ในครอบครัวเพียงครู่เดียวก็มีคนเพิ่มขึ้นมาจำนวนมาก พริบตาเดียวก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
เพราะว่าจะต้องเรียนรู้กฎระเบียบ ตอนทานข้าวแม่นมลู่ก็ได้ให้คนมายืนอยู่ตรงข้างโต๊ะพร้อมทั้งอธิบายไปทีละอย่าง นี่กลับทำให้คนที่กำลังทานอาหารรู้สึกอึดอัด สวี่เหรากับจางจ้าวฉือเป็คนที่ไม่ถูกคนดูแลประคบประหงมจนชินแล้ว ทั้งยังเป็คนที่ชอบทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง มองร่างเล็กๆ มายืนอยู่ข้างกายตนเองแต่ละคนก็รู้สึกไม่สบายใจ
นี่ล้วนสิ่งที่เป็แม่นมลู่มุ่งมั่นที่จะทำ ไม่สบายใจก็ทำได้แค่อดทน หลังจากผ่านปีใหม่จนถึง่ฤดูใบไม้ผลิ สวี่เหราก็งานยุ่งขึ้นมาทันที ทั้งหว่านเมล็ด ซ่อมแซมการป้องกัน ไม่ว่าที่ใดๆ ก็ล้วนต้องใช้เงิน ไม่ว่าเื่ใดก็ต้องให้สวี่เหราไปจัดการ
แล้วก็เป็ตอนนี้เอง ที่ผู้นำเมืองก่านโจวเกิดคดีการทุจิตขึ้นมา
คดีนี้เกิดขึ้นจากพนักงานตัวเล็กๆ ของแผนกกรมการคลังออกมาฟ้องร้อง เพราะว่ากรมการคลังจะต้องดูแลเื่ภาษีของทั่วทั้งแคว้น ครั้งนี้เป็เื่งบเกี่ยวกับการดูแลจัดสรรทรัพยากรณ์ทางน้ำ ทุกปีก็ต้องมาไล่เรียงตรวจสอบงบบัญชี ปกติแล้วการตรวจสอบบัญชีจะทำ่สิ้นปี ตอนที่ไปตรวจสอบบัญชี พนักงานผู้นี้ก็ตรวจสอบร่องรอยความผิดปกติออกมาได้เล็กน้อย ตอนนั้นเพราะว่าใกล้จะปิดทำการ่สิ้นปีจึงไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น หลังจากเปิดปีใหม่แล้ว เหลียงเฉิงตี้ก็ออกมาตรวจสอบด้วยพระองค์เอง เริ่มจากตรวจสอบพนักงานผู้นี้ จนมาถึงที่ซีเป่ย
ฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ราชสำนักก็จะมีเงินก้อนหนึ่งเอามาใช้สำหรับซ่อมแซมการไหลและการเคลื่อนที่ของน้ำ เขตซีเป่ยเกิดน้ำไหลทะลักติดกันหลายวันจนทำให้น้ำในแม่น้ำสูงขึ้น เกิดเหตุน้ำท่วมไปหลายพันลี้ ท่วมทุ่งนาไปเป็จำนวนมาก หลายครอบครัวหายไปกับสายน้ำ ไป๋โค่วเองก็สูญเสียที่นาไปกับน้ำท่วมครั้งนี้เช่นเดียวกัน
แต่ต่อมาทางราชสำนักได้มอบเงินก้อนหนึ่งเพื่อนำมาจัดการกับประชาชนที่ได้รับความลำบากนี้โดยเฉพาะ เงินที่เอามาใช้ซ่อมแซมการควบคุมดูแลน้ำก็เพิ่มให้สามเท่า ผลสรุปเงินพวกนี้เริ่มจากกรมการคลังก็ถูกคนแต่ละชั้นยักยอกออกไป เหลียงเฉิงตี้ทรงพิโรธมาก สั่งให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบให้ชัดเจน ตรวจสอบไปตรวจสอบมา ก็พบว่าเกี่ยวข้องกับขุนนางส่วนใหญ่ที่ก่านโจว สุดท้ายหลักฐานทั้งหมดก็ชี้ไปที่องค์ชายสาม
