“ถ้างั้นเดี๋ยวหลังจากชมดอกไม้เสร็จข้าจะพาพวกท่านไปนะเ้าคะ” กัวรุ่ยหานกล่าว
“พวกท่านเองก็็ไปกับข้าด้วยนะ” จื่อต้าหลงกล่าวกับเฉิงไฉเซียวและลวี่เหริน
“ไม่มีปัญหา มีงานเลี้ยงที่ไหน มีข้าที่นั่น ฮ่าๆๆ” เฉิงไฉเซียวกล่าวยิ้มๆ
หลังจากนั้น ทั้งกลุ่มชายหญิงก็ชวนกันพูดคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย จนตกเย็นพวกนางก็ได้เดินนำทางให้พวกจื่อต้าหลงไปงานเลี้ยงที่ตระกูลกัว
ขนาดจวนของตระกูลกัว นับว่าใหญ่ที่สุดในเมืองแล้ว กัวรุ่ยหาน นำทางไปถึงในด้านใน หญิงสาวได้จัดเตรียมให้พวกจื่อต้าหลงรออยู่ที่จวนรับแขก
ไม่นานนักกัวรุ่ยหานก็พาท่านปู่ของนางมาหาพวกจื่อต้าหลง “ท่านปู่เ้าคะ นี่คือคุณชายจื่อต้าหลง ที่ได้ช่วยหลานเอาไว้เ้าค่ะ” หญิงสาวแนะนำจื่อต้าหลงให้ท่านปู่ของนางรู้จัก ปู่ของนางชื่อกัวจื่อหรานเป็ผู้นำของตระกูลกัว
“ฮ่าๆๆ ผู้กล้าน้อย ขอบใจท่านมาก ที่ช่วยเหลือเหล่าหลานสาวของข้า” กัวจื่อหรานกล่าวด้วยใบหน้ามีรอยยิ้มใจดี
“เป็หน้าที่ของบุรุษอยู่แล้วขอรับ” จื่อต้าหลงกล่าวอย่างมีสัมมาคารวะ
“วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่บ้าน พวกท่านก็อยู่ร่วมด้วยกันเถอะนะ” กัวจื่อหรานกล่าวชักชวน
“ได้เลยขอรับ ผู้เยาว์กับสหาย คงต้องขอรบกวนแล้ว” จื่อต้าหลงตอบ
หลังจากทักทายกันเสร็จเรียบร้อย กัวจื่อหรานก็ขอตัวไปรับแขกที่จะมาร่วมงานเลี้ยงในเย็นนี้
หลังจากงานเลี้ยงเริ่ม ผู้คนในจวนก็คับคั่ง การจัดโต๊ะในสวนงานเลี้ยงช่างจัดได้เจริญหูเจริญตา อีกทั้งยังมีดอกไม้ล้อมกลางวงโต๊ะ โต๊ะนึงนั่งได้ประมาณ 7-8 คน มีนับสิบๆโต๊ะ งานเลี้ยงครั้งนี้จึงมีผู้เข้าร่วมราวๆร้อยคน
โต๊ะของจื่อต้าหลงกับสหาย นั้นมีสี่สาวตระกูลกัวนั่งเป็เพื่อน พวกนางแต่ละคน แต่งตัวด้วยอาภรณ์หรูหรา ใบหน้าสะสวยงดงาม โดยเฉพาะกัวรุ่ยหาน ที่งดงามมากเป็พิเศษ ใบหน้าและร่างกายขาวผ่องดุจหงส์ฟ้า คิ้วเรียวโค้งอย่างธรรมชาติ เครื่องหน้าของนางบนใบหน้านับว่าโดดเด่นมาก คิ้วบางระหงส์ ดวงตาสีดำราวกับค่ำคืนที่มืดมิด งดงามเหนือบรรยาย หลังจากเห็นนางแต่งองค์ทรงเครื่อง ก็ทำเอาจื่อต้าหลงเหม่อลอยไปเหมือนกัน
“ฮั่นแน่… ใยมองแม่นางกัวแล้วเ้าใจลอยเช่นนั้น หลงรักแม่นางกัวเข้าแล้วรึ ฮ่าๆๆ” เฉิงไฉเซียวกล่าวหยอกล้อเด็กหนุ่ม
“บ้าน่า ท่านนี่ช่างพูดจามั่วซั่วเสียจริง” จื่อต้าหลงตอบ แม้ในใจจะคิดว่าแม่นางกัวช่างงดงามยิ่งนักก็ตาม
