เซี่ยเจิงเจอกับเวินลี่และชวีอี้เจี๋ย
ช่างบังเอิญเสียจริงๆ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับเสียงดังดิ๊ง เวินลี่ก็จับแขนชวีอี้เจี๋ยเดินออกมา เซี่ยเจิงชำเลืองมองพวกเขาที่เดินสวนผ่านไปอย่างรวดเร็ว อันที่จริงใบหน้าของชวีอี้เจี๋ยไม่ได้ถือว่าแปลกหน้าสักเท่าไหร่ เพราะว่าเซี่ยเจิงเห็นเขาในช่องโทรทัศน์ของเมืองอยู่หลายครั้ง ตอนนั้นใบหน้านี้ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์สำหรับเซี่ยเจิงแล้วเป็เพียงแค่ “นักธุรกิจเ้าของอสังหาริมทรัพย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง” ทว่าตอนนี้กลับเป็ “พ่อของชวีเสี่ยวปอ”
แต่นอกเหนือจากนี้ ความคิดเชื่อมโยงของเซี่ยเจิงคิดที่ไปไกลกว่านั้นคือ เมื่อครู่เขาเพิ่งจะจูบกับลูกชายของคนคนนี้ไป เมื่อคิดถึงเื่นี้ขึ้นมา เซี่ยเจิงจึงไม่สามารถสงบสติได้อีกต่อไป เพราะว่าถ้าหากเขาออกมาช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาที ก็อาจจะทำให้พ่อกับแม่ของชวีเสี่ยวปอเห็นภาพนั้นเข้าได้เลย
แล้วก็เป็เช่นนั้น
เซี่ยเจิงลงลิฟต์มายังไม่ทันจะได้ออกจากประตูโรงพยาบาล เขาก็ได้รับข้อความจากชวีเสี่ยวปอแล้ว
“ให้ตายสิ นายเจอแม่ฉันไหม? ตอนที่นายเพิ่งจะออกไปแม่ก็เข้ามาเลย”
“เจอกันที่ลิฟต์น่ะ” ในระหว่างที่รอรถแท็กซี่เซี่ยเจิงก็กดโทรศัพท์ไปด้วย “แล้วก็พ่อนายด้วย”
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้ตอบกลับข้อความนี้ของเซี่ยเจิง ในตอนนั้นเขาหันไปมองชวีอี้เจี๋ย และรู้สึกว่าพ่อของเขาสีหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก แม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ยังหันไปพูดออดอ้อนกับเวินลี่ว่า :
“แม่ครับ แม่ไปไหนมาครับ? ”
“แม่จะไปไหนได้ล่ะ !” เวินลี่วางกระติกเก็บความร้อนสองใบในมือลงบนโต๊ะด้านข้าง “ก็ไปเอาข้าวให้ลูกไง !”
