บทที่ 124 ทัศนคติที่เปลี่ยนไป
“คุณหนูเสวี่ย ไม่เป็ไรใช่หรือไม่? เมื่อครู่สุนัขพวกนั้นทำร้ายท่านหรือเปล่า?”
ฉู่อวิ๋นถามด้วยความกังวล เขากลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับลูกสาวของตระกูลเสวี่ย แผนการแฝงตัวของเขาย่อมล่มแน่นอน เขาไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับนาง
แต่ในมุมมองของเสวี่ยหรูเยียน ที่อวิ๋นชูแสดงท่าทางเป็ห่วงเช่นนี้ เขาต้องสนใจนางแน่ๆ!
นางคิดเช่นนั้น และเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของนางแดงก่ำ พูดเบาๆ “คุณชายอวิ๋นมีน้ำใจแล้ว ข้าสบายดี เมื่อพูดถึงเื่นี้ หากไม่ใช่เพราะพลังพิเศษของท่านปรมาจารย์อวิ๋น คาราวานของเราคงโดนปล้นไปแล้ว”
ยามที่พูด เสวี่นหรูเยียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงรูปลักษณ์อันสง่างามของฉู่อวิ๋นเมื่อครู่นี้ ใจเต้นเหมือนกวางะโและเขินอายเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้น
“คุณชายอวิ๋น ในฐานะแม่บ้าน ครั้งนี้ข้าล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่และทำให้คุณหนูเสวี่ยตกอยู่ในอันตราย โชคดีที่ท่านลงมือ ไม่เช่นนั้นข้าคงละอายใจไปชั่วชีวิต”
ใบหน้าของหนิงซิ่วซีดเล็กน้อย โดยมีนักรบหญิงช่วยประคองไว้ นางอยากเดินไปโค้งคำนับเพื่อแสดงความขอบคุณเขา
ฉู่อวิ๋นรู้ว่าหนิงซิ่วได้รับาเ็ เขาจึงหยุดนางอย่างรวดเร็วและพูดว่า “แม่บ้านหนิง ไม่จำเป็ต้องสุภาพหรือตำหนิตัวเอง ใครๆ ก็อยากจะฆ่าหัวขโมยพวกนี้ ข้าก็แค่สับพวกเขาทิ้งเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่านักรบหญิงก็ใอีกครั้ง สับทิ้งหรือ? ชายหนุ่มคนนี้พูดได้สบายปากเสียจริง พวกเขาเป็กลุ่มโจรขโมยม้าจากขั้นมหาสมุทร ส่วนเขาอยู่ในขอบเขตควบแน่นพลังปราณกลับปรามพวกเขาได้เช่นนั้น กลับไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด
ทุกคนรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าหนุ่มชาวป่าคนนี้ไม่ธรรมดา คนธรรมดาที่ไหนจะสังหารข้ามขั้นได้เช่นนั้น?
“ห๊ะ!?” ในเวลานี้ สาวใช้นางหนึ่งอุทานขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคน
“เสี่ยวชุ่ย มีเื่อะไรอีก? คุณชายอวิ๋นกำจัดพวกขโมยม้าไปแล้ว และพวกเราก็ปลอดภัยแล้ว” หนิงซิ่วขมวดคิ้ว ดูไม่พอใจเล็กน้อย และจ้องมองสาวใช้
“พวก... ต้นไม้ปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวสองต้นนั้น…” เสี่ยวชุ่ยชี้ไปข้างหน้าและพูดด้วยความใ “ดูเหมือนว่าพวกมันจะวิ่งหนีไปแล้ว”
หลังจากที่ทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกนางก็หันไปมองและพบว่าเถาวัลย์ใบมีดหายไปแล้ว หนทางข้างหน้าราบเรียบและว่างเปล่า
ฉู่อวิ๋นเลิกคิ้วเบาๆ และมองไปรอบๆ แต่ไม่พบสิ่งใด ต้นไม้ปีศาจทั้งสองใช้โอกาสจากการสนทนาเมื่อครู่วิ่งหนีไป ไม่เห็นใบไม้แม้แต่ใบเดียว
“ต้นไม้น่าตายสองต้นนี้นี่!” ฉู่อวิ๋นสบถในใจ รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
สัตว์ปีศาจระดับกลางสองตัวนี้เพิ่งถูกปราบได้ไม่นาน เดิมคิดว่าพวกมันจะเชื่อฟังและกลายเป็สัตว์เลี้ยงา แต่กลับไม่คิดว่ามันจะหนีไปทันทีที่มีโอกาส มันน่านัก!