“ลวี่เหรินเ้าเอาแต่นั่งเงียบมานานแล้ว ไม่คิดพูดอะไรหน่อยรึ?” จื่อต้าหลงถาม
“สุรา รสชาติดีมาก….” ลวี่เหรินเอ่ยด้วยสุ้มเสียงทุ้มต่ำ
“ห้ะ? จริงรึ! ไหนข้าลองซิ” เฉิงไฉเซียวที่ได้ยินนั้นเทสุราลงจอกพร้อมกับดื่มเข้าไปหมดจอก หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “ฮ่าาา…… รสชาติดีจริงๆด้วย นี่มันสุราอะไรกัน?” เฉิงไฉเซียวสงสัย
จื่อต้าหลงเองก็สงสัยเหมือนกัน เขาเลยต้องยกสุราขึ้นมาจิบดูบ้าง หลังจากได้ริ้สรสไปเขาถึงกับอุทาน “นุ่ม!! หอมมาก!! สุรารสหวานนุ่มและหอมหวนได้ถึงเช่นนี้เชียวหรือ?” จื่อต้าหลงกล่าวอย่างแปลกใจ
กัวรุ่ยหานได้ยินจึงตอบว่า “นี่คือสุราดอกไม้ แห่งเมืองดอกไม้เ้าค่ะ เป็สุราที่มีผลิตจากที่นี่เท่านั้น คนต่างเมืองเองก็ชมชอบสุรานี้กันมากเพราะหวานลื่นคอจึงถูกใจนักเดินทางเป็พิเศษ” กัวรุ่ยหานอธิบาย
“เป็อย่างงี้นี่เอง ดูท่าวันนี้ข้าคงได้เมาอีกแล้ว ฮ่าๆๆ” จื่อต้าหลงกล่าวติดตลก
งานเลี้ยงเป็ไปอย่างสงบราบลื่น จื่อต้าหลง เฉิงไฉเซียว และลวี่เหรินเองก็ดื่มกินเต็มที่เหมือนกัน พวกเขานั่งคุยกับสี่สาวในโต๊ะ พร้อมเล่าเื่สนุกมากมายให้ฟัง
“ดื่มสุราต้องดื่มกับสหายนี่แหละถึงจะสนุก ฮ่าๆๆ” เฉิงไฉเซียวกล่าวขึ้นมา
“บรรยากาศที่นี่ช่างครื้นเครงยิ่งนัก” จื่อต้าหลงกล่าว
“คุณชายจื่อ จบมาจากสำนักปลาทองอันโด่งดังใช่หรือไม่เ้าคะ?” กัวรุ่ยหานกล่าวถาม
“ใช่แล้ว พวกข้าทั้งสามคนจบมาจากสำนักปลาทอง” จื่อต้าหลงตอบ
“ว้าววว ข้าได้ยินมาว่าที่สำนักปลาทอง มีอัจฉริยะมากมาย ศิษย์ที่จบมาจากที่นั่นได้ส่วนใหญ่แล้วล้วนอยู่ในขั้นลมปราณจิตเป็อย่างน้อย” กัวรุ่ยหานกล่าว
“แม่นางกัวช่างรอบรู้ยิ่งนัก ถูกต้องแล้วศิษย์ที่จะขอจบการศึกษาได้คือต้องผ่านขั้นปราณจิตระดับหนึ่งขึ้นไปก่อน” จื่อต้าหลงกล่าว
สำนักปลาทองนั้น หลังจากที่เป็ศิษย์หลักได้แล้ว จะมีคำถามที่ว่าถ้าบรรลุปราณจิตแล้วจะได้เลือกหนทางไหนซึ่งมีอยู่สองหนทาง
หนึ่ง คือเป็ศิษย์ต่อไปหากเป็ศิษย์ต่อไปเรื่อยๆจนเข้าสู่ปราณจิตขั้นที่สามได้ก็จะสามารถเลือกที่จะเป็ ผู้ฝึกสอน และ ผู้าุโของสำนักในกาลข้างหน้าได้ หากสามารถเสริมสร้างสำนักด้วยรุ่นของตัวเองให้ใหญ่โตได้นับว่าเป็เกียรติอย่างยิ่งของพวกเขาแล้ว หลายคนจึงมักเลือกอยู่ที่สำนักต่อ
สอง คือสำเร็จลมปราณจิตขั้นที่หนึ่งและเลือกจบการศึกษา ส่วนใหญ่ผู้ที่ออกจากสำนักมักมีตระกูลของตัวเอง พวกเขาหลายคนเลือกที่จะสนใจความเป็อยู่ของตระกูลมากกว่า และหลายคนเลือกที่จะออกท่องยุทธภพอย่างอิสระเสรีภาพ ไล่ตามความฝันของแต่ละคนไป