เวินลี่พูดพลางเปิดกระติกเก็บความร้อนออกมา
“ครับ ดมปุ๊บก็รู้เลยว่าฝีมือของคุณป้าที่บ้าน” ชวีเสี่ยวปอยิ้มขึ้นมาอย่างทะเล้น
“เื่มาก” จู่ๆ ชวีอี้เจี๋ยก็พูดขึ้นมาเสียงดัง
“ผม...” ชวีเสี่ยวปอกำลังจะโต้ตอบกลับไป ถามพ่อเขาว่าเมื่อครู่ไปกินเสียงประทัดของโรงงานไหนมา แต่เวินลี่กลับส่งสายตาไปให้เขาซะก่อน ชวีเสี่ยวปอจึงจำต้องกลืนคำพูดนั้นลงไป และอีกอย่างขาของเขาก็ใส่เฝือกอยู่ด้วย ถ้าทะเลาะกับพ่อเขาขึ้นมาจะวิ่งหนีไปไหนก็ไม่ได้
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน โทรศัพท์ของชวีอี้เจี๋ยก็ดังขึ้น หลังจากที่เขาเดินออกไปด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง ชวีเสี่ยวปอจึงถามขึ้นมาว่า : “แม่ครับ พ่อเป็อะไรอะ? ”
“ทะเลาะกับทางฝั่งนั้นมา” เวินลี่มองกระติกเก็บความร้อน พร้อมทั้งพูดขึ้นมาเสียงเรียบ
ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็สำลักขึ้นมาราวกับได้กลืนแมลงวันลงไป
“ชวีจิ่งก็เข้าโรงพยาบาลเหมือนกัน” เวินลี่พูดเสริมขึ้นมา “เหมือนว่าจะไปมีเื่ต่อยตีกับคนอื่นมา”
“โห” ชวีเสี่ยวปอเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของชวีอี้เจี๋ยขึ้นมาแล้ว แม้ว่าั้แ่เด็กจนโตชวีเสี่ยวปอและชวีจิ่งจะทะเลาะต่อยตีกันจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ชวีจิ่งก็ไม่เคยสร้างปัญหาข้างนอก เรียกได้ว่าเป็แบบอย่างของนักเรียนที่อยู่ในโอวาทคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทว่าครั้งนี้ไม่เพียงแต่ไปมีเื่ ทั้งยังต้องนอนโรงพยาบาลอีก ถือได้ว่าสร้างความประหลาดใจให้กับชวีอี้เจี๋ยไม่น้อยเลยทีเดียว
ชวีเสี่ยวปอยกนิ้วโป้งขึ้นมา “สุดยอด”
“กินข้าวไปเลย !” เวินลี่จ้องเขาตาเขม็ง “ลูกรู้ไหมทำไมถึงได้ทะเลาะกัน เพราะทางฝั่งนั้นเห็นว่าพ่อของลูกมาเยี่ยมลูกก่อน เพราะงั้นเลยทะเลาะกันขึ้นมา”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องให้เขาไปๆ มาๆ ...สองที่สิครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดอยู่ดีๆ ก็เสียงอ่อยลง ทั้งยังคีบซี่โครงมาปิดปากตัวเองเอาไว้อย่างรู้ตัว
หลังจากที่ชวีอี้เจี๋ยโทรศัพท์เสร็จก็กลับมาอยู่ในห้องพักฟื้นครู่หนึ่ง ทั้งยังแทบจะมีคำว่าจิตใจไม่สงบเขียนอยู่บนกลางหน้าผาก จนสุดท้ายชวีเสี่ยวปอทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเอ่ยขึ้นมาว่า : “พ่อไปหาชวีจิ่งเถอะครับ ผมไม่เป็ไร”
“อย่าขยับมั่วซั่วล่ะ” ชวีอี้เจี๋ยจ้องเขาตาเขม็ง แต่เห็นได้ชัดว่าดูผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่ขึ้นมาก ราวกับว่ากำลังรอให้ชวีเสี่ยวปอพูดประโยคนี้ออกมา “ไม่มีสักคนที่จะทำให้พ่อสบายใจได้เลย”
พูดยังไงดีล่ะ
ความรักจากพ่ออะไรเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอไม่เคยคิดที่จะแย่งมาจากชวีจิ่งเลยสักครั้งเดียว
ชวีเสี่ยวปอยังคงจำได้อย่างแม่นยำ เมื่อตอนเด็กที่ทะเลาะกับชวีจิ่ง ประโยคที่เขามักจะพูดบ่อยที่สุดก็คือ “นายอย่ามาแย่งพ่อของฉัน”
ณ ตอนนั้นชวีเสี่ยวปอไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า “แย่ง” คำนี้จริงๆ แล้วมันหมายถึงอะไรกันแน่ ซึ่งก็เห็นๆ อยู่ว่าชวีอี้เจี๋ยเป็พ่อของเขา แล้วทำไมชวีจิ่งถึงได้พูดว่าชวีเสี่ยวปอจะมาแย่งพ่อของเขากันนะ?
