เื่วันนี้เกิดขึ้นในเรือนของโม่เสวี่ยถง ดังนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับนางด้วย แต่เื่เหล่านี้ล้วนเป็เื่ราวภายใน แม้ว่าสกุลหวางและสกุลฉินจะเป็เครือญาติกับสกุลโม่ แต่เื่ฉาวภายในบ้านแบบนี้ ไม่อาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อไป
“นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้น” รอจนกระทั่งเครือญาติสกุลหวางและสกุลฉินออกไปหมดแล้ว โม่ฮว่าเหวินก็หันมาถามเอาความกับสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น ท่าทางของเขาดูสงบนิ่ง ทว่าดวงตากลับฉายแววดุดัน ไฟโทสะทอวาบจากเบื้องลึก
“วันนี้อี๋เหนียง้ามาหาคุณหนูใหญ่ แต่เมื่อมาถึงเรือนชิงเวยก็รู้สึกเดินไม่ไหวแล้ว พอดีสาวใช้ของคุณหนูสามออกมาเชิญให้อี๋เหนียงเข้าไปพักผ่อน น้ำใจมากล้นยากจะปฏิเสธ อี๋หนียงจึงตามสาวใช้ผู้นั้นเข้าไปนอนพักบนเตียงเตา คิดว่าพักผ่อนสักครู่ค่อยกลับไปเรือนหลีหวา”
“ใครจะรู้ อี๋เหนียงนอนพักอยู่ชั่วครู่ก็เริ่มปวดท้อง บ่าวจึงรีบวิ่งออกไปตามท่านหมอ พอไปถึงประตูกลาง เห็นนายท่านพาท่านหมอออกมาจากเรือนของเหล่าไท่ไท่พอดี จึงรีบเข้าไปแจ้ง คิดไม่ถึงว่าจะสายเกินไป นายท่านเป็เพราะบ่าวไม่ดีเอง อีกทั้งยังเกลี้ยกล่อมให้อี๋เหนียงเข้ามาพักผ่อนในห้อง ถึงเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น ขอนายท่านโปรดละเว้นชีวิตของบ่าวด้วยเถิด”
กุ้ยเยวี่ยคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ที่พื้น กล่าวจบก็โขกศีรษะอย่างแรงร้องขอชีวิต จนหน้าผากเป็รอยแดงบวมปูดออกมา
โม่เสวี่ยถงยกมุมปากยิ้มเยาะ ที่แท้ก็วางแผนจัดฉากเอาไว้แบบนี้นี่เอง
สาวใช้ของตนเชิญนางเข้าไปพักผ่อนั้แ่เมื่อไร เป็โม่เสวี่ยิ่ที่ขอให้นางเชิญฟางอี๋เหนียงเข้าไปพักผ่อนชัดๆ แล้วอะไรคือเห็นแก่น้ำใจมากล้นยากปฏิเสธ ก็แค่นางเดินมาจนเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อนสักครู่เท่านั้นเองมิใช่หรือ ไฉนสิ่งที่ออกมาจากปากพวกนางกลับกลายเป็ทุกอย่างล้วนมาจากตนเองเป็ผู้ริเริ่ม ฟังดูเหมือนตนไปลากฟางอี๋เหนียงเข้ามาในห้อง ดังนั้นพอเด็กมีอันเป็ไปก็เลยมาโทษนางเสียอย่างนั้น
ยามนี้นางไม่อยากเอ่ยวาจาแก้ข้อสงสัยใดๆ เพราะยิ่งพูดแก้ตัวก็รังแต่จะทำให้คนยิ่งเกิดความแคลงใจ ยิ่งไปกว่านั้น สาวใช้เหล่านี้ล้วนเป็สาวใช้ประจำตัวของฟางอี๋เหนียง หากนางยืนกรานปฏิเสธเวลานี้ก็เท่ากับเป็การยอมรับผิดไปโดยปริยาย สิ่งสำคัญยามนี้คือการกล่าวถึงเื่ของฟางอี๋เหนียง การสลับทำสิ่งที่ไม่สำคัญไม่ใช่วิสัยของนาง
“เพราะฟางอี๋เหนียงมาพักผ่อนในห้องของข้าจึงเกิดเื่แบบนี้ขึ้นหรือ” ดวงตากลมโตของโม่เสวี่ยถงกะพริบปริบๆ ดูไร้เดียงสาเป็ธรรมชาติ เหมือนว่าจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเื่อะไรขึ้น นางเดินออกมาจากด้านหลังกลุ่มคนด้วยแววตางุนงง