องค์ชายสามกำเนิดจากว่านกุ้ยเฟย ว่านกุ้ยเฟยเป็พระสนมที่เหลียงเฉิงตี้ทรงรักมากที่สุด รอจนกระทั่งคนของศาลต้าหลี่มารายงานกับเหลียงเฉิงตี้ เขาก็ได้ให้องครักษ์เงาของตัวเองไปจับกุมตัวองค์ชายสามมา ส่วนเหล่าขุนนางที่เขตซีเป่ยก็ส่งคนไปจับกลับมาที่เมืองหลวง แล้วขังไว้รอการตัดสินอยู่ที่ศาลต้าหลี่
ส่วนผู้นำของเขตก่านโจว เหลียงเฉิงตี้ก็ทรงมีรับสั่งลงไป ให้สวี่เหราไปเป็ผู้นำของเมืองก่านโจวชั่วคราว แล้วให้รับตำแหน่งในทันที
สวี่เหราได้เลื่อนระดับจากขั้นเจ็ดไปขั้นหกแล้ว และผู้นำเมืองก่านโจวชั่วคราวก็เป็ขั้นหก นั่นก็หมายความว่าสวี่เหราเลื่อนขั้นแบบก้าวะโ อีกทั้งเลื่อนขั้นขึ้นมาแล้ว เบื้องบนก็ไม่มีเ้าเมืองอยู่ด้านหลังอีก เขาจึงเป็ขุนนางที่ใหญ่ที่สุดในก่านโจว
ที่มาประกาศราชโองการคือลูกศิษย์ของเฉินอู่ฝูขันทีข้างกายของเหลียงเฉิงตี้ แน่นอนว่ารู้ความสัมพันธ์ของสวี่เหรากับเฉินอู่ฝูดี บวกกับที่สวี่เหราสามารถรับตำแหน่งผู้นำของเมืองก่านโจวได้ก็เป็คำสั่งของเหลียงเฉิงตี้ เขาจึงเกรงใจสวี่เหรากว่าปกติ
ก่านโจวสำหรับต้าเหลียงแล้วก็สำคัญมาก
ก่านโจวอยู่ที่ชายแดน หลายเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองก็ล้วนเป็เมืองชายแดน เหอซีเป็เมืองที่ต้องปะทะกับทางเป่ยตี้ ส่วนหลายเมืองจากเหอซีไปทางตะวันออกก็ล้วนต้องปะทะกับชาวโยวมู่เหมิน ที่อยู่ทางตะวันออกสุดของเมือง อยู่ติดกับจินเหริน ที่มักจะเกิดการกระทบกระทั่งเล็กๆ อยู่บ่อยครั้ง
สำหรับทางเหนือของต้าเหลียง ขุนนางของก่านโจวนั้นสำคัญมาก ไม่เพียงจะทำให้ประชาชนสงบใจลงได้แล้ว จำเป็ต้องรับภาระในการปกป้องแคว้นเอาไว้ และร่วมทำาด้วยกัน คนเหล่านี้ก็คือเกราะหลังที่ซื่อสัตย์ที่สุดของทหารฝ่ายหน้า ดังนั้นผู้นำสูงสุดของเมืองก่านโจว ไม่เพียงแต่จะต้องมีความสามารถด้านการบริหาร ยังต้องมีใจที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ รวมถึงใจที่ซื่อสัตย์ต่อแคว้นอีกด้วย
ั้แ่ที่สวี่เหราเข้าไปอยู่ในสายพระเนตรของเหลียงเฉิงตี้ เขาก็ไม่เคยทำเื่ให้เหลียงเฉิงตี้ทรงผิดหวัง โดยเฉพาะตอนที่ร่วมมือกับเว่ยหลางต่อต้านกองกำลังขององค์ชายห้าของเป่ยตี้ ทำให้การเมืองของเป่ยตี้เกิดการระส่ำระสายครั้งยิ่งใหญ่ จนทางเป่ยตี้ไม่สามารถมาเคาะประตูเมืองหาเื่อีกหลายสิบปี ดังนั้นพอเกิดเื่กับขุนนางของก่านโจว เหลียงเฉิงตี้จึงยกตำแหน่งให้สวี่เหรา เลื่อนยศขึ้นตำแหน่งให้โดยไม่แม้แต่จะคิดนานให้เสียเวลา
