"ชายารัชทายาทได้โปรดเห็นใจพวกเราด้วย ของเหล่านี้หาใช่ว่าพวกเราเป็คน้า แต่เป็ของที่นายน้อยในท้องของแม่นางอยากกิน ยิ่งไปกว่านั้น ฮองเฮายังทรงตรัสว่า นี่เป็โอรสคนแรกของรัชทายาท ดังนั้นจะเลี้ยงแบบตามมีตามเกิดไม่ได้ เด็กคนนี้ต่อไปก็จะเป็โอรสคนแรกของรัชทายาท หลังรัชทายาทครองราชบัลลังก์ เขาก็จะเป็พระโอรสองค์โต เป็รัชทายาทสืบต่อไป ย่อมต้องถวายการเลี้ยงดูอย่างดีเลิศ" หมัวมัวกล่าววาจาอย่างลำพองใจ
อิ้งเยว่ไม่มีท่าทีตอบสนอง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง เพียงแค่กล่าวเรียบๆ "แม่นางของพวกเ้าคงจะกินของมากมายขนาดนี้ไม่หมดหรอกกระมัง?"
"ไม่มีกรอบก็จะสร้างวงกลมไม่ได้ [1] นางกินของพวกนี้หมดก็เท่ากับสิบคนกินแล้ว นางตั้งครรภ์บุตรของรัชทายาท ้าอะไร อยากกินสิ่งใด ข้าไม่เคยขัด แต่หมัวมัวไม่ใช่บุตรที่รัชทายาทกับนางให้กำเนิดกระมัง? ข้าคิดว่าอายุอย่างพวกเขาไม่น่าจะให้กำเนิดคนแก่ถึงเพียงนี้ได้ นางจะกินเท่าไร ข้าล้วนไม่มีข้อแม้ ย่อมสนองให้ตาม้า แต่ถ้าหมัวมัวเกิดอยากกินเสียเอง ก็เข้าวังไปทูลขอกับฮองเฮาเอาเอง อย่ามาเสแสร้งกับข้าที่นี่ มิเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็คนของฮองเฮาหรือไม่ ข้าก็จะไล่เ้าออกไป"
อิ้งเยว่ไม่ใช่คนเกรงใจใคร จึงไม่แยแสอะไรมากมาย นางยิ้มเยาะ "พระราชดำรัสของฝ่าายังวนเวียนอยู่ข้างหู พระองค์ตรัสว่า จะให้เด็กคลอดออกมาก็ย่อมได้ แต่ถ้าใครหน้าไหนคิดจะใช้เื่นี้มาก่อเื่ ข้าไม่จำเป็ต้องไว้หน้าคนผู้นั้น"
ใบหน้าของสวีหมัวมัวประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีด แต่ไม่ช้าก็โต้กลับมา "พระ... พระชายาทรงกล่าวอันใด หญิงชราเยี่ยงข้าไหนเลยจะกล่าวคำเท็จ ฮองเฮาเคยตรัสไว้..."