ทว่าต่อมาภายหลังชวีเสี่ยวปอถึงได้รู้สึกว่าชวีจิ่งพูดถูกต้องแล้ว
ถ้าหากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวขึ้นมาของเขา ความรักจากพ่อของชวีจิ่งก็จะสมบูรณ์แบบตลอดไป ส่วนเขาก็ควรถูกตรึงไว้บนเสาแห่งความอัปยศของครอบครัวอันซับซ้อนวุ่นวายเช่นนี้ั้แ่แรก โดยทางด้านซ้ายเขียนเอาไว้ว่าไม่มีสิทธิ์ และทางด้านขวาเขียนเอาไว้ว่าไม่คู่ควร
ดังนั้นทันทีที่ชวีอี้เจี๋ยเดินออกไป เขากลับรู้สึกสบายใจขึ้นมามากเลยทีเดียว
หลังจากทานข้าวมื้อแรกในโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อย เวินลี่ยังอยากอยู่เฝ้าเขาที่โรงพยาบาลในคืนนี้ แต่กลับถูกชวีเสี่ยวปอพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้กลับบ้านไป ก่อนที่เวินที่จะกลับยังไม่วายหันมาพูดกำชับเขาอีกร้อยแปดพันอย่าง และเมื่อเวินลี่เดินออกไป เสี้ยววินาทีถัดมาชวีเสี่ยวปอก็วิดีโอคอลหาเซี่ยเจิงทันที
เซี่ยเจิงน่าจะถึงบ้านนานแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกชวีเสี่ยวปอเลยว่าสถานการณ์ที่บ้านเป็ยังไงบ้างแล้ว
สายแรก ไม่ได้รับ
ชวีเสี่ยวปอมองไปบนข้อความที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอว่า “โทรศัพท์ของอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้อยู่กับตัว แนะนำให้ลองใหม่ในภายหลัง” เขาจึงไม่สามารถสงบจิตใจได้เหมือนอย่างเมื่อครู่
แต่ก็ยังคงปฏิบัติตามหลักการที่ว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงอย่าได้ตื่นตระหนก” ชวีเสี่ยวปอจึงโทรไปสายที่สอง
ก็ยังไม่มีคนรับสาย
ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะต่อสายหาซือจวิ้นให้เขารีบไปดูที่บ้านของเซี่ยเจิงว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเซี่ยเจิงก็โทรกลับมา
“เป็ยังไงบ้าง? ทำไมไม่รับโทรศัพท์? คุณป้าไม่ได้เป็อะไรใช่ไหม? แล้วนายเป็ยังไงบ้าง? ” คำถามติดต่อกันรวดเดียวของชวีเสี่ยวปอนี้ ทำให้เซี่ยเจิงอึ้งไปและจะอ้าปากตอบอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถพูดแทรกชวีเสี่ยวปอได้เลย เมื่อเห็นท่าทางอันร้อนรนของชวีเสี่ยวปอ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมา
“ยังจะยิ้มอีก !” ในใจของชวีเสี่ยวปอรู้สึกลนลานไปหมด แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงก็ยิ้มขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่ไม่ทันรู้ตัวว่าเซี่ยเจิงหมายความว่าอะไร
“ไม่เป็อะไร ไม่เป็อะไรเลยทั้งนั้น” ในตอนนั้นเซี่ยเจิงถึงได้ตอบออกมาอย่างไม่ได้ดูรีบร้อนอะไร “คนป่วยยังตื่นเต้นได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ”
“ฉันเจ็บที่ขาไม่ใช่ที่ปากสักหน่อย” ชวีเสี่ยวปอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “คุณป้าเป็ยังไงบ้าง? ”
“หลับไปแล้ว” เซี่ยเจิงอธิบาย “วางใจได้ เขาไม่ได้มา แม่ฉันแค่ทำชามตั้งหนึ่งหล่นลงมาแตกเลยรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย” เซี่ยเจิงไม่อยากอธิบายลงรายละเอียดนัก แต่ทว่าสาเหตุที่แม่เขาหวาดกลัวขึ้นมา เป็เพราะในตอนที่เซี่ยรุ่ยเซินเมาเขามักจะทุบทำลายข้าวของทุกอย่าง จนทำให้เกิดเป็แผลฝังอยู่ในใจของแม่เซี่ยเจิง
“ดีแล้วละ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาในที่สุด แล้วจึงเปลี่ยนทำหัวข้อสนทนา ทั้งยังหัวเราะน้อยๆ ขึ้นมาสองครั้งก่อนจะพูดว่า : “ตอนบ่ายน่าตื่นเต้นมากเลยเนอะ”
“อะแฮ่ม” เซี่ยเจิงกระแอมขึ้นมาอย่าไม่เป็ตัวของตัวเอง “นายคิดว่าถ้าเห็นขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจะเล่นงานใครก่อน?”
