อยเมตรได้!
กลิ่นหอมนั้นลอยตามลม...ข้ามรั้ว...ผ่านลานตากข้าว...และลอยไปจนถึง "บ้านใหญ่" ของตระกูลหลินที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน
ณ ลานบ้านใหญ่ ท่านย่าหลินหญิงชราผู้เกรี้ยวกราดกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวใหญ่ ขณะที่ท่านลุงใหญ่หลินกุ้ยและป้าใหญ่กำลังนั่งกินข้าวเที่ยงกันอยู่ อาหารบนโต๊ะของพวกเขาแม้จะดีกว่าบ้านรองหลายเท่า แต่ก็เป็เพียงผักดองกับหมั่นโถวเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง...จมูกของท่านย่าหลินก็ขยับฟุดฟิด
“กลิ่นอะไร? หอมอย่างกับเนื้อตุ๋น...มาจากไหนกัน?” นางถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลินกุ้ยเองก็ได้กลิ่นเช่นกัน เขาดมกลิ่นในอากาศแล้วชี้ไปยังทิศทางของท้ายหมู่บ้าน “กลิ่นมันลอยมาจากทางนั้นนะท่านแม่...ทางกระท่อมของเ้าสาม”
“บ้านเ้าสามรึ?” ท่านย่าหลินขมวดคิ้วมุ่น “เป็ไปได้อย่างไร? พวกมันจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อเนื้อมากินกัน?”
ความสงสัยแปรเปลี่ยนเป็ความไม่พอใจอย่างรวดเร็ว ในความคิดของนาง ครอบครัวบ้านรองคือส่วนเกิน คือปลิงที่นางอยากจะสลัดทิ้ง การที่พวกนั้นมีความเป็อยู่ที่ดีขึ้น ถือเป็การขัดหูขัดตานางอย่างยิ่ง
“ไปดูสิ! ไปดูกันให้เห็นกับตา!” นางลุกขึ้นยืน คว้าไม้เท้าประจำตัวมาถือไว้ แล้วเดินนำหน้าทุกคนมุ่งตรงไปยังกระท่อมของหลินเฟยทันที โดยไม่สนใจอาหารบนโต๊ะอีกต่อไป
เมื่อพวกเขามาถึงหน้ากระท่อม กลิ่นหอมของหมูตุ๋นก็ยิ่งชัดเจนและยั่วยวนจนทำให้ท้องของทุกคนร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาเห็นหลินเฟยกำลังตักหมูสามชั้นตุ๋นสีน้ำตาลแดงที่เปื่อยนุ่มขึ้นเงาวับใส่ชามพอดี
ภาพนั้น...มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายความอดทนของพวกเขา!
“พวกแก! แอบซ่อนเงินไปซื้อของดีๆ มากินกันเองงั้นรึ!” เสียงตวาดอันดังลั่นของท่านย่าหลินดังขึ้นราวกับฟ้าร้อง ทำลายบรรยากาศแห่งความสุขของครอบครัวหลินเฟยพังทลายลงจนหมดสิ้น
ท่านย่าหลินก้าวเข้ามาในกระท่อมด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ดวงตาขุ่นมัวของนางจ้องเขม็งไปที่หม้อหมูตุ๋นด้วยความโลภและความริษยา ท่านลุงใหญ่และป้าใหญ่ก็เดินตามเข้ามาสมทบด้วยท่าทางไม่ต่างกัน
“ในฐานะที่เป็ส่วนหนึ่งของตระกูลหลิน พวกแกมีของดี ๆ กิน แต่กลับไม่เคยคิดจะแบ่งปันให้ผู้หลักผู้ใหญ่เลยรึ! ช่างเป็พวกอกตัญญูเสียจริง!” ท่านลุงใหญ่กล่าวเสริมอย่างหน้าไม่อาย
หลินเฟยที่กำลังจะยื่นชามหมูตุ๋นให้มารดาต้องชะงัก นางหันมาเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาที่เ็าและเรียบเฉย
าระลอกใหม่...ได้เริ่มต้นขึ้นเร็วกว่าที่นางคิดเสียอีก
