เล่มที่ 4 บทที่ 115
นี่นับว่านางเป็ห่วงเป็ใยเขาหรือไม่? จ้าวจื่อซินคิดเพ้อเจ้อไม่เหมาะกับเวลา ถึงกระนั้นเขาก็พยักหน้าและหลีกทางให้มู่หรงฉิง
มู่หรงฉิงนั่งลงด้านข้างเตียง วางศีรษะของเฉินเทียนหยูไว้บนไหล่และพยายามป้อนยาอย่างช้าๆ แต่เฉินเทียนหยูอยู่ในอาการหมดสติ เขาจะดื่มได้อย่างไร? มิหนำซ้ำไม่เพียงแต่ต้องดื่มน้ำ แต่ต้องกินส่วนใบด้วยถึงจะได้ผลลัพธ์ มู่หรงฉิงจึงรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก
เมื่อเห็นมู่หรงฉิงถือถ้วยน้ำชาด้วยอาการลำบากใจ ทันใดนั้นจ้าวจื่อซินก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ในจังหวะที่เขากำลังคิดเกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหา มู่หรงฉิงกลับจิบน้ำพิษก่อนป้อนเข้าปากของเฉินเทียนหยู
ใบไม้ไม่ใหญ่นัก ถึงกระนั้นก็ไม่อาจกินได้หมดภายในคราวเดียว ด้วยสาเหตุนี้ มู่หรงฉิงจึงเลือกกัดใบเป็สองส่วน ป้อนน้ำพิษให้เขาทีละคำโดยใช้ลมผลักดันใบไม้เข้าไป
จ้าวจื่อซินยืนอยู่ด้านหน้าเตียงและเบิกตากว้าง มือทั้งสองข้างของเขาบีบกันแน่นตามจิตใต้สำนึก หากไม่ใช่เพราะเฉินเทียนหยูอยู่ในภาวะหมดสติ เกรงว่าเขาอาจจะกระโจนเข้าไปและโยนเฉินเทียนหยูออกจากห้องอย่างมิอาจห้ามได้
จวบจนกระทั่งน้ำพิษในถ้วยถูกป้อนจนหมด มู่หรงฉิงจึงค่อยๆ ประคองตัวเฉินเทียนหยูนอนบนเตียง
ขอบพระคุณ์ที่ทำให้นางสามารถต้านทานสารพัดพิษได้ ในท้ายที่สุด นางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเป้ยหนิงถึงบอกนางว่า ้าใช้หญ้าชิงโยวในการรักษาเฉินเทียนหยูนั้นเป็ความฝันที่งี่เง่าสิ้นดี ถ้าเปลี่ยนเป็คนธรรมดาทั่วไป จะถอนหญ้าชิงโยวออกมาได้อย่างไรกัน? นอกจากนี้จะหยิบหญ้าชิงโยวมาตากแดดได้อย่างไร? และยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลังจากเฉินเทียนหยูอยู่ในอาการหมดสติ ควรจะใช้วิธีใดในการป้อนหญ้าชิงโยว
มู่หรงฉิงถอนหายใจ แต่ทางด้านจ้าวจื่อซินได้หมุนตัวหันกลับไปอย่างกะทันหัน เขาออกจากห้องไปด้วยความว่องไว มู่หรงฉิงไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของจ้าวจื่อซิน ในเวลานี้ความคิดทั้งหมดของนางอยู่ที่เฉินเทียนหยูผู้เป็สามี
เฉินเทียนหยูซึ่งเดิมอยู่ในอาการหมดสตินั้น ตื่นขึ้นมาจากความเ็ปหลังจากการได้รับยาอีกหน ดวงตาสีม่วงเข้มเหมือนหินโมราคู่หนึ่งซึ่งทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกทุกข์ใจเหลือทน
“ท่านพี่ ฉิงเอ๋อร์รู้ว่าท่านพี่ทรมาน ท่านพี่อดทนอีกหน่อย ท่านอาจารย์บอกว่า หลังจากผ่านไปสามวันก็จะดีขึ้นมาก” ไม่อาจรับรองได้ว่าเขาจะได้ยินคำพูดเ่าั้หรือไม่ เนื่องจากปากของเขาถูกปิดด้วยจุกไม้ เสียงคำรามในปากของเขากลายเป็เสียงคร่ำครวญอยู่สักพักหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเ็ปสุดจะทนแล้ว และร่างกายของเขาก็เริ่มกระตุก
มู่หรงฉิงพลอยกระวนกระวายใจและรีบบิดผ้าเปียกเช็ดทำความสะอาดหยาดเหงื่อบนใบหน้าของเขา “ท่านพี่ชอบฟังฉิงเอ๋อร์บรรเลงพิณไม่ใช่หรือ? ท่านพี่้าฟังหรือไม่? ฉิงเอ๋อร์บรรเลงเพลงได้เยอะมาก ท่านพี่ชอบหรือไม่”
เดิมคิดว่าเฉินเทียนหยูไม่ได้ยินถ้อยคำของนาง แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า จบคำพูดดังกล่าวเฉินเทียนหยูกลับหันมามองนางและพยักหน้าภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของนาง
เห็นดังนั้นมู่หรงฉิงก็รีบะโเรียกปี้เอ๋อร์ซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับยาต้ม และทันทีที่นางได้ยินเสียงะโเรียกอย่างร้อนรนของมู่หรงฉิง นางจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นางเอ่ยถามก่อนจะเข้าไปในห้อง “คุณหนูใหญ่ มีอะไรจะสั่งการหรือ?”