หลังจากที่สวี่เหราได้รับพระราชโองการมา ที่ใส่ใจมากที่สุดก็คือ ผู้ใดจะมารับตำแหน่งผู้นำเหอซีต่อจากตน ผลสรุปลูกศิษย์ของเฉินกงกงผู้นั้นก็ให้พระราชโองการอีกฉบับกับสวี่เหรา เมืองเหอซีเป็เมืองที่สำคัญ ให้สวี่เหราหาคนที่สามารถขึ้นรับตำแหน่งผู้นำเมืองเหอซีและสามารถทำงานได้ทันที เื่มันเกิดขึ้นกะทันหันมาก จึงต้องจัดการเื่ราวแบบพิเศษ โดยให้ขึ้นรับตำแหน่งก่อน จากนั้นค่อยไปดำเนินการเพิ่มเติมที่กระทรวงมหาดไทยในภายหลัง
ใต้เท้าหลี่คือผู้ที่ถูกเลือก สวี่เหราให้ใต้เท้าหลี่เป็ผู้นำเหอซี เหตุผลหลักก็คือใต้เท้าหลี่ไม่มีทางผลักนโยบายที่ตัวเองได้นำออกมาใช้แล้วอย่างไม่มีเหตุผล นโยบายมากมายล้วนเป็สวี่เหรานำใต้เท้าหลี่ร่วมมือทำด้วยกัน พอถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็มิตรหรือศัตรูขอแค่เพียงมีคุณธรรมอยู่ในตัวก็จะได้รับการแนะนำที่ดี ทั้งยังบอกว่าใต้เท้าหลี่เป็จวี่เหรินก็สามารถเลื่อนตำแหน่งได้สำเร็จ
หลังจากสวี่เหราได้รับพระราชโองการแล้ว ก็เริ่มจัดการทำงานต่างๆ ส่วนเื่ในบ้าน มีแม่นมลู่พาจางจ้าวฉือเก็บสัมภาระ คนในบ้านก็สามารถค่อยๆ เก็บของแล้วไปที่ก่านโจวได้ทันที แต่ว่าสวี่เหรายังไปไม่ได้ ตอนนี้เขาจำเป็ต้องมอบงานทั้งหมดส่งต่อให่ใต้เท้าหลี่ จากนั้นก็ค่อยรีบไปที่ก่านโจว เื่มันค่อนข้างเร่งด่วน จากนั้นก็ยังมีเื่ราวอีกมากมายให้สวี่เหราไปทำ สวี่เหราเองก็ไม่กล้าเสียเวลา
ใต้เท้าหลี่คิดไม่ถึงว่าตัวเองที่อายุเท่านี้แล้วจะสามารถเป็ผู้นำเมืองได้ เดิมเขาคิดว่าต่อไปตัวเองจะติดตามสวี่เหราไป แม้ข้างกายสวี่เหราจะไม่มีตำแหน่งอะไรที่เหมาะสมกับตัวเอง เขาก็จะตามไปเป็ผู้ช่วย รอจนถึงวัยเกษียณก็กลับบ้านเกิด ซื้อไร่นา เลี้ยงดูหลาน ใช้ชีวิตบั้นปลายไปเช่นนั้น
ผู้ใดจะไปรู้ว่าตอนนี้จะมีโอกาสเช่นนี้ บุรุษทุกคนต่างมีความทะเยอทะยาน โดยเฉพาะใต้เท้าหลี่ที่ถือว่าเป็คนก้าวเท้าเข้าขุนนาง อีกทั้งยังทำเื่ที่ทำให้เืของตัวเองพลุ่งพล่านกับสวี่เหรามาก่อน ใต้เท้าหลี่เองก็อยากจะมีโอกาสได้แสดงความสามารถสักครั้ง แต่รอจนถึงโอกาสมาอยู่ตรงหน้า ใต้เท้าหลี่ก็เริ่มกลัวแล้ว
ตอนนี้สวี่เหรางานยุ่งจนแทบจะบินได้ ทางด้านเว่ยหลางยังมีเื่ที่ต้องทำอีกมาก เขางานยุ่งมากจนดูแลไม่ทั่วถึงทางด้านใต้เท้าหลี่ พอเห็นใต้เท้าหลี่เข้ามาหาด้วยสีหน้ากังวล จึงพูดปลอบใจ “ใต้เท้าหลี่ อย่ากลัวไปเลย ข้าทำอย่างไรเ้าก็ทำตามข้าก็พอ เมืองเหอซีตอนนี้ถือว่ามั่นคงแล้ว อย่างน้อยที่สุดในเวลาสิบปีนี้ก็เป็่ที่มั่นคง เ้าเองก็ไม่ต้องกลัวว่าตรงไหนจะทำไม่ดี ต่อไปเหอซีจะพัฒนาไปอย่างไร ข้าก็จะร่างแผนให้เ้า เ้าก็ทำตามแผนไป จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”
