คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันดูถูกโหยวเสี่ยวโม่
อยากจะเลื่อนขั้นจากนักหลอมโอสถขั้นสองเป็ขั้นสามในเวลาแค่สองเดือนงั้นรึ? ฝันไปเถอะ!
แต่โหยวเสี่ยวโม่ที่กำลังเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อเตรียมบรรลุขั้นพลัง เขาไม่ได้รับรู้เลย ว่าตอนนี้เขาเป็ท็อปเทรนคนดังอันดับหนึ่ง แต่ในแง่ลบ
ท็อปเทรนนี้ที่จริงก็คือข่าวลือของพวกชอบซุบซิบนั่นเอง
ไม่ว่าจะบนโลกปัจจุบัน หรือโลกใหม่นี่ นิสัยปากมากของคนแก้ไม่เคยได้ โดยเฉพาะพวกที่ฝึกฝนอยู่ที่นี่ เพราะหนทางฝึกฝนที่ยากลำบากยาวนานน่าเบื่อ จึงยิ่งทำให้ทุกคนมีเวลาพูดไร้สาระ
ดังนั้น ทุกครั้งที่มีความเคลื่อนไหวอะไร ก็จะแพร่ไปอย่างรวดเร็ว สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เพียงแค่สำนักเทียนซิน สำนักอื่นก็มีเช่นกัน
โหยวเสี่ยวโม่ที่ติดเทรนอันดับหนึ่ง ก็มักมีคนทั้งอิจฉา ชื่นชม ชิงชัง ดังนั้นขอเพียงเป็เื่ราวของเขาก็มักจะสะพัดอย่างรวดเร็วเสมอ แม้บางทีอาจไม่ทั่วสำนักเทียนซิน แต่ทั่วทั้งทัพพิภพนี่เป็เื่แน่นอน
อย่างเช่นเื่นี้ ไม่ว่าข่าวจะแพร่จากใคร แต่ขอเพียงมีชื่อโหยวเสี่ยวโม่ นั่นก็เหมือนกับพายุไต้ฝุ่นระดับแปด จากนั้นโหมกระพือไปทั่วทัพพิภพ
แต่เื่พวกนี้โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้รับรู้เลย ยิ่งกว่านั้นที่เขาไม่รู้คือ คนมากมายที่ไม่พอใจเขาต่างรอดูเขาหน้าแตก ดังนั้นกว่าจะรอถึงโอกาสนี้ ทุกคนแทบจะทนรอซ้ำเติมเขาไม่ไหว
เื่ราวเป็เช่นนั้นจริง แต่ก่อนได้ยินเพียงเขามีอะไรต่อมิอะไรกับหลินเซียว จากนั้นก็มาโดดเด่นในแขนงโอสถ แม้บางคนจะมองเขาท่าทีแปลกไป แต่การอิจฉาใครสักคนนั้นเป็เื่ง่าย อยากจะเปลี่ยนให้มองอีกด้านคงยาก อีกทั้งไม่มีใครใจกว้างถึงขั้นนั้น
ดังนั้น ขณะที่โหยวเสี่ยวโม่เก็บตัวหลอมยาเพื่อบรรลุขั้นพลังนั้น เื่ราวของเขาก็ถูกถกอย่างออกรส คนไม่น้อยที่บอกว่าเขานั้นไม่รู้จักประมาณตน
ทว่าเมื่อโหยวเสี่ยวโม่เก็บตัวออกมา ในทัพพิภพก็มีลมเปลี่ยนทิศแล้ว
ตัวเอกไม่อยู่ ไม่อาจพูดต่อหน้าเขาได้ก็ไม่มีประโยชน์ บวกกับมีข่าวเื่เผ่าปีศาจเกิดขึ้น จึงไม่มีใครพูดถึงเื่เขาอีก
โหยวเสี่ยวโม่ได้รู้เลยว่าเขาเป็ที่พูดถึงอยู่หลายวันทีเดียว
เมื่อออกมาก็ได้ยินข่าวเื่เผ่าปีศาจ หลังจากเกิดเื่ลั่วซูเหอกับหลิงเซียวเมื่อหลายเดือนที่แล้วที่เมืองเหอผิง เดิมทีเผ่าปีศาจที่นิ่งเงียบไปก็ก่อเื่บ้าคลั่งขึ้นมาอีก