“ปี้เอ๋อร์ รีบไปหยิบพิณมา เร็วเข้า” มือของมู่หรงฉิงยกขึ้นเช็ดหยาดเหงื่อ ก่อนนางจะเลื่อนสายตามองไปที่ปี้เอ๋อร์อย่างกังวลใจ “เ้ารีบไปถามจ้าวจื่อซินว่าที่นี่มีพิณหรือไม่? ถ้าไม่มี ก็ให้เขาไปซื้อเดี๋ยวนี้”
ในตอนแรกอยากให้ปี้เอ๋อร์กลับไปที่จวนเฉินเพื่อไปนำมันมา แต่เนื่องจากวิตกกังวลว่าจะตกเป็เป้าสายตาของคนจึงต้องเปลี่ยนคำพูด ถ้าในบ้านนี้มีพิณย่อมจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่มีพิณย่อมทำได้แต่ให้จ้าวจื่อซินไปซื้อในทันที
ปี้เอ๋อร์ได้ยินว่ามู่หรงฉิง้าพิณ นางถึงกับตกตะลึงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง “คุณหนูใหญ่อยากจะบรรเลงพิณหรือ?”
“มีพิณอยู่หนึ่งอัน เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเ้าจะใช้มันอย่างถนัดมือหรือไม่” เสียงของจ้าวจื่อซินดังแทรกมาจากข้างนอก ขณะเขาสาวเท้าเข้ามาในห้อง เขาได้ถือพิณยาวสีดำที่มีรูปร่างไม่เหมือนใครอยู่ในมือ
ได้เห็นพิณในมือของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากสั่งให้ปี้เอ๋อร์วางพิณไว้ด้านหน้าเตียง ในเวลาเดียวกัน นางหันศีรษะและกระซิบด้านข้างใบหูของเฉินเทียนหยูอย่างแ่เบาว่า “ท่านพี่จงอย่ากลัว ฉิงเอ๋อร์จะบรรเลงเพลงผ่อนคลาย ท่านพี่มองมาที่ฉิงเอ๋อร์ ดีหรือไม่?”
ทันทีที่ยาออกฤทธิ์แม้ว่าเฉินเทียนหยูจะเ็ปและเป็เื่ยากที่จะทนได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีสติอยู่เล็กน้อย หลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง เฉินเทียนหยูก็ผงกศีรษะ แม้ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่เมื่อสังเกตจากสายตาของเขา พอเดาว่าเฉินเทียนหยูกำลังเร่งให้นางรีบบรรเลงดนตรี
หลังจากปี้เอ๋อร์วางพิณเรียบร้อย มู่หรงฉิงก็นั่งด้านหน้าพิณโดยหันหน้าเข้าหาเฉินเทียนหยู นางหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ขณะบรรเลงพิณ ความสงบทางจิตใจของผู้บรรเลงพิณมีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าจิตใจไม่สงบจะส่งผลให้ทำนองเพลงขาดสุนทรียภาพตามที่คาดไว้
เมื่อมีความสงบในจิตใจ นางก็วางมือแตะสายพิณและบรรเลงเสียงดุจหยดน้ำ
เสียงพิณแ่เบาและอบอุ่นราวกับสายลมที่พัดผ่านใบหน้าในเดือนสาม ท่ามกลางแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ มีความอ่อนโยนและอบอุ่นเป็อย่างมาก สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมา รวมถึงกระแสน้ำพุที่ไหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จิตใจของผู้คนกลมกลืนไปกับมันโดยไม่รู้ตัวราวกับอยู่ในสรวง์บนโลก มันทำให้จิตใจของผู้คนสงบและสบายใจ
