“ข้ารู้เื่นี้ ข้าคุยกับสตรีของตระกูลหวังจากหมู่บ้านหลี่มาแล้ว นางบอกว่า พรุ่งนี้จะลองขายดูสองชั่ง”
“ฟองเต้าหู้!?” เพียงชายชราไฝดำได้ยินคำว่า บ้านหลี่ ก็มีใบหน้าตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน เขากลัวว่าบ้านหลี่จะไม่ยอมอยู่ขายเต้าหู้ที่บ้าน แต่จะกลับมาขายพวกแป้งย่างและอื่นๆ ในตำบลจินจี เพื่อแย่งลูกค้ากับเขาอีก
ชายหนุ่มคนหนึ่งดื่มน้ำเต้าหู้ไปอึกหนึ่งแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “น้ำเต้าหู้ของเ้าจะเจือจางเกินไปแล้ว ไม่แตกต่างอะไรกับน้ำเปล่า สู้ที่ข้าดื่มในอำเภอฉางผิงไม่ได้”
ชายชราไฝดำสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน และกล่าวว่า “ที่อำเภอฉางผิงก็มีคนขายน้ำเต้าหู้หรือ”
“มีแล้ว ไม่ใช่เพียงคนเดียวด้วย” ชายคนนั้นเป็คนจากอำเภอฉางผิง เขาจะเดินทางจากอำเภอฉางผิงไปที่อำเภอซั่ง จึงต้องผ่านตำบลจินจีก่อน คิดจะดื่มน้ำเต้าหู้เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นสักหน่อย ไม่นึกเลยว่าน้ำเต้าหู้ที่ตำบลจินจีจะเจือจางกว่าที่อำเภอฉางผิงเพียงนี้ แต่กลับมีราคาเท่ากัน ในใจย่อมคิดว่าชายชราไฝดำเป็พวกขี้เหนียว
ลูกค้าหลายคนถามอย่างแปลกใจว่า “น้ำเต้าหู้ที่เ้าดื่มในอำเภอฉางผิง รสชาติเป็อย่างไรหรือ”
“ที่อำเภอฉางผิงก็มีคนขายน้ำเต้าหู้หรือ ราคาถ้วยละเท่าใด”
ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวเสียงดัง “รสชาติเข้มข้นกว่านี้มาก ส่วนราคาน้ำเต้าหู้ก็เท่ากัน”
“ได้ยินว่าข้าวของในอำเภอฉางผิงแพงกว่าข้าวของในตำบลของพวกเรา เหตุใดราคาน้ำเต้าหู้จึงเท่ากันเล่า”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปที่อำเภอฉางผิงพอดี เช่นนั้นจะไปลองชิมน้ำเต้าหู้ของที่นั่นสักหน่อย”
“ตาเฒ่า น้ำเต้าหู้ของเ้าไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวแล้ว เ้าต้องลดราคาลงเสียหน่อย สักสองถ้วยหนึ่งทองแดงเถิด”
“ถั่วเหลืองขึ้นราคาแล้ว นอกจากนี้น้ำเต้าหู้ของข้าก็ไม่ได้เจือจางเช่นนั้น” ชายชราไฝดำขมวดคิ้วแล้วอธิบายไปสองประโยค เขารับเงินหนึ่งทองแดงมาจากชายหนุ่มคนนั้นแล้วมองเขาเดินจากไป เมื่อได้ยินคำบ่นว่าของลูกค้าเก่าหลายคน ในใจของเขาก็พลันรู้สึกเย็นะเืเช่นเดียวกับความหนาวเย็นจากหิมะที่กำลังตกโปรยปราย
ผู้ที่มีความรู้สึกหนาวะเืยังมีเจียงชิงอวิ๋นอีกคนหนึ่ง บ่าวเก่าแก่ที่สมควรมาถึงนานแล้วกลับถูกโจรปล้นระหว่างทางเสียก่อน นอกจากนี้ยังเจอกับหิมะที่ตกหนักซ้ำอีก จนกระทั่งวันนี้ก็ยังมาไม่ถึง ทำให้เขาร้อนใจจนต้องส่งคนอีกสามคนออกไปรับ
เมื่อครู่นี้เพิ่งมีคนกลับมารายงานว่า ในหมู่บ่าวเก่าแก่ของเขามีคนหนึ่งเกิดโรคเก่ากำเริบระหว่างเดินทาง เ็ปจนกลิ้งไปมาอยู่บนรถม้าจนตกไปนอกรถม้า เกือบถูกรถม้าทับตาย
ตอนนี้บ่าวเก่าแก่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้ บ่าวชราคนนั้นได้หมอในจวนเยี่ยนอ๋องช่วยรักษาแล้ว แต่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่ก็ยังไม่อาจทราบได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมาถึงที่จวนเจียงเลย