“คุณหนูสาม บ่าวมิได้หมายความเช่นนั้น บ่าวแค่จะบอกว่าไม่ควรปล่อยให้อี๋เหนียงต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้เลย หาได้เคลือบแคลงคุณหนูสามแต่อย่างใด” กุ้ยเยวี่ยหน้าถอดสี ร้องไห้รีบกล่าวอธิบาย
แต่คำพูดแบบนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งกระตุ้นให้คนเกิดความหวาดระแวง โม่อวี่เฟิงสาดสายตาไม่เป็มิตรมายังโม่เสวี่ยถง
แม้วาจาจะฟังดูเหมือนปกป้องตนเอง แต่แท้จริงแล้วเป็การยุยง หากสาวใช้คนหนึ่งยังใจกล้าโป้ปดต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เห็นทีในจวนนี้คงไม่มีใครเห็นตนเองเป็เ้านายแล้วกระมัง
โม่เสวี่ยถงมองกุ้ยเยวี่ยแล้วกล่าวว่า “ฟางอี๋เหนียงตั้งครรภ์แล้วยังเทียวไปเทียวมาท่ามกลางอากาศหนาวเย็นแบบนี้ เ้าผู้เป็บ่าวย่อมมีความผิด ท่านพ่อมีพี่ใหญ่ที่เกิดจากฟางอี๋เหนียงเป็ผู้สืบสกุลเพียงคนเดียว เดิมทีก็น้อยจนน่าเป็ห่วงอยู่แล้ว ครั้งนี้เด็กในท้องของฟางอี๋เหนียงอยู่ดีๆ ต้องมาเสียไป สาวใช้ประจำตัวอย่างพวกเ้าไม่มีความละอายใจกันเลยหรืออย่างไร”
ว่าแล้วก็หันไปหาโม่ฮว่าเหวินกล่าวอย่างหนักแน่น “ท่านพ่อ แม้สาวใช้สองคนนี้จะมิได้ดูแลอี๋เหนียงให้ดี แต่เห็นแก่ที่พวกนางคงมิได้มีเจตนา ก็เพียงขายพวกนางออกจากจวนไปเถอะเ้าค่ะ”
ขายออกไป? นี่มิใช่พูดถึงเื่ของฟางอี๋เหนียงอยู่หรือ ไฉนจึงกลายเป็เื่นี้ไปได้
พอกุ้ยหวากับกุ้ยเยวี่ยได้ยินก็ตะลึงงันจนหน้าถอดสี พวกนางมองไปที่โม่เสวี่ยิ่ผู้เป็นายตนด้วยสายตาวิงวอน คุณหนูใหญ่บอกว่าถูกลงโทษอย่างมากก็พักงานสิบวันถึงครึ่งเดือน แม้อาจถูกโบยก็ไม่าเ็ถึงเส้นเอ็นและกระดูก แต่ไฉนพอมาถึงมือคุณหนูสามกลับจะถูกขายออกไปเล่า
นี่พวกนางจะถูกขายออกไปจริงๆ หรือ หากถูกขายไปสถานที่แบบนั้น แล้วจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เมื่อตระหนักถึงความจริงข้อนี้จากที่แกล้งตัวสั่นก็กลายเป็สั่นขึ้นมาจริงๆ
“หากความรับผิดชอบเื่นี้เป็ของพวกเ้า ก็สมควรถูกขายออกไปจริงๆ พวกเราสกุลโม่ไม่อาจละเว้นต่อข้าทาสบริวารที่ละเลยหน้าที่จนทำให้เกิดความผิดพลาด แต่หากเื่นี้เป็แค่เหตุสุดวิสัย ท่านพ่อก็มิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ” เมื่อเห็นกุ้ยหวาและกุ้ยเยวี่ยชำเลืองมองนาง โม่เสวี่ยิ่ก็นึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่กลับเอ่ยวาจาเสียงเรียบ ไม่มีท่าทางตื่นใใดๆ ทั้งสิ้น
คำพูดของโม่เสวี่ยิ่ประโยคนั้นทำให้สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นทั้งสองคนได้สติทันที
“คุณหนูใหญ่ พวกบ่าวมิได้ทำร้ายอี๋เหนียงนะเ้าคะ ตอนที่อี๋เหนียงเข้ามาในเรือนชิงเวย แม้ว่าจะเหนื่อย แต่สีหน้าก็ยังดีอยู่ คุณชายน้อยในครรภ์ก็ยังปลอดภัยดี แต่พอนอนพักบนเตียงเตาของคุณหนูสามได้เพียงครู่เดียวก็เกิดเื่ พวกเรามิได้บกพร่องต่อหน้าที่เลยจริงๆ” สาวใช้ทั้งสองโขกศีรษะไม่หยุด