“นายไง” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง จากนั้นจึงทำสีหน้าขมขื่นน่าเห็นใจกับหน้าจอ “เพราะถึงยังไงฉันก็ขาหักอยู่”
“ฉันยอม” เซี่ยเจิงเองก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน “จากนั้นฉันก็ต้องร้องไห้พูดออกไปทั้งน้ำตาว่า ฉันรักนายจริงๆ แล้วก็ต้องทำให้พ่อกับแม่ของนายจำต้องยอมรับพวกเราสองคนที่เป็ดั่งนกยวนยาง [1] แสนอาภัพในโชคชะตาคู่นี้ด้วย”
ทั้งสองคนมองอีกฝ่ายในหน้าจอโทรศัพท์พลางหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข พวกเขาคุยกันจนกระทั่งโทรศัพท์ของชวีเสี่ยวปอแบตใกล้จะหมดแล้วถึงได้วางสายไป
แต่ทว่าในตอนที่บริเวณโดยรอบเงียบสงบลงอีกครั้งหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้รู้สึกสงบตามไปด้วย
อาจจะเป็เพราะเมื่อถึงตอนค่ำมืดเช่นนี้มักจะทำให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปได้โดยง่าย
พ่อกับแม่จะรู้เข้าสักวันหนึ่งหรือเปล่า?
ทันใดนั้นราวกับว่าปุ่มสีแดงที่แสดงถึงความอันตรายในหัวใจถูกกดลงไปอย่างกล้าหาญ เสี้ยววินาทีถัดมาเสียงไซเรนเตือนภัยก็ดังขึ้น ทั้งยังสั่นะเืจนทำให้ชวีเสี่ยวปอตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
เป็ไปได้ไหม?
จะมีวันนั้นหรือเปล่า?
บางทีอาจเป็เพราะก่อนหน้านี้เขาสารภาพเื่ความสัมพันธ์ของเขากับเซี่ยเจิงให้ซือจวิ้นรู้ได้อย่างราบรื่นเกินไป ในตอนนี้ชวีเสี่ยวปอจึงได้ตระหนักรู้ถึงความมั่นใจอันจอมปลอมหลอกลวงของตนเองขึ้นมาแล้ว
ในโลกใบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็เหมือนกับซือจวิ้น
.............................
เชิงอรรถ
[1] นกยวนยาง ( 鸳鸯 ) หรือที่เรียนกันว่า “เป็ดแมนดาริน” เป็นกชนิดหนึ่ง สายพันธุ์จำพวกเดียวกับนกเป็ดน้ำ นกชนิดนี้เป็นกที่คนจีนนำมาใช้เปรียบถึงความรักแท้ ความซื่อสัตย์ระหว่างคู่รัก เพราะตลอดทั้งชีวิตของมันจะมีคู่เพียงแค่ตัวเดียว ถ้าคู่ตัวใดตัวหนึ่งตายไปมันก็จะใช้ชีวิตอยู่ตัวเดียวจนมันตายตามไปเช่นกัน