ใต้เท้าหลี่ฟังคำพูดของสวี่เหราแล้วก็ถือว่าวางใจ กลับมาถึงเรือนก็พูดกับฮูหยินของตัวเอง หลี่ฮูหยินพูดออกมาอย่างไม่ได้ดั่งใจ “ท่านเองก็นะ ใต้เท้าสวี่สร้างรากฐานให้ท่านดีแล้ว อะไรท่านก็ไม่ต้องไปกังวลแล้ว ปกติแล้วทำอย่างไรท่านก็ทำอย่างนั้นก็พอ เหตุใดถึงยังกลัวอีก? ตอนแรกที่ใต้เท้าสวี่เพิ่งจะมาถึง พวกเราลำบากกันมากแค่ไหน คิดถึงแต่ก่อนแล้วมาดูตอนนี้สิ ท่านเองก็ถือว่าเป็คนที่โชคดีมาก”
ใต้เท้าหลี่ได้ยินคำพูดของฮูหยินตนเองก็มาคิดอย่างละเอียด ก็แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงดั่งที่นางว่า จึงวางใจลง
ฝ่ายเว่ยหลางไม่อยากจะให้สวี่เหราไป ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แต่เพราะว่าเว่ยหลางเกี่ยวพันกับสกุลสวี่อย่างลึกซึ้ง ด่านเยี่ยนเหมินกับเมืองเหอซีก็ทำการค้าขายด้วยกัน แล้วไหนจะพวกพี่สาวสกุลเว่ยกับสวี่ตี้ร่วมเปิดร้านอาหารด้วยกัน คนปกติเจอหน้ากันบ่อยๆ กับหนึ่งปีเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ความรู้สึกมันย่อมไม่เหมือนกัน
แต่ครั้งนี้เป็คำสั่งจากองค์ฮ่องเต้เอง เว่ยหลางเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ หลังจากส่งต่องานกับสวี่เหราแล้ว ก็ส่งของขวัญให้กับครอบครัวสกุลสวี่
สวี่เหราจะไปรับตำแหน่งที่ก่านโจว ประชาชนของเหอซีต่างทำใจไม่ได้ ทุกคนถึงขั้นทำร่มหว่านหมิน [1] หนึ่งด้ามแล้วให้เหล่าผู้าุโหลายคนนำมาให้ที่สำนักงาน
สวี่เหรามารับด้วยตนเอง เหล่าผู้าุโกล่าว “ใต้เท้าสวี่ เหอซีของพวกเรา ประชาชนของที่นี่มีชีวิตอย่างทุกวันนี้ได้ก็ล้วนเป็เพราะท่าน พวกเราไม่อยากจะให้ท่านไปเลย แต่ว่าท่านจะต้องไปที่ที่ดีกว่า แล้วให้ความสุขกับประชาชนที่มากกว่านี้ พวกเราไม่มีของอย่างอื่นจะมอบให้ท่าน จึงทำร่มหว่านหมินมาให้ท่านหนึ่งด้าม ขอให้ท่านรับไว้ด้วยรอยยิ้มนะขอรับ”
หลังจากสวี่เหราขอบคุณก็กล่าว “ผู้าุโ ร่มนี้ข้าไม่สามารถเอาไปได้ เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะทำห้องไว้หน้าประตูสำนักงานว่าการให้เป็ห้องจัดแสดง ร่มหว่านหมินนี้ พวกเราก็จะวางจัดแสดงเอาไว้ในห้องนั้น จะได้เป็กำลังใจให้กับผู้นำคนต่อไป ให้พวกเขารู้ว่าประชาชนของพวกเราก็รู้จักบุญคุณ พวกท่านว่าดีหรือไม่?”