อิ้งเยว่เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาจริงจัง "เอะอะก็ฮองเฮาตรัส ฮองเฮาตรัส หรือว่าถ้อยคำของฮองเฮาสำคัญกว่าพระราชดำรัสของฮ่องเต้? ไสหัวไปให้พ้น"
สวีหมัวมัวสีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ตวาดออกไปด้วยความโกรธ "เมื่อชายารัชทายาททำตัวไม่รู้ความเช่นนี้ ก็อย่าโทษที่หม่อมฉันไปกราบทูลฮองเฮาตามความจริงก็แล้วกัน ช่างใจแคบเสียจริง"
หลังจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวจากไป แม้แต่ถวายความเคารพก็ไม่ทำแล้ว ท่าทางเหิมเกริมอย่างยิ่ง
หลังจากคนไปแล้ว ชุ่ยเหอสาวใช้ประจำตัวของอิ้งเยว่ก็สบถออกมา "อย่างนางนับเป็ตัวอะไร ถึงกับกล้าชักสีหน้าใส่ท่านเช่นนี้ รอให้รัชทายาทกลับมาก่อนเถอะ..." กล่าวมาถึงตรงนี้ ก็ไม่พูดต่อ เพียงแค่โมโหไปเงียบๆ น้ำตาร่วงเผาะ
เฉียวเยว่มองคนนี้ที มองคนนั้นที แต่ไม่พูดอะไร
สีหน้าของอิ้งเยว่เผยแววกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังคงต้องเอ่ยวาจา "เฉียวเยว่อย่าเก็บสิ่งเหล่านี้มาใส่ใจ"
เฉียวเยว่จับมือของอิ้งเยว่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่สาวของตนเองช่างลำบากยิ่งนัก แม้เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าอิ้งเยว่จะมิได้ตกเป็เบี้ยล่าง แต่หลายเื่ก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง นางรักพี่สาวของตนเอง จึงกล่าวว่า "พี่สาวอย่าเสียใจไปเลย ทุกสิ่งจะต้องดีขึ้น"
ชุ่ยเหอเป็สาวใช้ข้างกายอิ้งเยว่มาั้แ่เด็ก ย่อมคุ้นเคยกับเฉียวเยว่เป็อย่างดี จึงเอ่ยขึ้นทันที "คุณหนูเจ็ด ท่านไม่รู้อะไร คนเหล่านี้รังแกคนเก่งยิ่งนัก"
นางปาดน้ำตา ขณะคิดจะพูดต่อ กลับถูกอิ้งเยว่ขัดเสียก่อน "อยู่ดีๆ เอ่ยถึงเื่เหล่านี้ทำไม เฉียวเยว่เป็แค่แม่นางน้อยคนหนึ่ง เ้าอย่าพูดให้นางรู้สึกแย่ นางอายุยังน้อย ค่อนข้างจะหุนหันพลันแล่น"
ชุ่ยเหอขบริมฝีปาก
ถึงชุ่ยเหอไม่พูด เฉียวเยว่ก็คิดเองได้ สวีหมัวมัวเป็คนของฮองเฮา หลานสาวของนางมีบุตรคนแรกให้รัชทายาท เด็กคนนี้ยังไม่ทันเกิดมาคำก็เรียกพระโอรสองค์โต สองคำก็เรียกพระโอรสองค์โต ไหนเลยจะเป็คนที่รับมือง่าย
แต่การที่นางถึงกับกล้าตำหนิพี่สาวซึ่งเป็ชายารัชทายาทต่อหน้าทุกคนว่าจิตใจคับแคบ แม้แต่ทำความเคารพก็ยังไม่ทำ ชัดเจนว่าไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
"ชุ่ยเหอ เ้าออกไปเถอะ ข้าจะคุยกับพี่สาวสักสองสามประโยค"
ชุ่ยเหอมองชายารัชทายาท อิ้งเยว่ผงกศีรษะ ให้ทุกคนในห้องออกไป จนกระทั่งในห้องเหลือเพียงพวกนางสองพี่น้อง เฉียวเยว่ก็เอ่ยเสียงเบา "พี่สาว ท่านรู้สึกหรือไม่ สวีหมัวมัวผู้นั้นดูเหมือนจะจงใจยั่วยุให้ท่านบันดาลโทสะ"
อิ้งเยว่ขมวดคิ้วก่อนยิ้มหยันออกมา "พวกนาง้าหาเื่อยู่แล้วมิใช่หรือ แค่นี้ไม่เป็ไรหรอก ฮองเฮาไม่ชอบสะใภ้เช่นข้า หาใช่เพราะข้าทำอะไรผิด แต่เพราะพระนางไม่โปรดมาั้แ่แรก ตอนนี้มีเด็กขึ้นมาแล้ว จะไม่ยกขึ้นมาวางอำนาจข่มได้อย่างไร"