บรรยากาศในกระท่อมพลันตึงเครียดขึ้นในทันที ความสุขที่เคยอบอวลอยู่เมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความอึดอัดและโกรธเคือง หลินเจิ้งรีบก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อปกป้องครอบครัวของเขา แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากพูดอะไร หลินเฟยก็วางชามหมูตุ๋นลงบนโต๊ะแล้วก้าวออกมายืนขวางไว้เสียก่อน
นางประสานสายตากับท่านย่าหลินโดยตรง ไม่มีแววของความหวาดกลัวหรือยอมจำนนเหมือนในอดีต
“อกตัญญูรึคะ?” หลินเฟยทวนคำด้วยน้ำเสียงที่เรียบสนิท “ท่านย่า...คำนี้มีความหมายลึกซึ้งนัก ไม่ใช่ว่าจะนำมาใช้พร่ำเพรื่อกับใครก็ได้นะคะ”
ท่านย่าหลินทุบไม้เท้าลงกับพื้นดินเสียงดัง ปัง! “นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! แกกำลังจะสอนฉันรึ! ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนแก! แค่การที่พวกแกมีของดีแล้วไม่แบ่งปันให้ฉันซึ่งเป็ย่าแท้ ๆ ได้กิน...นี่ก็คือความอกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว!”
“อย่างนั้นหรือคะ?” หลินเฟยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ถ้าเช่นนั้น...ฉันก็อยากจะถามท่านย่ากลับเช่นกันว่า...ตอนที่ท่านแม่ของฉันนอนป่วยใกล้ตาย ท่านย่าเคยนำยาดี ๆ หรือแม้แต่ข้าวต้มร้อน ๆ สักถ้วยมาเยี่ยมเยียนบ้างหรือไม่? ตอนที่ครอบครัวเราไม่มีข้าวจะกิน...ท่านย่าเคยแบ่งปันมันเทศให้เราแม้แต่หัวเดียวหรือไม่?”
นางหยุดไปชั่วครู่ ปล่อยให้คำถามของนางเสียดแทงเข้าไปในจิตสำนึกของทุกคน ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบยิ่งขึ้น
“การกระทำของท่าน...เรียกว่าอะไรคะ? ความเมตตา? ความาุโ? หรือเป็แค่ความเห็นแก่ตัวที่เอาแต่เรียกร้องจากผู้อื่นโดยไม่เคยคิดจะให้?”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาและไร้ซึ่งการประนีประนอมนั้นทำให้ท่านย่าหลินถึงกับพูดไม่ออก ใบหน้าเหี่ยวย่นของนางบิดเบี้ยวด้วยความโกรธจนกลายเป็สีม่วงคล้ำ
“นะ...นัง! นังเด็กเหลือขอ!”
“ฉันเหลือขอ...หรือเป็ท่านกันแน่ที่ไม่เคยทำตัวให้น่าเคารพ?” หลินเฟยสวนกลับทันควันไม่เปิดโอกาสให้ได้ตั้งตัว “ฉันให้ความเคารพ ‘ผู้าุโ’ ที่ประพฤติตนดีงาม แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นเราเป็ครอบครัว...ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็ที่จะต้องแสดงความกตัญญูใด ๆ ให้สิ้นเปลือง”
ท่านลุงใหญ่หลินกุ้ยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพูดแทรกขึ้นมา “หลินเฟย! หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว! ไม่ว่ายังไงท่านย่าก็คือประมุขของตระกูล! เนื้อหม้อนี้...พวกเราในฐานะบ้านใหญ่มีสิทธิ์ที่จะได้กิน!”
พูดจบ เขาก็ทำท่าจะเดินเข้าไปตักหมูในหม้ออย่างหน้าด้าน ๆ
แต่หลินเฟยกลับขยับตัวไปยืนขวางหม้อเอาไว้ แววตาของนางแปรเปลี่ยนเป็อันตรายอย่างยิ่ง
“มีสิทธิ์รึ?” นางหัวเราะเยาะออกมา “สิทธิ์นั้นใครเป็คนมอบให้? ท่านย่า? หรือเป็ตัวท่านเองที่แต่งตั้งขึ้นมา?”