ทันใดนั้นเสียงก็ถูกปรับสูงขึ้นโดยพาผู้คนขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม ดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็เมฆหมอก นกกระเรียนบินร่ายรำล้อมรอบไปด้วยเมฆมงคล แม้กระทั่งวังของเทพธิดายังปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา
ครั้นท่วงทำนองถูกปรับต่ำลง แดน์ก็ไม่มีอีกต่อไป มีธารน้ำไหลลงสู่ทะเล ััได้ถึงกระแสน้ำ มองดูความอัศจรรย์ในน้ำ ัคู่หนึ่งกำลังเล่นแย่งลูกปัด เต่าเฒ่านำทาง ทหารกุ้งและปูแบ่งกองทัพออกเป็สองทาง มีน้ำทะเลอบอุ่นและมีปะการัง
ปรับระดับทำนองอีกหนก็คล้ายอยู่ท่ามกลางน้ำตก ได้ยินเสียงก้องของน้ำทำให้หนวกหู ปลาะโอย่างมีความสุขสนุกสนาน กระต่ายไม่ใยามได้เห็นผู้คนกระทั่งกวางยังไม่ได้วิ่งหนี เสือไม่ดุเมื่อเห็นผู้คน หมาป่าก็ไม่กัด เห็นได้ชัดเจนว่ามีสัตว์ป่ารายล้อมอยู่โดยรอบ แต่บรรยากาศกลับกลายเป็บรรยากาศอันเงียบสงบและเป็สิริมงคล แม้ว่าศัตรูตามธรรมชาติจะอยู่ตรงหน้า สิ่งมีชีวิตเล็กๆ นับไม่ถ้วนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสทำให้ผู้คนมีความสุข ปราศจากความวิตกกังวล คล้าย้าแค่ได้อยู่ท่ามกลางความร่มเย็นอันน่าอภิรมย์ ได้ใช้ชีวิตโดยปราศจากความทุกข์ร้อนหวาดหวั่นและมีความสุขต่อไป...
เพลงบรรเลงไปตามสิ่งที่ผู้คนวาดหวัง และสรุปสิ่งที่ดีทั้งหมด จากนั้นมู่หรงฉิงจึงลุกขึ้น พาตัวเองไปนั่งลงที่ด้านข้างเตียง นางเห็นดวงตาสีม่วงเข้มของเฉินเทียนหยูไม่แหลมคมอีกต่อไป แต่มองดูนางด้วยแววตาสงบสุขอย่างยิ่ง
สายตาเช่นนั้นดูนุ่มนวลและสงบเกินไปถึงกับทำให้หัวใจของมู่หรงฉิงละลายไปแล้ว นางหยิบจุกไม้ออกจากปากของเขาและยกมือขึ้นแตะพวงแก้มซีด “เพลงเข้าสู่ความฝันสามชาติที่ฉิงเอ๋อร์บรรเลงนี้ ท่านพี่ชอบหรือไม่?”
“เข้า... ความฝัน... สาม... ชาติ” อาจเป็เพราะเคยมีจุกไม้อยู่ในปากเป็เวลานานเกินไป เฉินเทียนหยูถึงพูดคำเ่าั้ได้ค่อนข้างยากลำบาก แต่เมื่อเห็นใบหน้าสงบของมู่หรงฉิงพร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนมองมาที่เขา เฉินเทียนหยูจึงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ชะ... ชอบ...”
“ท่านพี่ชอบก็ดี ขอแค่ท่านพี่ชอบ ฉิงเอ๋อร์ก็จะบรรเลงเพลงต่อไป ท่านพี่้าฟังสักกี่ครั้ง ฉิงเอ๋อร์ก็จะบรรเลงตามจำนวนที่ท่านพี่้า ตกลงหรือไม่?”