ขณะที่เข้าใกล้วันเปิดแดน์วิมานเต็มที ก็มีข่าวเื่เผ่าปีศาจลอบโจมตีเกิดขึ้น เพราะเป็การกระทำอย่างลับๆ บวกกับจุดสนใจของผู้คนไปตกอยู่ที่เื่แดน์วิมาน ดังนั้นการเฝ้าระวังจึงไม่ได้เข้มงวดเท่าแต่ก่อน ปรากฏว่าการลอบโจมตีนั้นสำเร็จ
ฝ่ายที่ถูกโจมตีนั้นมีหลายที่ ทั้งสำนักชิงเฉิง และสำนักเทียนซินเองก็ด้วย กระทั่งสองสำนักใหญ่ยังโดนลอบโจมตี พรรคซิงหลัวนั้นว่ากันกว่าก็โดนเช่นเดียวกัน ลูกศิษย์าเ็ล้มตายไปหลายคน
คนมากมายพูดถึงเื่นี้ เผ่าปีศาจกล้าลงมือครั้งใหญ่เช่นนี้ เห็นทีว่าตั้งใจพุ่งเป้าที่งานเปิดแดน์วิมาน
แดน์วิมานนั้นกว้างใหญ่มาก ม่านป้องกันที่ไม่มั่นคงนั้น เป็ไปได้ว่าอาจเป็หลายที่ เพราะสมบัติล้ำค่าในแดน์วิมานก็เป็ที่หมายตาของเผ่าปีศาจเช่นกัน ดังนั้นหนึ่งเดือนหลังจากนั้น เผ่าปีศาจก็ต้องส่งคนเข้าไปแดน์วิมานแน่นอน ดังนั้นความอันตรายในแดน์วิมานเห็นทีจะไม่ใช่แค่กับดักและสัตว์ปีศาจเสียแล้ว ยังมีเผ่าปีศาจเป็ตัวปัญหาขึ้นมาอีก
แต่ว่า…
ห้าสิบปีก่อน เผ่าปีศาจไม่ได้จู่โจมเผ่ามนุษย์อย่างใหญ่โตเช่นครั้งนี้
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของคนหลักแหลมแล้ว คาดว่าคงมีเื่ใหญ่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้แน่ อีกทั้งเื่ที่จะเกิดขึ้นต้องเกี่ยวกับแดน์วิมานอย่างแน่นอน
แม้ไม่รู้ว่าเผ่าปีศาจกำลังมีแผนอะไร แต่ต้องเกี่ยวข้องกับแดน์วิมานแน่นอน นี่หมายถึงว่า การเดินทางไปยังแดน์วิมานครั้งนี้อันตรายขึ้นหลายเท่านัก
เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้แล้ว ผู้คนต่างฮือฮา
เดิมที่ที่แก่งแย่งกันไป พลันก็เริ่มลังเล
หากว่านับรวมปัจจัยเื่เผ่าปีศาจแล้ว โอกาสที่เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตก็ยิ่งสูงขึ้น แต่ก็มีแค่ส่วนน้อยที่รักตัวกลัวตายเช่นนี้ บางส่วนที่ค่อนข้างหลักแหลมก็มีแผนล้ำลึกซ่อนไว้
โหยวเสี่ยวโม่ไม่สนใจแผนร้ายพวกนี้
อย่างที่หลิงเซียวเคยบอก เขาเป็คนปัญญาทึบคิดเื่แผนชั่วร้ายพวกนี้ไม่ได้
หากจับเขาไปอยู่ท่ามกลางคนฉลาดหลักแหลมล่ะก็ เขาคงเป็ได้แค่ตัวประกอบฉากเท่านั้นแหละ ดังนั้นเขาตั้งใจเพียรพยายามกับการหลอมยาดีกว่า เพื่อเลื่อนขั้น
พูดถึง เขาเองก็ไม่ได้เห็นหลิงเซียวมาเดือนกว่าแล้ว