นางหันไปมองหน้าบิดาของตนเอง “ท่านพ่อ...เงินที่ใช้ซื้อเนื้อหม้อนี้...เป็เงินที่ใครหามาคะ?”
หลินเจิ้งที่ยืนอึ้งอยู่กับความกล้าหาญของลูกสาวมาตลอด พอได้สติก็รีบตอบกลับไปอย่างหนักแน่น “เป็...เป็เงินที่เฟยเอ๋อหามาเองทั้งหมด!”
“ได้ยินชัดแล้วใช่ไหมคะ?” หลินเฟยหันกลับมาทางท่านลุงใหญ่ “เงินของฉัน...ของที่ฉันซื้อ...ทำไมฉันต้องแบ่งให้คนที่ไม่เคยเห็นหัวพวกเราด้วย?”
“เหลวไหล!” หลินกุ้ยตวาดกลบเกลื่อนความอับอาย “เงินของแกก็ได้มาจากตระกูลหลิน! ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกแกมีก็เป็ของตระกูล! ในเมื่อเป็ของตระกูล...ฉันในฐานะลูกชายคนโตก็ย่อมมีสิทธิ์!”
“ตรรกะวิบัติสิ้นดี!” หลินเฟยสวนกลับอย่างไม่เกรงกลัว “ถ้าทุกอย่างเป็ของตระกูล...เช่นนั้นหนี้สินที่ท่านลุงแอบไปก่อไว้ที่โรงสี...ก็ควรจะเป็หนี้ของตระกูลด้วยใช่หรือไม่? คะแนนสะสมงานที่ท่านป้าแอบเอาไปเล่นไพ่...ก็ควรจะให้ตระกูลช่วยรับผิดชอบด้วยใช่หรือไม่?”
การเปิดโปงเื่ราวที่น่าอับอายซึ่งไม่มีใครเคยกล้าพูดถึงมาก่อน ทำให้ใบหน้าของท่านลุงใหญ่และป้าใหญ่ซีดเผือดเป็ไก่ต้ม! พวกเขาไม่คิดว่าหลินเฟยจะรู้เื่ส่วนตัวของพวกเขาได้!
“แก...แกพูดเื่อะไร! อย่ามาใส่ร้ายกันนะ!” ป้าใหญ่แหวขึ้นเสียงหลง
“ฉันใส่ร้าย...หรือเป็เื่จริง...พวกท่านย่อมรู้ดีแก่ใจ” หลินเฟยกล่าวอย่างเ็า “ถ้าอยากให้ฉันประกาศเื่ราวทั้งหมดให้ชาวบ้านในคอมมูนได้รับรู้...ฉันก็ยินดี”
สถานการณ์พลิกกลับอย่างสิ้นเชิง! จากผู้ที่มากดขี่ ตอนนี้ตระกูลหลินบ้านใหญ่กลับกลายเป็ฝ่ายที่ถูกคุกคามเสียเองด้วยความลับของตนเอง
ท่านย่าหลินที่ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธมาตลอด ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว นางรู้ดีว่าหากปล่อยให้หลานสาวนอกคอกคนนี้พูดต่อไป เื่ราวฉาวโฉ่ของบ้านใหญ่จะต้องถูกแฉจนหมดเปลือกเป็แน่ นางยกไม้เท้าในมือขึ้น ชี้หน้าหลินเฟยอย่างอาฆาตมาดร้าย
“ดี! ดีมาก! นังเด็กอกตัญญู! ปีกกล้าขาแข็งกันขึ้นมาแล้วสินะ! ในเมื่อพวกแกไม่เห็นหัวฉันซึ่งเป็ย่า...ไม่เห็นหัวตระกูลหลิน...ก็ดี! นับจากนี้ไป...ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือใด ๆ จากพวกฉันอีก! แม้แต่ฟางสักเส้นก็อย่าหวังว่าจะได้ไป!”