ฉู่อวิ๋นถอนหายใจอีกครั้ง เขาไม่ใช่ปรมาจารย์สัตว์ปีศาจที่บริสุทธิ์ที่แท้จริง หากใช้ิญญาไฟหยางศักดิ์สิทธิ์มาปรามก็คงอยู่ได้ไม่นาน
ตอนนี้ต้นไม้ปีศาจหนีไปแล้ว เขาทำได้เพียงควบคุมตัวเองให้สงบสติอารมณ์และแสร้งทำเป็ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะอย่างไรเสีย เขาจะโกรธแล้วลากพวกมันกลับมาตอนนี้ไม่ได้หรอกกระมัง? เขายังต้องรีบเดินทาง ไม่มีเวลามาล่าช้า
นอกจากนี้ เขา้ารักษาความลับเอาไว้ หากะเิอารมณ์ออกมาเพียงเพราะสัตว์เลี้ยงหายไปจะไม่เหมาะสมเอาหรือ?
ดังนั้น ฉู่อวิ๋นจึงแสร้งทำเป็นิ่งและพูดอย่างเมินเฉย “ฮ่าๆ... พวกมันเป็เพียงสัตว์ปีศาจระดับกลางสองตัว ไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง เป็ข้าที่ปล่อยไปเอง อย่าได้แปลกใจ”
“ปล่อย…ปล่อยมันไป?”
“นั่นคือสัตว์ปีศาจระดับกลางเชียวนะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่อวิ๋น สาวๆ ก็ตกตะลึง แววตาของพวกนางมืดมน นี่มันคนประเภทไหนกัน?! ปล่อยมันไปหรือ? เขาไม่รู้หรือว่าสัตว์ปีศาจระดับกลางที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีค่าแค่ไหน?
จากนั้น พวกนางก็แอบคาดเดา และตราหน้าฉู่อวิ๋นอย่างเงียบๆ ว่าเป็ “เศรษฐีคนป่า”
สำหรับเสวี่ยหรูเยียนและหนิงซิ่ว แววตาของพวกนางเป็ประกายและต่างมองหน้ากัน รู้สึกได้ว่าปัญหาบางอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว ตัวตนของฉู่อวิ๋นเองก็ดูเหมือนจะชัดเจนแล้ว!
สามารถควบคุมต้นไม้ปีศาจด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ สามารถเอาชนะนักรบขั้นมหาสมุทรได้ด้วยขอบเขตการควบแน่นพลังปราณ อวิ๋นชูผู้นี้เป็อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลโบราณอย่างแน่นอน และแม้กระทั่งผู้สืบทอด! ไม่พลาดแน่!
ในที่สุด ภายใต้การจ้องมองของสายตาหลายคู่ ฉู่อวิ๋นก็กลับไปที่รถม้าในสภาพที่งุนงงยิ่งนัก เพราะเขารู้สึกว่าทัศนคติของผู้หญิงเหล่านี้ที่มีต่อเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก
หลังจากการจัดระเบียบใหม่ คาราวานตระกูลเสวี่ยก็ออกเดินทางอีกครั้ง ย่ำเหยียบผ่านร่างของโจรม้า เสียงกีบเท้าดังราวกับฟ้าร้อง ทรงพลังอย่างยิ่ง หนึ่งชั่วยามต่อมา พวกนางก็เดินทางออกจากป่าในที่สุด
บริเวณนี้เป็พื้นที่ราบ เฆี่ยนม้าห้อตะบึงได้ ปลายแผ่นดินจรดกับท้องฟ้า สายลมพัดมาปะทะใบหน้า ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามในสารทฤดู ขบวนรถม้าคล้ายัตัวยาว ด้วยความเร็วในการควบม้านี้ หลังจากกลับมาที่ถนนหลวง ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ถึงเมืองชุยเสวี่ย
ท้องนภาสูงลิบหลายพันลี้ บริเวณโดยรอบว่างเปล่า เหล่าหญิงสาวต่างตื่นเต้นกันมาก เพราะประสบกับความเป็ตายมาเมื่อครู่นี้แต่ก็ยังปลอดภัยดี จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทว่าระหว่างทาง คนป่าคนหนึ่งที่ชื่อ “อวิ๋นชู” กลับรู้สึกกระสับกระส่าย เขาเลิกคิ้วขึ้น
เพราะเหตุใดน่ะหรือ?