บางครั้งการจะเกลียดใครสักคนก็ไม่มีเหตุผล แต่ฮองเฮายังนับว่ามีอยู่บ้าง เพราะอิ้งเยว่คือคนที่ไทเฮาทรงเลือก นางย่อมจะไม่พอใจ ความเกลียดชังส่วนมากอาจมาจากเื่เล็กน้อย แต่นานวันเข้า ความขัดแย้งเล็กๆ เหล่านี้ก็จะสะสมกลายเป็เื่ใหญ่ เหมือนเช่นการกลิ้งก้อนหิมะบนพื้น
เฉียวเยว่มิได้มีเจตนาเช่นนี้ นางเอ่ยเสียงเบา "ข้าคิดว่านางมิได้คิดจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ั้แ่ต้น"
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา อิ้งเยว่ก็มองเฉียวเยว่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
น้ำเสียงของเฉียวเยว่นุ่มนวลอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความเฉียบขาด "ฮองเฮาต้องบอกกับสวีหมัวมัวให้พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะตบหน้าท่านให้ได้ อยากทำอะไรก็ทำได้เต็มที่ ถึงอย่างไรพวกนางก็พำนักอยู่ที่นี่ นับได้ว่าชีวิตอยู่ในกำมือของท่าน เห็นอยู่ว่าการที่นางก่อความวุ่นวาย ดูเหมือน... ดูเหมือนว่า..." เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก กล่าวอย่างจริงจัง "ดูเหมือนว่ากำลังรอให้ท่านลงมือ หลังจากนั้นค่อยใช้เื่นี้มาขยี้ท่านให้ตาย"
อิ้งเยว่มองเฉียวเยว่อย่างรู้สึกทึ่ง แท้จริงแล้วนางคิดถึงจุดนี้ได้มานานแล้ว
ไม่เพียงแต่ฮองเฮา แม้แต่การกระทำของฮ่องเต้กับไทเฮา นางก็เข้าใจ
อย่างฝ่าา แม้ดูเหมือนว่าทรงตักเตือนผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วเป็การบอกโดยนัยว่าเด็กคนนี้ยังไม่คลอดออกมา นางอย่าผลีผลามทำอะไรส่งเดช
"ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร มีเพียงฮองเฮาที่คิดจะใช้เด็กคนนี้มาเหยียบข้าให้ตาย ในขณะที่คนอื่นๆ กลับ้าเด็กคนนี้จริงๆ"
อิ้งเยว่ลุกขึ้นสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่น้ำเสียงกลับอ้างว้าง "บางคราข้าก็คิดว่าหากข้าไม่แต่งงานกับรัชทายาท ชีวิตอาจจะดีกว่านี้หรือไม่"
เฉียวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ นางไม่คาดคิดว่าพี่สาวจะเสียใจภายหลัง เฉียวเยว่กุมมือของนางไว้ แล้วปลอบโยนเสียงเบา "พี่สาวอย่าเสียใจไปเลย ท่านเป็เช่นนี้ ข้าอยากร้องไห้แล้วนะ"
อิ้งเยว่ส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อย "ข้ามิได้เสียใจภายหลัง แต่งกับผู้อื่นก็อาจมีเื่อื่นที่ต่างออกไป ดังนั้นข้าไม่นึกเสียใจ เมื่อเื่เกิดขึ้นแล้ว ข้าก็แค่จัดการปัญหาเท่านั้น"
สายตาของอิ้งเยว่เ็าขึ้นหลายส่วน แต่ไรมานางเป็คนเฉียบขาด ย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไรถึงจะถูกต้องที่สุด แม้การทำให้เด็กคนนั้นตายตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม แต่เมื่อมองในระยะยาว นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนางแล้ว
อิ้งเยว่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เฉียวเยว่กวักมือเรียก
อิ้งเยว่ยังไม่เข้าใจ