นางคิดว่าคำขู่ตัดขาดนี้จะทำให้ครอบครัวบ้านรองหวาดกลัวจนต้องยอมคุกเข่าขอขมา
แต่สิ่งที่นางได้รับกลับเป็รอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายของหลินเฟย
“ขอบคุณ์!” นางอุทานออกมาเบา ๆ ราวกับยกูเาออกจากอก “ฉันก็รอฟังประโยคนี้จากปากท่านย่ามานานแล้ว...พวกเราครอบครัวบ้านรองไม่เคย้าการช่วยเหลือจอมปลอมของพวกท่านอยู่แล้ว ขอเพียงแค่พวกท่านเลิกมายุ่งวุ่นวายและสูบเืสูบเนื้อพวกเรา...ก็ถือเป็พระคุณอย่างสูงแล้วค่ะ”
นางหันไปหาบิดามารดา แล้วกล่าวด้วยเสียงที่ดังฟังชัด “ท่านพ่อ ท่านแม่ ได้ยินแล้วใช่ไหมคะ? ท่านย่าเป็คนพูดเองต่อหน้าฟ้าดินนะ ว่าจะตัดขาดจากเรา...ต่อไปนี้พวกเราก็เป็อิสระแล้ว!”
คำพูดของหลินเฟยเหมือนกับการตอกฝาโลงครั้งสุดท้าย มันคือการพลิกคำขู่ของอีกฝ่ายให้กลายเป็การประกาศอิสรภาพของตัวเองอย่างชาญฉลาด!
ท่านย่าหลินโกรธจนแทบจะกระอักเืออกมา นางไม่เคยพ่ายแพ้ย่อยยับและเสียหน้าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต! นางชี้หน้าด่าทอครอบครัวหลินเฟยด้วยถ้อยคำหยาบคายสารพัด แต่ก็ไม่มีใครสนใจฟังอีกต่อไป
ในที่สุด เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้อีก ท่านย่าหลินก็สะบัดหน้าอย่างแรง “ไป! กลับบ้าน! ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกมันอีกแล้ว! คอยดูเถอะ...ไม่มีพวกเราคอยอุ้มชู...อีกไม่นานพวกมันก็ต้องซมซานกลับมาคุกเข่าอ้อนวอนเรา!”
พูดจบท่านย่าหลินก็เดินกระทืบเท้าปึงปังออกจากกระท่อมไป ท่านลุงใหญ่และป้าใหญ่รีบเดินตามไปอย่างหัวเสีย ทิ้งท้ายด้วยสายตาอาฆาตที่มองมายังหลินเฟย
เมื่อแขกไม่ได้รับเชิญจากไปแล้ว บรรยากาศที่ตึงเครียดก็คลายลงทันที
หลินเจิ้งและท่านแม่หลิวยังคงยืนอึ้งอยู่กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น พวกเขามองลูกสาวของตัวเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทึ่ง ความกังวล และความภาคภูมิใจระคนกันไป
หลินเฟยหันกลับมายิ้มให้พวกเขาอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ...นี่คือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว”
นางเดินกลับไปที่โต๊ะ ตักหมูสามชั้นตุ๋นร้อน ๆ ที่ยังคงส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใส่ชามอีกครั้ง แล้วยื่นให้ทุกคนในครอบครัว
“เอาล่ะ...าจบแล้ว” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่สดใส “ตอนนี้...ถึงเวลาที่เราจะได้กินข้าวกันอย่างมีความสุขเสียที”
ทุกคนในครอบครัวมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกัน พวกเขารับชามหมูตุ๋นมาและเริ่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย รสชาติของเนื้อหมูที่เปื่อยนุ่มและหอมหวานในวันนี้...มันไม่ได้เป็แค่รสชาติของอาหารมื้อพิเศษอีกต่อไป...แต่มันคือรสชาติของ "อิสรภาพ" ที่พวกเขาเพิ่งจะได้รับมาสด ๆ ร้อน ๆ นั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้