“เตรียมรถม้า ข้าจะออกจากจวน” เจียงชิงอวิ๋นรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาจะไปดูบ่าวเก่าแก่ของตนด้วยตนเอง ในใจคิดไปว่าบางทีครั้งนี้อาจจะได้พบบ่าวเฒ่าเป็ครั้งสุดท้ายก็เป็ได้
์เ็ายิ่งนัก ตระกูลเจียงพบกับภัยจากธรรมชาติและภัยจากมนุษย์จนเหลือเขาเพียงคนเดียว ตอนนี้บ่าวเฒ่ายังจะต้องมาตายจากอีกหรือ
ตระกูลเจียงสร้างบุญสร้างกุศลไว้มากมายเพียงนั้น ชีวิตก่อนของเขาจะต้องเป็คนเลวร้ายเพียงใดกัน เหตุใดจึงต้องเอาความตายมาทรมานเขาด้วย
ลุงฝูผู้ดูแลได้ยินข่าวนี้ก็รีบมาทันที เขามองไปยังเจียงชิงอวิ๋นที่ซูบผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้หากถูกความหนาวเย็นเข้าจะต้องไม่รอดเป็แน่ หากเขาตายไปตนก็ไม่มีหน้าจะไปพบนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเจียงแล้ว ดังนั้นจึงกล่าวเตือนด้วยใจอันหนักอึ้งว่า “นายท่าน บนถนนมีแต่หิมะทำให้ทางลื่นมาก หากนำรถม้าออกไปย่อมอันตราย นอกจากนี้อากาศก็หนาวเย็นนัก หากไม่ระวังก็จะถูกความหนาวจนจับไข้ ร่างกายของท่านมีค่าดุจทองคำ ท่านไม่ไปได้หรือไม่ ให้บ่าวไปรับเหล่าโจวและภรรยากลับมาแทนท่านดีหรือไม่ขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวด้วยแววตาดื้อรั้น “ลุงฝู ข้ากลัวว่าลุงโจวจะทนไม่ไหว ข้าอยากไปพบเขาเป็ครั้งสุดท้าย”
“เหล่าโจวเป็พวกกระดูกแข็ง ร่างกายแข็งแรงกว่าบ่าวเสียอีก ย่อมไม่จากไปง่ายดายเช่นนั้นแน่ ท่านอย่าได้คิดโศกเศร้าถึงเพียงนั้นเลย” ลุงฝูยังคงดื้อรั้นไม่ยอมลงให้
ในขณะที่สองนายบ่าวไม่ยอมประนีประนอมกันนั้น จู่ๆ ก็มีคนจากนอกจวนเข้ามารายงาน กล่าวว่าโรคเก่าของลุงโจวดีขึ้นแล้ว ลุงโจวและภรรยากำลังเดินทางมาแล้ว อย่างช้าพรุ่งนี้เย็นก็จะมาถึง
ลุงฝูรู้สึกดีใจยิ่งนัก ตื่นเต้นจนกล่าวไปว่า “ิญญาบรรพบุรุษของตระกูลเจียงคุ้มครองแล้ว บรรพบุรุษกลัวว่าท่านจะได้รับความหนาวเย็นระหว่างเดินทาง จึงบันดาลให้โรคเก่าของเหล่าโจวดีขึ้น เช่นนี้ท่านก็ไม่ต้องไปแล้ว”
แม้อารมณ์ของเจียงชิงอวิ๋นจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังกลัวว่าโรคเก่าของลุงโจวจะกำเริบซ้ำ จึงเดินไปที่ห้องหนังสือเพื่อเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้คนนำไปส่งที่จวนเยี่ยนอ๋อง เขาขอให้จวนเยี่ยนอ๋องส่งหมอหลวงมาดูแลลุงโจว
เดิมทีเพียงแค่บ่าวคนหนึ่งย่อมไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจถึงขั้นเชิญหมอหลวงมาเช่นนี้ แต่บ่าวเก่าแก่ของจวนเจียงเหลือเพียงไม่กี่คน อีกทั้งลุงโจวก็ไม่ใช่บ่าวธรรมดา
เพื่อรักษาชีวิตของลุงโจว เจียงชิงอวิ๋นถึงกับยอมออกหน้าเชิญหมอหลวงมารักษาเขา
วันเวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป ในที่สุดลุงโจวและภรรยาก็มาถึงจวนเจียงในตอนเย็น เจียงชิงอวิ๋นออกไปต้อนรับในฐานะที่ตนเป็นายท่าน เมื่อเห็นทั้งสองมีสีหน้าเหนื่อยล้าอ่อนแรงก็แทบจะน้ำตาไหล การเดินทางคราวนี้ต้องเผชิญทั้งอันตรายอีกทั้งยังมาโรคเก่ากำเริบอีก เกือบไม่ได้พบหน้าพวกเขาแล้ว
ผู้ที่คุ้มครองลุงโจวและภรรยามาส่งก็คือทหารของจวนเยี่ยนอ๋อง มีทั้งหมดยี่สิบกว่าคน เติ้งอี้นายทหารที่เป็หัวหน้าดำรงตำแหน่งแม่ทัพนิ่งหย่วนในกองทัพ มีตำแหน่งขุนนางขั้นห้า