"พี่สาวมานี่" เฉียวเยว่เอ่ยปาก หลังจากนั้นก็เข้าไปข้างหูของอิ้งเยว่ แล้วกระซิบเสียงเบาสองสามประโยค
พอพูดจบ ดวงตากลมโตของนางก็ฉายแววคลุมเครือเล็กน้อย แล้วพูดว่า "ข้าคุยกับท่านแม่แล้ว นางให้ข้าบอกทุกอย่างกับท่าน อำนาจตัดสินใจอยู่ในมือท่านแล้ว ไม่ว่าอย่างไร หากท่านตัดสินใจแล้วก็อย่าเสียใจภายหลังเล่า"
แท้จริงแล้วเื่นี้ไท่ไท่สามสามารถจัดการให้อิ้งเยว่ได้ แต่นางกลับมอบหมายให้บุตรสาวจัดการเอง ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถช่วยอิ้งเยว่แก้ปัญหาทั้งหมดได้ตลอดไป ส่วนอิ้งเยว่ก็เป็ชายารัชทายาทแล้ว สิ่งที่เผชิญในภายภาคหน้ายังมีอีกมาก ดังนั้นจึงเลือกที่จะยกอำนาจในการตัดสินใจให้แก่บุตรสาว ให้นางไปคิดเอาเองว่าควรทำเช่นไร
"ข้าเข้าใจแล้ว"
อารมณ์ของอิ้งเยว่ดูเหมือนจะดีขึ้นมาบ้างแล้ว "ขอบใจนะ เฉียวเยว่" นางเอ่ยเสียงเบา
เฉียวเยว่ส่ายหน้า ยิ้มอย่างน่ารัก "ขอแค่พี่สาวมีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว"
แท้จริงแล้วเฉียวเยว่นึกโทษตนเองอยู่ในใจ นางรู้สึกว่าตนเองช่างอำมหิตเหลือเกิน แม้ว่าจะอายุเพียงสองสามเดือน แต่อย่างไรเสียก็เป็เด็กคนหนึ่ง แต่พอคิดอีกทีก็เยือกเย็นขึ้น ถึงอย่างไรคนมีชีวิตอยู่ก็สำคัญกว่า เด็กสองสามเดือนอาจจะยังไม่เป็รูปร่างด้วยซ้ำ พี่สาวร่วมอุทรที่เติบโตมาพร้อมกับนางถึงจะสำคัญที่สุด นางไม่อาจนิ่งดูดายมองพี่สาวไม่มีความสุขไปชั่วชีวิตเพราะเื่นี้
นางเป็คนเห็นความสำคัญของญาติสนิทมิตรสหายเช่นนี้เอง ส่วนผู้อื่น... ต้องขออภัยที่นางมิอาจแยแส
เฉียวเยว่ทอยิ้มอ่อนจาง พลางเอ่ยเสียงเบา "พี่สาวทำใจให้สบาย เื่บางอย่างก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา"
อิ้งเยว่พยักหน้า
"เรียนคุณหนู รัชทายาทกำลังมาที่นี่เ้าค่ะ"
ชุ่ยเหอรายงานที่หน้าประตู
อิ้งเยว่ "เอาล่ะ เ้าเข้ามาเถอะ"
แล้วก็เอ่ยอีกว่า "ดูความจำข้าสิ ข้ามัวแต่อารมณ์ไม่ดี ลืมของอร่อยที่เตรียมไว้ให้เฉียวเยว่ไปเสียสนิท"
นางดูเหมือนว่าจะสดชื่นขึ้น แม้ไม่ชัดเจนมาก แต่เพราะมักเคยชินกับการวางตัวเ็า ตอนนี้จึงพอมองออกถึงความแตกต่าง "ข้าเตรียมไว้ให้เ้าล่วงหน้าแล้ว"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ ขณะคุยกันก็เห็นรัชทายาทเข้ามาในห้อง
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันสาดส่องเข้ามา ใบหน้าขาวซีดของรัชทายาทคล้ายเปล่งรัศมีอ่อนจางออกมาท่ามกลางแสงรำไร แต่เห็นอย่างนี้แล้ว สีหน้าของรัชทายาทไม่สู้จะดีนัก
เฉียวเยว่เงยหน้า แล้วลุกขึ้นยอบกายถวายพระพรอย่างรู้ความ
"ลุกขึ้นเถอะ" รัชทายาทกล่าว
เขายื่นขนมสายไหมในมือของตนให้เฉียวเยว่ "ได้ยินว่าเ้าอยู่ ก็เลยซื้อจากหน้าประตูมาให้"
เฉียวเยว่ยิ้มรับมาด้วยความดีใจ "ขอบคุณพี่เขย"
หลังจากนั้นก็ทำตาปริบๆ ราวกับเด็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า "พี่สาวกับพี่เขยช่างใจตรงกันยิ่ง ล้วนแต่เตรียมของอร่อยไว้ให้ข้า เยี่ยมไปเลย!"