เพราะเขาพบว่าตนเองได้ตกเป็เป้าหมายเสียแล้ว หน่วยคุ้มกันแ่ากว่าเมื่อครู่มาก ราวกับจำคุกก็มิปาน
“เมื่อไหร่จะถึงกัน?...” ในรถม้า ฉู่อวิ๋นนั่งขัดสมาธิและยกมือขึ้นกอดอก รู้สึกร้อนรนเล็กน้อย
ยามนี้ ม่านรถม้าเปิดออกเผยให้เห็นสาวใช้ชื่อเสี่ยวชุ่ย นับั้แ่เริ่มเดินทางอีกครั้ง นางก็ถูกจัดให้อยู่ด้วยกันกับเสี่ยวหง เพื่อช่วยดูแลรถม้าคันนี้และอวิ๋นชูผู้นี้
“คุณชายอวิ๋น ท่านกระหายน้ำหรือไม่เ้าคะ? ้าดื่มน้ำหรือเปล่า?” เสี่ยวชุ่ยมีใบหน้าที่งดงาม ยามยิ้มจะปรากฏลักยิ้มเล็กๆ ที่ข้างแก้ม แลดูน่ารักมาก นางมองมาที่ฉู่อวิ๋นแล้วถามด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“เสี่ยวชุ่ย…” ฉู่อวิ๋นเหงื่อหยดแล้วพูดว่า “นี่เป็ครั้งที่สามสิบแปดแล้วที่เ้าถามข้า... ยามนี้ข้าก็จะตอบอีกครั้ง ข้าไม่กระหายจริงๆ”
เสี่ยวชุ่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “โอ๊ะ หลายครั้งขนาดนั้นแล้วหรือเ้าคะ? โธ่เอ้ย ข้าน้อยความจำไม่ดีนัก ละเลยคุณชายแล้ว แต่ถ้าคุณชาย้าสิ่งใด เรียกข้าน้อยได้ตลอดเลยนะเ้าคะ ฮิๆ”
พูดจบ เสี่ยวชุ่ยก็เหลือบมองที่ฉู่อวิ๋นอีกครั้ง จากนั้นจึงหันกลับมา ปล่อยให้ฉู่อวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าหญิงสาวพวกนี้กัน? นับั้แ่เขาฆ่าพวกโจรม้า ทุกคนก็จับตามองเขาราวกับว่า้าจะกินเขาอย่างไรอย่างนั้น
กับแค่คนป่าคนเดียว พวกนางมีรสนิยมที่รุนแรงเช่นนั้นเลยหรือ?
ฉู่อวิ๋นเริ่มคิดไร้สาระ ด้วยไม่รู้ว่าในสายตาของแม่นางเหล่านี้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็ทายาทอัจฉริยะของตระกูลโบราณแล้ว
“ผู้าุโ บอกข้าหน่อยสิ เกิดอะไรขึ้นกับพวกนางกัน?” ฉู่อวิ๋นทำอย่างไรก็ขบไม่แตก จึงถามโยวกู่จือเบาๆ
“เ้าถามถูกคนแล้ว!” โยวกู่จือพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ราวกับว่ากำลังจะพูดถึงเื่ที่จริงจังมาก “หลังจากการสังเกตอย่างละเอียดและการอนุมานอย่างรอบคอบแล้ว ข้าก็ได้ข้อสรุปที่แม่นยำออกมา”
“อะไรหรือ?!” ฉู่อวิ๋นเหงื่อตกแล้วถามอย่างเร่งรีบ
“นั่นคือ…”
“พูดมาเร็วเข้า”
“นั่นคือ... ย่อมเป็ท่าทางที่กล้าหาญของเ้าที่ทำให้พวกนางหลงใหล!”
“แค่ก!”
ฉู่อวิ๋นดึงวงแหวนอวกาศออกมา ฟาดมันกับผนังรถม้า แล้วเหวี่ยงไปรอบๆ ทำให้โยวกู่จือรู้สึกเวียนหัวและะโออกมา “ไอ้หยา! เ้าเด็กสารเลว! หยุดเหวี่ยงเสียที ข้าอายุปานนี้แล้ว ข้าเมารถ!”