“แสดงว่าพวกคุณชายบรรลุปราณจิตกันแล้ว!!” กัวรุ่ยหานตื่นตะลึง
“ถูกต้อง!”จื่อต้าหลงยอมรับ
โดยปกติชาวยุทธทั่วไป จะเข้าสู่ชั้นลมปราณก่อเกิดขั้นที่หนึ่งได้ด้วยอายุราวๆ 16-17 ปี ส่วนพวกอัจฉริยะ… อาจเข้าไปถึง ลมปราณก่อเกิดขั้น 4-6 ก็นับว่าเป็อัจฉริยะในระดับนึงแล้ว
แต่ด้วยวัยของจื่อต้าหลงเพียง 16 ปี เท่านั้นกลับสามารถบรรลุปราณจิตขั้นที่สามได้ นี่นับว่าเป็สัตว์ประหลาดประเภทใดกันแน่? ช่างน่าสะพรึงในพร์นัก!!
เหล่าหญิงสาวตระกูลกัวที่นั่งด้วยกันถึงกับตื่นตะลึงชื่นชมพวกเขาเป็อย่างมาก ที่สามารถจบการศึกษาจากสำนักปลาทองได้ ดูๆไปพวกเขาอายุไม่ถึง 20 ปี กลับบรรลุปราณจิตกันแล้วนี่ย่อมต้องบอกว่าเป็พร์อย่างแท้จริง เทียบเท่า อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของอาณาจักรใหญ่ๆเลยก็ว่าได้
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ผู้เข้าร่วมเองต่างก็เริ่มเมามาย หลายโต๊ะส่งเสียงดังพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน
โต๊ะของจื่อต้าหลงเองก็ไม่แพ้กัน ดูเหมือน เฉิงไฉเซียวกับลวี่เหริน จะคุยถูกคอกับสี่สาวตระกูลกัวได้มากเป็พิเศษ
ยังไงพวกเขาก็เคยไปเกี้ยวสตรีที่หอจันทรากันมาแล้ว ประสบการณ์ทางด้านนี้นับว่าไม่อ่อนด้อยจนเกินไป
“บ้านเ้าจัดงานเลี้ยงบ่อยหรือ?” จื่อต้าหลงที่กำลังรินสุราลงจอกถามกัวรุ่ยหาน
“เนื่องจากบ้านข้าเองก็อยู่ใจกลางเมือง นักท่องเที่ยวและมิตรสหายต่างพลอยเยอะไปด้วย จึงทำให้ที่บ้านข้าค่อนข้างที่จะจัดงานเลี้ยงเช่นนี้บ่อยๆเ้าค่ะ”
“เป็เช่นนี้เอง….”จื่อต้าหลงกล่าว
นี่นับว่าเป็ครั้งแรกของจื่อต้าหลงที่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงของบ้านอื่นนอกจากบ้านตัวเอง แม้เด็กหนุ่มจะเคยไปเที่ยวนั่งดื่มในโรงเตี๊ยมทุกวัน ทว่าพอมานั่งที่อื่นเลยรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปบ้าง นับว่าแปลกใหม่ดี บรรยากาศเช่นนี้ก็ไม่เลวนักสำหรับเขา ในจวนตระกูลกัว เต็มไปด้วยต้นไม้ และดอกไม้หลากสีสวยสดงดงาม มีโคมไฟระย้าสว่างไสว มีการบรรเลงเพลง และร่ายรำ นับว่าเปิดหูเปิดตาให้พวกเขานัก เฉิงไฉเซียวเองก็เพิ่งเคยมาร่วมงานเลี้ยงบ้านคนอื่นเช่นกัน เขาซัดอาหารไปเยอะมาก ที่นี่มีให้กินได้ไม่อั้นจริงๆ สุราดีอาหารมากมาย ถูกยกมาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจึงดื่มกินกันเต็มที่จนท้องแทบแตก