เฉียวเยว่กัดหนึ่งคำ หลังจากนั้นก็ยื่นให้ถึงปากของอิ้งเยว่ "พี่สาวชิมสิเ้าคะ"
แต่อิ้งเยว่กลับส่ายหน้า "เ้ารู้ดี ข้าไม่ค่อยกินขนมพวกนี้ กินเองเถอะ"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น แล้วตอบ "เช่นนั้นก็ได้"
นางเงยหน้าถามด้วยรอยยิ้ม "ไฉนพี่เขยกลับมาเร็วนักเล่า"
สายตาของรัชทายาทอยู่ที่ตัวอิ้งเยว่ หลังจากนั้นก็เบนมาหาเฉียวเยว่ แล้วตอบว่า "สองวันมานี้ข้าไม่ค่อยยุ่งมาก ทุกวันกลับมาไม่เย็นเท่าไร ข้าไม่เหมือนอาจารย์ ที่ทำงานเพื่อลูกศิษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คิดแต่จะมอบวิชาความรู้ทั้งหมดให้กับผู้อื่น ถึงได้งานยุ่งวุ่นวายได้ทุกวัน"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคักออกมา "อากาศเริ่มจะร้อนแล้ว พี่สาว พวกเราไปเดินเล่นในสวนดอกไม้สักรอบดีหรือไม่?"
นางเอียงคอมองรัชทายาท "เสด็จพี่รัชทายาทไปด้วยกันไหมเพคะ?"
รัชทายาทส่ายหน้า "ไม่ล่ะ ข้าต้องไปห้องหนังสือ พวกเ้าพี่น้องไปกันเถอะ"
สองคนพี่น้องจูงมือกันออกไปจากห้อง ค่อยๆ เยื้องกรายไปยังสวนดอกไม้ พวกนางเดินผ่านูเาหินจำลองกับต้นสนสูงชะลูดสองสามต้น แล้วเลี้ยวขวาเดินไปตามทางเล็กๆ ลาดด้วยหินกรวดแม่น้ำ สองด้านซ้ายขวาปลูกต้นไผ่เรียงรายหนาแน่น ยามสายลมโชยมาเบาๆ ต้นไผ่ก็แกว่งไกวไปมา เสียดสีกันส่งเสียงดังหวิวหวิว ให้ความรู้สึกสงบและสดชื่น
ทันใดนั้นเฉียวเยว่ก็เอ่ยปากอย่างฉาดฉาน "เอาไว้ข้าแต่งงานกับพี่จ้านเมื่อไร พี่สาวก็ต้องเรียกข้าว่าสะใภ้ญาติผู้พี่แล้ว เยี่ยมไปเลย! งานนี้ข้าได้เปรียบ!"
อิ้งเยว่เดินอยู่ดีๆ พอได้ยินคำพูดนี้ก็ใ เดินพลาดจนข้อเท้าแพลง
เฉียวเยว่ "พี่สาว พี่สาว..."
...
[1] ไม่มีกรอบก็จะสร้างวงกลมไม่ได้ หมายถึง หากไร้ระเบียบแบบแผนย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้