“ฟึ่บ ฟึ่บ——”
แหวนยังคงถูกแกว่งไปมา ฉู่อวิ๋นมีสีหน้าเรียบนิ่ง คิดอยากดึงิญญาของโยวกู่จือออกมาทุบสักที เขาถามคำถามจริงจัง แต่ตาเฒ่าคนนี้กลับไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด
“กับ-กุบ-กับ-กุบ-”
ทันใดนั้น เสียงกีบม้าก็ดังขึ้น ฉู่อวิ๋นรีบคว้าวงแหวนคืนกลับทันที หยุดส่งเสียงเอะอะ และแสร้งทำเป็สงบ
ผู้มาในครั้งนี้เป็นักรบหญิง นางควบม้าไปที่หน้าต่างรถม้า ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพและยำเกรง จ้องมองที่ฉู่อวิ๋นและพูดด้วยความเคารพ “คุณชายอวิ๋น คุณหนูเสวี่ยบอกให้ข้ามาเชิญท่านไปที่รถม้าเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉู่อวิ๋นก็แทบจะทรุดตัวล้มลงอีกครั้ง นี่เป็ครั้งที่เจ็ดสิบห้าแล้วที่เสวี่ยหรูเยียนเชิญเขา! เยอะกว่าสาวใช้สองนางนั้นเป็เท่า
เกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้กัน? เขาไม่เข้าใจมันเลย
“ไม่ต้องหรอก บอกคุณหนูไปว่าข้าฝึกฝนอยู่ ทุกอย่างรอให้ถึงเมืองชุยเสวี่ยแล้วค่อยคุยกันเถอะ” แม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัยจนใกล้จะบ้า แต่ฉู่อวิ๋นก็ยังคงแสดงท่าทีสงบและปฏิเสธคำเชิญอย่างถ่อมตน
อันที่จริง ไม่ใช่ว่าฉู่อวิ๋นไม่เคยคิดที่จะตอบรับคำเชิญนี้ แต่ตอนนี้ใกล้เมืองชุยเสวี่ยเข้าเรื่อยๆ ทำให้เขาเริ่มกังวลเกี่ยวกับฉู่ซินเหยามากขึ้นๆ เขาย่อมไม่มีความคิดไร้สาระใดๆ อีก
นอกจากนี้ เขารู้สึกอยู่เสมอว่าเขาต้องอยู่ห่างจากเสวี่ยหรูเยียน เพราะเขาพบว่าหญิงสาวนางนั้นมักมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ อยู่เสมอ
ในรถม้าที่วิจิตรงดงาม หญิงสาวหน้าตาแช่มช้อย รูปร่างงดงาม ยากนักที่จะเผยสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา
“ป้าหนิง... ท่านบอกข้ามา ข้าผิดที่ใดกัน? เหตุใดอวิ๋นชูจึงปฏิเสธคำเชิญข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า?” เสวี่ยหรูเยียนเบะปากเล็กน้อย กระทืบเท้าแล้วพูดด้วยความโมโห
ตลอดมานี้ ด้วยภูมิหลังที่สูงส่งและความงามที่โดดเด่นของนาง ไม่มีใครเคยพูดคำว่าไม่กับนาง ล้วนวิ่งเข้ามาเอาอกเอาใจนางกันแทบไม่ทัน
แต่ตอนนี้นางกลับถูกฉู่อวิ๋นปฏิเสธหลายสิบครั้ง น่าหงุดหงิดนัก
หนิงซิ่วถอนหายใจและพูดปลอบใจ “หรูเยียนเอ๋ย ผู้แข็งแกร่งมีความซื่อสัตย์ของตน ในความคิดของข้า อวิ๋นชูผู้นี้ย่อมเป็ผู้สืบทอดอัจฉริยะของตระกูลโบราณแน่นอน บังคับเขามากไปรังแต่จะเป็ผลเสีย”
"แต่... อวิ๋นชูเขาเป็รักแท้ของข้านะ! เขาไม่เพียงแต่เห็นร่างกายของข้าแล้วเท่านั้น แต่ภูมิหลังก็ยังลึกลับ ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนัก และที่สำคัญที่สุด เขาช่วยข้าไว้ในยามอันตราย!”
“ทำไมเขาถึงปฏิเสธข้า? ทำไม?!!!”
เสวี่ยหรูเยียนะโ ท่าทางที่สง่างามของนางหายสิ้น นางดูโกรธจัด กระทืบเท้าจนเกิดเสียงดังก้อง
เมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงซิ่วก็ทำได้เพียงส่ายหัวแล้วถอนหายใจ เสวี่ยหรูเยียนสนใจอวิ๋นชูผู้นั้นมาก ซ้ำยังเชื่อสนิทใจว่านี่คือสามีที่เบื้องบนจัดเตรียมไว้ให้ตน และนางต้องได้มันมา
ในเวลาเดียวกัน หนิงซิ่วก็รู้ดีว่าเสวี่ยหรูเยียนมีความปรารถนาจะอันแรงกล้า หากไม่ได้สิ่งที่ตน้า ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรงไม่น้อย
ทว่าอวิ๋นชูจะนำอะไรมาสู่ตระกูลเสวี่ย จะเป็โชคหรือเป็เคราะห์นั้น? อนาคตไม่อาจคาดเดา
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ดวงอาทิตย์ที่แผดจ้าเริ่มจางหาย ท้องนภาสีฟ้าสดใสค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยชั้นหมึกหนา
เสียงกีบม้าควบดังกึกก้อง ฝุ่นควันตลบไปทั่วท้องฟ้า ขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเริ่มเข้าสู่ถนนหลวงและควบม้าไปตามถนนด้วยความเร็วรี่ ถนนเรียบ ไร้หลุมบ่อ
และหลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วยาม ทุกคนก็มาถึงหน้าเมืองอันงดงามแห่งหนึ่ง
ในที่สุด ก็มาถึงเมืองชุยเสวี่ยแล้ว!