เหล่าผู้าุโได้ยินแล้วก็พยักหน้ารับ สวี่เหราจึงเอาห้องที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ หลังจากจัดของออกมาก็ทำเป็ห้องจัดแสดง ทั้งยังให้ทำป้ายสีดำเขียนด้วยตัวอักษรสีทองโดยเฉพาะ ้าเขียนเอาว่า “ห้องเกียรติยศสำนักงานว่าการเหอซี” แล้ววางร่มหว่านหมินเอาไว้ในตำแหน่งที่เมื่อเข้าประตูมาก็เจอได้ทันที
ใต้เท้าหลี่เห็นแล้วในใจก็พองโตขึ้นมาครู่หนึ่ง โดยเฉพาะบนกำแพงยังมีโครงการต่างๆ ที่หลังจากสวี่เหราเข้ารับตำแหน่งแปะมาเอาไว้ เื่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำ ใต้เท้าหลี่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องทำผลงานออกมาให้ดีๆ เพื่อตอนที่ตัวเองจากไปแล้วก็สามารถมีผลงานที่เป็เกียรติของตัวเองอยู่ด้านในห้องนี้ได้
สองวันมานี้หลังจากสวี่เหราส่งต่องานในมือเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปที่ก่านโจวกับพนักงานคนหนึ่งที่ขันทีส่งมาจากกระทรวงมหาดไทยโดยเฉพาะ
เรือนด้านหลังสำนักงานว่าการ จางจ้าวฉือกับแม่นมลู่ก็พาคนงานทั้งหมดในเรือนมาทำการเก็บกวาดเรือนห้าทางเข้าให้สะอาดเอี่ยม ตอนที่ฮูหยินหลี่มาช่วย จางจ้าวฉือก็จับมือฮูหยินหลี่ “แม่นางหลี่ เรือนนี้ก็ให้พวกเ้าเข้าอาศัยแล้ว ที่อื่นๆ เ้าก็รู้ดี มีแค่ห้องนอนหลักของเรือนหลัก ตอนแรกสวี่ตี้ออกแบบห้องลับเอาไว้ ข้าจะพาเ้าไปดู”
ทั้งเรือน ด้านล่างขุดเส้นทางใต้ดินเอาไว้ แล้วห้องนอนหลักก็คือห้องลับ เพื่อเอาไว้ซ่อนของ
ฮูหยินหลี่กับจางจ้าวฉือเข้าห้องลับจากด้านข้างตู้เสื้อผ้า มองห้องลับขนาดสิบกว่าตารางเมตร ด้านในวางชั้นที่ทำจากไม้เอาไว้ สามารถวางของลงไปได้ แต่ว่าตอนนี้ถูกทำความสะอาดเอาไว้จนเกลี้ยง
ฮูหยินหลี่กว่าว “ตี้เกอของพวกเราเป็คนเฉลียวฉลาด อะไรก็คิดได้”
จางจ้าวฉือกล่าว “ข้าเองก็ยินดีที่จะหาเื่วุ่นวาย เ้ารู้แค่ตรงนี้ก็พอ มีของอะไรไม่อยากจะให้คนอื่นรู้ก็ซ่อนเอาไว้ด้านใน ในใจก็จะรู้สึกมั่นคงมากขึ้น แล้วก็เรือนหลัง เรือนเพาะชำที่สวี่ตี้ทำก็ให้คนมาจัดการแล้ว อย่างน้อยฤดูหนาวมีกินผักก็สบายแล้ว”
ทั้งสองคนเดินวนรอบจวนไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ไปนั่งลงที่ห้องรับแขกของจางจ้าวฉือ หลังจากสาวใช้แซ่ไป๋หลายคนนำน้ำชามาวางก็ออกไปยืนอยู่ด้านนอก
ฮูหยินหลี่ลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยปากถาม “ข้าอยากจะถามอยู่หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่กล้า เื่การแต่งงานของตี้เกอกับเยว่ซี เ้ากับใต้เท้าสวี่วางแผนกันอย่างไรหรือ?”