หลังจากพบว่าเพลงนี้สามารถทำให้เฉินเทียนหยูลืมความเ็ปไปได้ชั่วขณะ ทำให้มู่หรงฉิงประหลาดใจ แม้ว่าสุนทรียภาพของเพลงนี้จะดี ถึงกระนั้นก็ยังห่างไกลจากความสามารถที่จะทำให้ผู้คนลืมความเ็ปที่แท้จริงได้
“ได้” เฉินเทียนหยูไม่เคยเบี่ยงสายตาไปจากใบหน้าของนางเลย ครั้นเห็นนางนั่งอยู่ตรงหน้าพิณอีกหน ความเ็ปและความสุขในดวงตาของเขาก็ผสมเข้าด้วยกัน
ปี้เอ๋อร์ยังคงจมอยู่กับสุนทรียภาพของบทเพลง และยังคงไม่ฟื้นตัวเป็เวลานาน ยามเสียงพิณดังขึ้นอีกหน นางกลับเป็เหมือนปีศาจที่เอนกายพิงเสา ทว่าคล้ายร่อนเร่ในแดน์
จ้าวจื่อซินยกเก้าอี้และไปนั่งถัดจากมู่หรงฉิง เฝ้าดูมือของนางเคลื่อนไหวไปมา บรรเลงท่วงทำนองเสียงให้กลายเป็เพลง สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น เขาประหลาดใจที่นางสามารถบรรเลงพิณปีศาจได้อย่างสงบสุข
ปลายนิ้วบรรเลงบทเพลงแห่งความสงบ ในขณะที่สายตาของนางผสานกับเฉินเทียนหยูผู้ซึ่งนอนอยู่บนเตียง นางมีภาพลวงว่ารักเฉินเทียนหยู ความคิดเช่นนั้นคือการแบ่งปันความสุขและความทุกข์ การจับมือเดินหน้าและถอยหลังไม่แยกจากกันจนกระทั่งแก่เฒ่า คิดไม่ถึงว่าเวลานี้จะปรากฏภาพราวกับว่าทั้งชีวิตรอคอยคนผู้นี้เพียงผู้เดียว
หลังจากั์ตาสีม่วงเข้มกลับกลายเป็สีดำประกายลุ่มลึก หัวใจของนางก็จมดิ่ง ความรู้สึกนั้นทำให้นางตื่นตระหนก ทว่านางกลับมีความสุขที่ไม่อาจอธิบายเป็คำพูดได้ ความรู้สึกที่ขัดแย้งนี้ทำให้นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่กระนั้นก็้าชี้แจงความรู้สึกที่อธิบายเป็คำพูดไม่ได้
หัวใจของนางไม่สงบอีกต่อไปแล้ว เสียงเพลงที่บรรเลงย่อมไม่นำคนเข้าไปในอีกโลกเช่นเมื่อครู่ก่อน ท่วงทำนองสับสนเล็กน้อยกับอารมณ์แปรปรวนส่งผลให้คนราวกับอยู่ในท้องทะเลคล้ายลอยคออยู่เพียงลำพัง เมื่อใดที่คลื่นทะเลซัดจะตกลงไปในขุมนรกลึกซึ่งไร้ที่สิ้นสุด
ท่วงทำนองสูงๆ ต่ำๆ หยุดอย่างกะทันหันระหว่างการบรรเลงเพลง มู่หรงฉิงมองดูมือทั้งสองข้างของตนเองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางรู้สึกเหลือเชื่อเนื่องด้วยเมื่อครู่เพลงนั้นเกือบจะทำให้นางต้องมนต์สะกด
พิณนี้แปลก นี่เป็ข้อสรุปเดียวที่มู่หรงฉิงได้มา
“น้องหญิง...” เสียงพิณขาดหายไป แต่เฉินเทียนหยูมองนางอย่างตรงไปตรงมาราวกับว่านางเป็คนเดียวในสายตาของเขา
มู่หรงฉิงรีบลุกขึ้นไปนั่งด้านข้างเตียง ปาดเหงื่อบนใบหน้าของเขา “ท่านพี่เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่? ถ้าเหนื่อยแล้วก็นอนเสีย ฉิงเอ๋อร์จะอยู่เฝ้าด้านข้างท่านพี่ตลอด”
นับเป็เื่ยากที่เฉินเทียนหยูจะไม่ะโร้องด้วยความเ็ป มิหนำซ้ำยังไม่วอแวขอให้มู่หรงฉิงนอนเป็เพื่อน แต่เขาหลับตาอย่างว่านอนสอนง่าย และผล็อยหลับไปอย่างเงียบๆ
ทั้งหมดนี้แปลกเกินไปแล้วจริงๆ หลังจากเห็นว่าเฉินเทียนหยูหลับลึก มู่หรงฉิงจึงเดินกลับไปหยุดด้านข้างพิณ และสังเกตพิณที่มีรูปร่างแปลกนี้อย่างระมัดระวัง