“มาพักผ่อนเรือนคุณหนูสามแล้วจึงเกิดเื่ จะเป็ไปได้อย่างไร หรือในห้องของคุณหนูสามมีสิ่งใดผิดปรกติ ต้องเป็พวกเ้าที่คิดปัดความรับผิดชอบไปที่คุณหนูสามใช่หรือไม่” สีหน้าของโม่เสวี่ยิ่เผยให้เห็นความโกรธเคืองอย่างชัดเจน เดินเข้ามาชี้หน้าด่าสาวใช้ทั้งสอง
ด้วยคำพูดเพียงสองประโยคก็สามารถกอบกู้บรรยากาศแห่งชัยชนะกลับมาได้แล้ว โม่เสวี่ยิ่ช่างรู้จักเล่นกับจิตใจคนยิ่งนัก
“คุณหนูใหญ่ ไม่ใช่เ้าค่ะ ไม่ใช่พวกบ่าวจริงๆ” กุ้ยหวา กุ้ยเยวี่ยร้องไห้ไป พลางปฏิเสธพัลวัน
“เอ๊ะ... นั่นกลิ่นอะไร” จู่ๆ ท่านหมอที่กำลังตรวจชีพจรให้ฟางอี๋เหนียงก็ทำท่าสูดกลิ่นฟุดฟิดแล้วเอ่ยถาม
กลิ่นอะไร? ทุกคนต่างหยุดพูดแล้วสูดกลิ่นเข้าไป ที่แท้ภายในห้องก็มีกลิ่นหอมเย็นจางๆ แม้จะไม่เข้มข้นมาก แต่เมื่อสูดกลิ่นแล้วก็รู้สึกสดชื่น สายตาของทุกคนไปหยุดอยู่ที่กระถางกำยานซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง ยังมีกำยานที่ยังติดไฟเหลืออยู่อีกเล็กน้อย หากไม่ถูกใครพบเข้าเสียก่อน อีกประเดี๋ยวก็คงมอดจนหมดสิ้น
“นี่เป็กำยานที่ช่วยสงบจิตใจของคุณหนูเ้าค่ะ” โม่หลันตอบ
“คุณหนูสามออกไปกับพวกเรา ในห้องก็ไม่มีคน แล้วเหตุใดกำยานจึงยังจุดอยู่เล่า” โม่เสวี่ยิ่ขมวดคิ้วกล่าวพึมพำ แม้เสียงจะมิได้ดังมาก แต่เมื่อกล่าวขณะที่เงียบกันอยู่ คำพูดของนางย่อมเข้าหูทุกคนอย่างชัดเจน
สายตาของโม่ฮว่าเหวินซึ่งนั่งเงียบไม่พูดจามาั้แ่ต้นดำทะมึนขึ้นหลายส่วน
“หรือว่ากำยานนี้จะมีปัญหา” โม่อวี่เฟิงเดินเข้าไปหาท่านหมอ แล้วดึงแขนลากมาที่หน้ากระถางกำยาน ก่อนเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“คือว่า...” ท่านหมอท่าทางอึกอักคล้ายมีวาจาแต่ไม่กล้าพูด แต่ก็หลับตาลงพลางสูดกลิ่นเข้าไปอีกสองครั้ง ก่อนแสดงสีหน้าไม่สบายใจนัก
“แท้จริงแล้วเป็อย่างไร พูดมาเร็วๆ” โม่อวี่เฟิงรบเร้า แรงมือที่บีบแขนของหมอผู้นั้นเริ่มหนักขึ้น จนอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บจนต้องลืมตา
“พูดมาเร็วๆ สิ”
“คือว่า... ในกำยานนี้มีกลิ่นของชะมดเช็ด แม้ว่าจะจางมาก แต่มีแน่นอน” ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวจึงตอบไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนได้ยินคำกล่าวนี้ต่างมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด โม่เสวี่ยิ่รู้สึกตัวก่อนจึงพุ่งเข้าไปถาม “มิใช่ว่าท่านพูดซี้ซั้วหรอกนะ นี่เป็กำยานช่วยสงบจิตของน้องสามชัดๆ จะมีส่วนผสมของชะมดเช็ดได้อย่างไร น้องสามสุขภาพไม่ดี ตลอดมาก็ต้องจุดกำยานช่วยให้หลับสบาย นี่เป็สิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้”