จางจ้าวฉือกล่าว “ถึงเ้าไม่ถามข้าเองก็ต้องคุยกับเ้า ตอนนี้ตี้เกอน่ะอายุสิบหก เยว่ซีอายุสิบสาม ข้ากับพ่อของพวกเด็กๆ คิดว่ารอจนกระทั่งเยว่ซีอายุสิบหกก็จะจัดงานแต่งงานให้กับเด็กทั้งสองคน เ้าเองก็รู้ ข้าน่ะไม่มีความสามารถในการดูแลเรือน เื่ราวมากมายในเรือนก็ล้วนเป็แม่นมลู่เป็คนจัดการ ข้าน่ะยังรอให้เยว่ซีของพวกเรารีบแต่งงานเข้ามาดูแลอยู่นะ” พูดถึงตรงนี้จางจ้าวฉือก็รู้สึกเกรงใจอยู่นิดหน่อย
ฮูหยินหลี่หัวเราะพร้อมกล่าว “ก็เพราะว่าเป็เ้าถึงเป็เช่นนี้ เ้าไปหาดูสิ ว่ามีแม่สามีบ้านใดบ้างที่หลังจากลูกสะใภ้แต่งงานเข้าไปแล้วจะมอบหน้าที่ดูแลเรือนให้เลยทันที อย่างน้อยก็ต้องรังแกก่อนสองปีถึงจะส่งเื่การดูแลบ้านให้ลูกสะใภ้”
จางจ้าวฉือกล่าว “ลูกๆ ของพวกเราทั้งนั้น ข้าจะไปรังแกได้อย่างไร ข้านั้นเห็นลูกสะใภ้มาั้แ่เด็กจนโต นิสัยเป็อย่างไรข้าเองก็รู้ดี ข้ายังต้องไปรังแกหรือ? พวกเราสองคนน่ะ ต่อไปก็ไม่ต้องเกรงใจกันไปมาแล้ว ข้าเรียกเ้าว่าพี่สะใภ้ เ้าก็เรียกข้าว่าน้องสะใภ้ อย่างไรต่อไปพวกเราเองก็ถือว่าเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว”
สำหรับญาติอย่างจางจ้าวฉือ ฮูหยินหลี่รู้สึกว่าชาติก่อนจะต้องสั่งสมบุญมามากแน่ๆ ถึงได้โชคดีเช่นนี้ โดยเฉพาะหลังจากลูกสาวคนโตแต่งงานออกไป ถึงแม้แม่สามีของลูกสาวคนโตจะเป็คนที่มีเหตุผล แต่อย่างไรก็เป็แม่สามี มักจะเอามาดของแม่สามีออกมาใช้ หลังจากลูกสาวคนโตแต่งงานออกไปแล้วก็ถูกแม่สามีรังแกมาก่อน จากนั้นถึงจะยกอำนาจในการดูแลเรือนให้กับลูกสาวของตน
หลี่เยว่หลินลูกสาวคนโตไม่ใช่ไม่เคยร้องไห้กลับมา แต่สะใภ้แต่งงานใหม่ทุกคนต่างผ่านเวลาเช่นนี้กันมา ตนเองที่เป็มารดาจะพูดอะไรได้ ทำได้แค่ปลอบใจลูก เื่บางเื่จะเอามาใส่ใจมากไม่ได้ แล้วอยู่กับครอบครัวสามีให้ดี นานวันเข้าทุกคนรู้ถึงความดีของนางก็จะดีกับนางเอง
พอเห็นสีหน้าของฮูหยินหลี่ จางจ้าวฉือกล่าว “พี่สะใภ้กำลังคิดอะไรอยู่หรือเ้าคะ?”