ดวงตาทั้งสองของลุงโจวแดงก่ำ เขาและภรรยาคุกเขาให้เจียงชิงอวิ๋น จากนั้นจึงกล่าวว่า “หากไม่ได้แม่ทัพเติ้งช่วยบ่าวได้ทันเวลา บ่าวและภรรยาคงตายไปแล้ว”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพมาก” ตอนที่เจียงชิงอวิ๋นอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋องก็เคยได้ยินชื่อเติ้งอี้มาก่อน คนผู้นี้มาจากครอบครัวยากจนในชนบท ตอนอายุยังน้อยก็ไปเป็ลูกศิษย์วัด เนื่องจากมีพร์สูงส่ง ไต้ซือในวัดจึงรับเขาไว้เป็ศิษย์และถ่ายทอดวรยุทธ์ให้ ต่อมาได้เข้าร่วมกองทัพ สร้างผลงานมากมาย และค่อยๆ ก้าวหน้าไปทีละขั้น สามปีก่อนเยี่ยนอ๋องโจวปิงก็รับเขาเข้ามาเป็หัวหน้ากองย่อยในกองทัพส่วนตัว
“ข้าได้รับคำสั่งมาจากท่านอ๋อง ให้คุ้มครองลุงโจวและภรรยามาส่ง คุณชายเจียงไม่จำเป็ต้องเกรงใจ”
ระหว่างทางเติ้งอี้ได้ยินนางหลิวเล่าเื่ของเจียงชิงอวิ๋นผู้นี้มาไม่น้อย เขาเป็คนในตระกูลใหญ่ ชาวบ้านในพื้นที่จึงเรียกขานว่าเป็เด็กอัจฉริยะ ทั้งการเขียนพู่กันและการวาดภาพล้วนทำได้ดีเป็อย่างยิ่ง สอบได้ตำแหน่งั้แ่ยังอายุน้อย จากนั้นจึงออกเดินทางพเนจรไปทั่วเพื่อศึกษาโลกและเปิดความคิดให้กว้างไกล วันนี้ได้พบแล้วนับว่าเป็ชายหนุ่มที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เพียงแต่มีบุคลิกลักษณะเช่นหนุ่มน้อยเกินไป ทั้งยังดูไร้เดียงสาอยู่มาก เพราะไม่ว่าจะเป็ผู้ใด หากเจอเื่เลวร้ายจนตระกูลล่มสลายเช่นนั้น ก็คงต้องรีบเติบโตให้เป็ผู้ใหญ่อย่างรวดเร็วด้วยกันทั้งสิ้น
เจียงชิงอวิ๋นมองเติ้งอี้นำทหารของจวนอ๋องกลับไป จากนั้นจึงพาลุงโจวและภรรยาเข้าไปที่ห้องโถง
“คุณชาย คราวนี้บ่าวเกือบไม่ได้พบท่านแล้ว” เมื่อครู่ลุงโจวข่มอารมณ์เอาไว้อย่างมาก ตอนนี้จึงปล่อยออกมาทั้งหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
ปีนี้ลุงโจวอายุห้าสิบหกแล้ว เขามีรูปร่างธรรมดา ใบหน้าเหลี่ยมคิ้วหนา ผมขาวไปแล้วครึ่งหัว หน้าผากปูดนูน ไม่ทราบว่าชนสิ่งใดหรือว่าหกล้ม
เขาเป็ลูกบ่าวไพร่ที่เกิดในตระกูลเจียง เคยรับใช้บิดาแท้ๆ ของเจียงชิงอวิ๋นมาั้แ่เล็ก ต่อมาก็ได้เป็ผู้ดูแล เขาเชี่ยวชาญในการจัดการดูแลกิจการร้านค้าและที่นาของตระกูลเจียง
นางหลิวที่มีรูปร่างอ้วนท้วนและค่อนข้างสูงมองไปยังเจียงชิงอวิ๋นที่มีร่างกายซูบผอมราวกับจะปลิวลม นางร้องไห้ออกมาไม่หยุด กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “บ่าวอยากพบคุณชายทั้งวันคืน กระทั่งยามหลับก็ยังฝันถึงคุณชาย”
นางหลิวอายุน้อยกว่าลุงโจวสามปี นางทั้งสูงทั้งอ้วน ใบหน้ากลม คิ้วยาวละเอียด เดิมทีมีดวงตากลมโต แต่โตมานางอ้วนขึ้นทำให้เนื้อบนใบหน้าเบียดจนดวงตาเล็กตี่ ปกตินางดูแลตนเองเป็อย่างดีจึงไม่มีผมขาวและไม่มีริ้วรอย ดูแล้วคล้ายคนอายุสี่สิบกว่า ราวกับเป็ลูกสาวของลุงโจว
นางเป็สาวใช้ที่ถือว่าเป็สินเดิมของฉินซื่อ ผู้เป็มารดาแท้ๆ ของเจียงชิงอวิ๋น นางมีนิสัยใจร้อนแต่ซื่อตรง ตอนยังสาวเป็สาวใช้ขั้นสอง ต่อมาเมื่อแต่งให้ลุงโจวก็เป็ภรรยาของผู้ดูแล ติดตามลุงโจวออกไปทำงานด้านนอก ยามเทศกาลหรือปีใหม่จึงจะได้กลับไปปรนนิบัติฉินซื่อที่ตระกูลเจียง
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้