“ข้ามิได้พูดซี้ซั้ว นี่จะเป็กำยานที่ใช้สงบจิตได้อย่างไร ในเมื่อภายในมีกลิ่นชะมดเช็ดเป็ส่วนผสมสำคัญ สตรีที่ยังมิได้ออกเรือน ไฉนจึงใช้กำยานแบบนี้ หากอยู่ในห้องสูดกลิ่นเป็เวลานานก็จะเกิดผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวได้” เมื่อได้ยินว่ามีคนเคลือบแคลงสงสัยในความรู้ทางวิชาชีพของตน ท่านหมอก็ตีสีหน้าเคร่งขรึมตอบด้วยความไม่พอใจ
คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่ง ในมือไม่น่าจะมียาที่มีส่วนผสมของกลิ่นชะมดเช็ดซึ่งมีผลกระทบต่อสตรีมีครรภ์ เว้นเสียแต่ว่านางจงใจ และก็ไม่อาจเป็การเข้าใจผิด เพราะโม่เสวี่ยถงรู้วิชาแพทย์
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ เดิมทีก็ทำให้คนรู้สึกสดชื่น แต่เมื่อรู้ว่าในนี้มีส่วนผสมของกลิ่นชะมดเช็ด แต่ละคนต่างก็ถอยออกไปสองสามก้าว โม่เสวี่ยฉงถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากปิดจมูก แล้วถอยไปยืนชมละครสนุกๆ ฉากต่อไปที่หน้าประตู
“พี่สาม นี่คงไม่ใช่ฝีมือของพี่จริงๆ ใช่หรือไม่” โม่เสวี่ยฉงทำสีหน้าตื่นตูม
น้องสาวผู้นี้แล้งน้ำใจเป็ที่หนึ่ง ไม่ว่าใครในบ้านเกิดเื่ นางล้วนแล้วแต่รู้สึกยินดี และฉวยโอกาสทุ่มหินลงบ่อ เหยียบย่ำซ้ำเติมเสมอ
“โม่เสวี่ยถง นี่หมายความว่าอย่างไร” โม่อวี่เฟิงตะลึงงันก่อนตวาดเสียงดังอย่างโกรธเกรี้ยว ถลึงตาใส่โม่เสวี่ยถงแล้วเดินสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว โม่หลันเห็นท่าไม่ดีจึงเอาตัวขวางหน้าโม่เสวี่ยถง
แววตาของโม่เสวี่ยถงพลันเย็นเยียบ ในที่สุดก็ออกลายแล้วสินะ!
ในที่สุดก็ดึงเื่ให้เข้ามาหานางจนได้ นางมองไปที่ท่านหมอที่ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็ผู้ก่อหายนะครั้งใหญ่ปราดหนึ่ง แววตาพลันแข็งกร้าว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ หมอผู้นั้นกลับนั่งลงอย่างสงบนิ่ง ตรวจชีพจรให้ฟางอี๋เหนียงใหม่อีกครั้ง ความสงบนิ่งแบบนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่หมอธรรมดาทั่วไปจะมีได้
แล้วเหตุใดเมื่อครู่จึงทำท่าทางใ แล้วพูดออกมาหมดเปลือกเช่นนั้นเล่า
“ไม่ เป็ไปไม่ได้ น้องสามเป็คนจิตใจดีงามจะทำเื่เลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่มีทาง เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด” โม่เสวี่ยิ่ทำท่าเหมือนคืนสติกลับมาจากความรู้สึกอึ้งงันไม่อยากเชื่อ แล้วตรงเข้ามาดึงแขนโม่อวี่เฟิงพลางกล่าวอย่างร้อนใจ แล้วหันไปพูดกับโม่เสวี่ยถงทั้งน้ำตา “น้องสาม เ้าอธิบายมาสิว่าใช่หรือไม่ อธิบายมาให้ท่านพ่อเข้าใจ พวกเราย่อมเชื่อเ้าอยู่แล้ว”
อธิบาย? ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็นับว่ามีพยานพร้อมมูลอยู่แล้วมิใช่หรือ แล้วจะให้นางอธิบายอย่างไร ยิ่งอธิบายก็ยิ่งทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยเปล่าๆ โม่เสวี่ยิ่แสดงบทพี่สาวผู้แสนดี เกิดเื่ขึ้นแบบนี้ยังช่วยแก้ต่างให้ ผู้คนต่างมองว่านางเป็หญิงสาวที่อ่อนโยนจิตใจกว้างขวาง ส่วนตนเองก็กลายเป็น้องสาวที่มีจิตใจชั่วร้าย เมื่อมาเปรียบเทียบกันแล้วก็ยิ่งดูโดดเด่นขึ้นกว่าเดิมมิใช่หรือ