เครื่องดนตรีชิ้นนี้จะบอกว่าเป็พิณก็ไม่เชิง หรือมีลักษณะคล้ายกู่เจิงก็ไม่ใช่ จากความทรงจำ มันคล้ายกับเสวียนฉินจากชนเผ่าเล็กๆ ทางใต้ ตัวพิณเป็สีดำ มันเงา ไม่เหมือนไม้ ไม่เหมือนหยก และไม่สามารถบอกได้ว่าทำด้วยวัสดุใด โดยเฉพาะสายของเสวียนฉินที่เป็สีดำมืดมิด แต่มีสีแดงเข้มอยู่ในนั้น และด้านใต้ของแต่ละสายมีร่องสีเข้มที่สะท้อนกันในระยะไกล
พิณนี้ไม่ใช่พิณที่ดี
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ครั้นหันมองไปทางจ้าวจื่อซิน เห็นดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความสงบสุข และมองไม่เห็นความแปลกประหลาดแต่อย่างใด
“คุณหนูใหญ่ ทักษะพิณของคุณหนูใหญ่ดีขึ้นเรื่อยๆ หลายอึดใจก่อนิญญาของบ่าวใกล้จะล่องลอยหายไปแล้ว” ปี้เอ๋อร์ที่เพิ่งฟื้นคืนสติพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เมื่อก่อนยามคุณหนูใหญ่อยู่ในจวนก็มักจะบรรเลงพิณอยู่บ่อยครั้ง เพลงนี้บ่าวเคยได้ยินคุณหนูใหญ่บรรเลงมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง และครั้งนี้คิดไม่ถึงว่าจะเข้าสู่แดน์จริงๆ และทิวทัศน์ที่สวยงาม... สวยงามเสียจนเป็เื่ยากที่จะละจากมัน”
“มันสวยงามเสียจนยากที่ละจากมันเท่านั้นเสียที่ไหนกัน? ถ้านางบรรเลงเพลงต่อไป กลัวว่าเวลานี้เ้าจะไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์จริงๆ แล้ว”
เสียงะโด้วยความขุ่นเคืองดังแทรกเข้ามาจากด้านนอกห้อง มู่หรงฉิงสะดุ้งใ เลื่อนสายตามอง ก็เห็นหมอเทวดาดึงเป้ยหนิงผู้ซึ่งคลุมใบหน้าด้วยผ้าโปร่งเข้ามา
เห็นดวงตาของเป้ยหนิงไร้ชีวิตชีวา ราวกับหุ่นเชิดที่ไร้ิญญาอย่างไรอย่างนั้น แต่ทางด้านหมอเทวดานั้นโกรธขึ้ง เคราของเขายกโค้งขึ้น ทันทีที่เข้ามาในห้อง เขาชี้นิ้วไปทางจ้าวจื่อซินพร้อมก่นด่าว่า “เ้าเด็กเวร ข้าก็ว่าอยู่ว่าใครเป็คนเอาพิณปีศาจไป คิดไม่ถึงว่า เ้าเด็กเวรจะกล้าฉวยโอกาสปล้นมันจากเหตุการณ์ไฟไหม้ เมื่อก่อน วูวู...”
หมอเทวดาเอ่ยปากทว่ากลับถูกจ้าวจื่อซินลากผ้าปูโต๊ะห่อปากของหมอเทวดาในเวลาเดียวกัน เขาใช้ดาบข่มขู่หมอเทวดา และเดินออกไป
คำพูดของหมอเทวดายิ่งทำให้มู่หรงฉิงมั่นใจเพิ่มมากขึ้นว่าพิณนี้ ไม่ใช่พิณที่ดีอย่างแน่นอน นางไม่คิดเลยว่า ชื่อของพิณจะแปลกประหลาดจริงๆ พวกเขาเรียกมันว่า พิณปีศาจ
มู่หรงฉิงไม่สนใจต่อเื่ราวของคนในยุทธภพ ย่อมไม่มีความคิดเห็นต่อพิณปีศาจ ทว่าปี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งอยู่ด้านข้างนั้นกลับหน้าซีด หลังจากได้ยินคำว่า ‘พิณปีศาจ’
ทางด้านเป้ยหนิงที่เพิ่งรู้สึกตัวถึงกับเบิกตากว้างยามได้ยินคำว่า ‘พิณปีศาจ’ เช่นเดียวกัน ดวงตาโตที่เผยออกมาจากผ้าโปร่งนั้น ฉายชัดถึงความสยดสยอง “พะ... พิณปีศาจ... ในตำนานเล่ากันว่า หนึ่งสายพิณปีศาจของหวางเซิงจื่อสามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้...”