ฮูหยินหลี่ถอนหายใจ “ข้ากำลังคิดว่า ลูกสาวคนเล็กของข้านั้นช่างโชคดีจริงๆ ที่หาครอบครัวสามีที่ดีเจอ ลูกสาวคนโตของข้าโชคร้ายไปเสียหน่อย หาครอบครัวสามีก็สู้น้องสาวไม่ได้”
ครั้งที่แล้วที่หลี่เยว่หลินกลับบ้านมา ก็ได้เชิญสวี่จือไปพูดคุยด้วยโดยเฉพาะ ในเมื่อสวี่จือจะไป สวี่ไป่ลิ่วล้อของนางก็จะตามไปด้วย ผลสรุปสวี่ไป่กลับมาแล้ว แล้วแอบมาบอกจางจ้าวฉือว่าแม่สามีของพี่สาวเยว่หลินนั้นร้ายกาจ รังแกพี่เยว่หลิน พี่เยว่หลินพูดขึ้นมาก็ร้องไห้ สวี่ไป่พูดอย่างได้ใจ พวกนางยังคิดว่าตนไม่เข้าใจ แต่ความจริงนั้นตนเข้าใจทุกอย่าง
เื่นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่เยว่หลินกลับมาร้องไห้ จางจ้าวฉือได้ยินฮูหยินหลี่พูดเช่นนี้ ก็ปลอบใจนาง “พวกเราที่เป็แม่น่ะ ก็เอาลูกสาวเลี้ยงไว้ในมือเหมือนสมบัติ ลูกสาวแต่งงานออกไปก็กลัวว่าคนในครอบครัวลูกเขยจะรังแกลูกสาวตนเอง กับเยว่หลินน่ะท่านวางใจเถิด ต่อไปพวกเราพักอาศัยที่ก่านโจวแล้ว เ้าไปบอกกับเยว่หลิน มีเื่อะไรก็ให้มาที่บ้านของพวกข้า พวกเราเป็ญาติกัน พวกเราจะมองดูเยว่หลินถูกรังแกได้อย่างไร?”
ฮูหยินหลี่กล่าว “อย่างอื่นข้าเองก็ไม่เท่าไหร่ ก็เป็ครั้งที่แล้วที่เยว่หลินกลับเรือน นางบอกกับข้าว่าเพื่อให้ครอบครัวพวกเขาสามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้ไกล จึงเตรียมตัวหาคนเข้ามาในครอบครัวลูกชาย ครอบครัวพวกเขาในเมื่อก็ไม่ใช่ครอบครัวขุนนางเล็กๆ ในครอบครัวมีคนตั้งมากมาย มิรู้ว่าเหตุใดถึงได้คิดแต่งอนุเข้ามา”
จางจ้าวฉือกล่าว “เื่นี้อย่ามีเลยจริงๆ การใช้ชีวิตสองสามีภรรยาจะดีหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับว่า การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันเกิดความรู้สึกผูกพันมาน้อยเพียงใด จู่ๆ ก็มีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง จะมีคนที่มีความสุขหรือ? เ้าไปเขียนจดหมายหาลูก เื่นี้จะเป็ตายอย่างไรก็อย่ารับปาก นี่ล้วนเป็รากฐานของความพินาศในครอบครัว”
ฮูหยินหลี่กล่าว “ข้าบอกกับลูกสาวแล้ว ว่าจะเป็จะตายอย่างไรก็อย่ารับปาก ถึงแม้ครอบครัวของพวกเราจะไม่มีเื่เช่นนี้ แต่ว่าข้าก็รู้ว่าหลายครอบครัวมากมายที่ครอบครัวล่มสลายก็เพราะเื่เช่นนี้ ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขก็พอแล้ว จะต้องเรียนรู้จากสิ่งที่คนอื่นๆ ทำออกมาก่อนหน้านี้”
เชิงอรรถ
[1] ร่มหว่านหมิน (万民伞 Wànmín sǎn) เกิดขึ้นในราชวงศ์ชิง ตอนที่ขุนนางที่ดูแลสถานที่ที่หนึ่งจะจากไป หากมีการทำร่มนี้ให้ ถือเป็การแสดงออกถึงการรั้งเอาไว้ ทั้งยังหมายความว่า เป็บิดามารดาผู้ปกครองพื้นที่นี้ เหมือนกับร่มที่สร้างความร่มเย็นให้กับประชาชน หากขุนนางผู้นี้ต้องออกจากราชการหรือจากที่นี่ไป แล้วมีคนเอาร่มมาให้แสดงว่าขุนนางผู้นั้นเป็คนดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้