“อธิบายอันใดหรือเ้าคะพี่หญิงใหญ่ แต่ไหนแต่ไรฟางอี๋เหนียงก็ไม่เคยมาถึงห้องของข้า ต่อให้ข้าคิดร้ายกับนาง แล้วจะทราบล่วงหน้าได้อย่างไรว่านางจะมาห้องข้า” โม่เสวี่ยถงถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ดูสอดรับกับสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ ดวงตากลมโตกระจ่างใสฉายแววฉงนฉงาย ดูคล้ายว่าบัดนี้นางก็ยังไม่กระจ่างใจอันใดเลย
แต่คำพูดแบบนี้ก็ฟังขึ้น
ทุกคนในจวนโม่ต่างรู้ว่าฟางอี๋เหนียงกับคุณหนูสามไม่ถูกกัน และใครๆ ต่างก็ทราบว่าคุณหนูสามจะไม่มีวันไปเรือนหลีหวาของฟางอี๋เหนียง ในขณะเดียวกันฟางอี๋เหนียงก็ไม่มีทางมาเรือนชิงเวยของคุณหนูสาม นี่เป็เื่ที่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ แม้โม่เสวี่ยถงจะมีใจคิดร้ายต่อฟางอี๋เหนียง แต่นางจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาถึงเรือนของตนเองเล่า
“คุณหนูสาม เดิมทีอี๋เหนียงไม่อยากเข้าไปในเรือนของท่าน แต่ท่านส่งโม่หลันมารอ เมื่อฟางอี๋เหนียงมาถึงก็ดึงดันจะเชิญให้เข้าไปพักผ่อนให้ได้... หลังจากนั้นอี๋เหนียงก็เกิดเื่ขึ้น บ่าวไม่รู้ว่าคุณหนูสามทำเื่แบบนี้ได้อย่างไร รู้เพียงว่าอี๋เหนียงเป็ผู้รับเคราะห์ แล้วไหนจะคุณชายน้อย... นั่นคือคุณชายน้อยของนายท่านนะเ้าคะ น่าสงสารคุณชายน้อยเหลือเกิน”
กุ้ยหวาร้องไห้โต้ตอบกลับมาทันที แล้วหันไปโขกศีรษะให้ฟางอี๋เหนียงสองสามครั้ง ก่อนจะคลานเข้าไปหา
ทว่าสายตากลับลอบมองสีหน้าของโม่ฮว่าเหวิน ก็พบว่าเมื่อตนเองพูดถึงคุณชายน้อย เส้นเืบนหน้าผากของนายท่านก็ปูดโปนแทบะเิ นายท่านให้ความสำคัญกับบุตรในครรภ์ของฟางอี๋เหนียงอย่างยิ่ง ครั้นเมื่อเอ่ยถึงคำว่า ‘คุณชายน้อย’ นางก็ยิ่งร้องไห้ฟูมฟาย คลานเข้าไปคล้ายจะเข้าไปจับมือของฟางอี๋เหนียง แต่คาดไม่ถึงว่ามือของนางกลับไปวางพาดอยู่บนหมอนอิงซึ่งวางอยู่ข้างฟางอี๋เหนียงแล้วพลิกหมอนเข้าไปด้านใน
“นั่นอะไรน่ะ” โม่เสวี่ยฉงเป็คนแรกที่เห็น นางชี้ไปยังสิ่งที่ปลิวออกมาจากใต้หมอนแล้วถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“หงฮวา!” ท่านหมออยู่ด้านข้างพอดีจึงหยิบต้นหญ้าเล็กๆ ต้นนั้นขึ้นมา นั่นเป็หญ้าหงฮวา มีดอกเป็สีแดงอมส้มแซมสีเหลือง มีกลิ่นที่อ่อนจางมาก แต่หากจะกล่าวกันตามจริง แทบไม่มีใครสามารถดมกลิ่นรู้ได้
“หากกลิ่นของดอกหงฮวามาผสานเข้ากับกลิ่นของชะมดเช็ด จะทำให้สตรีแท้งบุตรได้ทันที มิน่าเล่าฮูหยินท่านนี้จึงได้...” ท่านหมอมองซ้ายมองขวา สีหน้าขรึมลง กล่าวจบก็หันไปมองโม่เสวี่ยถงแล้วส่ายหน้าพลางถอนใจ แต่กลับไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ แต่ก็ยังคงจับชีพจรของฟางอี๋เหนียงต่อไปราวกับไม่อยากยุ่งเื่ของชาวบ้าน
แต่ความหมายในคำพูดของเขาทุกคนต่างเข้าใจแจ่มชัด