หลิงเซียวที่ปกติก็ยุ่งอยู่แล้ว เมื่อเกิดเื่การลอบโจมตีของเผ่าปีศาจ เขาก็ถูกทังฝานสั่งให้ไปจัดการเื่นี้ ในเวลาอันสั้นคงไม่ได้เจอเขาเป็แน่
เื่นี้ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด โหยวเสี่ยวโม่ลองสืบดูครู่เดียวก็ได้ความแล้ว จึงได้แต่ปล่อยวางเื่หลิงเซียว แต่ในถุงเก็บของ เขาสะสมยาเซียนตันไว้มากมาย เป็ส่วนที่เขาหลอมได้ในสองเดือนที่ผ่านมา ที่เหลือยังมีส่วนของที่อาจารย์ลุงจ้าวให้เขามาเมื่อสองเดือนก่อนเป็หญ้าเซียนจำนวนหนึ่งพันต้น ล้วนถูกเขาหลอมเป็เม็ดยาหมดแล้ว
ยาเซียนตันจำนวนไม่น้อย ทั้งยังมีหลายชนิด โชคดีที่เขาซื้อขวดหยกสามร้อยใบมาครั้งที่แล้ว ทุกขวดบรรจุยาไว้สิบถึงยี่สิบเม็ด เท่านี้ก็ใช้ไปราวยี่สิบขวดได้ บวกกับที่เขาจะให้หลิงเซียวนั้น ทั้งหมดจึงใช้ไปราวร้อยขวดได้
เมื่อฟังข่าวลือจากศิษย์พี่ห้องข้างๆ แล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็หอบขวดยายี่สิบขวดไปยังเรือนหญ้าเซียน
หลายวันมานี้ มีคนเข้าออกเรือนหญ้าเซียนไม่น้อย โหยวเสี่ยวโม่ต้องเข้าแถวเป็ครั้งแรกเพื่อยื่นยาเซียนตัน
ทว่าเมื่อเขาเดินเข้าไป ศิษย์พี่หลายคนที่นั่งว่างๆ อยู่จู่ๆ ก็ลุกขึ้น ปรี่ไปเข้าแถวด้านหน้าเขา เหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีคนจึงแอบี้เี
โหยวเสี่ยวโม่หาได้ใส่ใจ เดิมทีเขาก็เป็คนมีระเบียบอยู่แล้ว มาช้ากว่าต้องเข้าแถวก็เป็เื่ปกติ
แต่ศิษย์พี่หลายคนนั้นไม่ได้คิดเช่นนี้ แย่งมาเข้าแถวหน้าเขาแล้ว ทั้งหมดก็ทำเป็หันมามองเขา สายตาเหมือนกำลังบอกว่าข้าจะยืนหน้าเ้า เ้าจะทำไม?
โหยวเสี่ยวโม่แอบเขียนกระดาษแปะกลางหน้าผากพวกเขาว่า ‘พวกงี่เง่า’ อยู่ในใจ ท่าทางกร่างท้าทายนี่้าอะไร ท้าทายกันแบบนี้ เห็นเขาเป็พวกโง่ที่จะติดกับงั้นเหรอ?
ทั้งหมดนั้นเห็นท่าทีเมินเฉยการท้าทาย สายตาฉายแววไม่พอใจ
ตอนนี้เอง ตรงประตูจู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินเข้ามา เมื่อเขาคนนั้นเห็นโหยวเสี่ยวโม่ ใบหน้าหล่อเหลาจู่ๆ ก็เผยความดีใจ วิ่งเข้ามาตบบ่าโหยวเสี่ยวโม่แรงๆ ทีหนึ่ง
“ศิษย์น้องเจ็ด ในที่สุดเ้าก็ยอมออกมา”
โหยวเสี่ยวโม่สะดุ้ง เมื่อได้ยินคำว่าศิษย์น้องเจ็ด เขาก็รู้ว่าคนที่ตบบ่าคือใคร นั่นก็คือศิษย์พี่ห้าจ้าวต๋าตันนั่นเอง เพราะมีเพียงจ้าวต๋าตันที่เรียกเขาว่าศิษย์น้องเจ็ด คนอื่นๆ ล้วนเรียกเขาว่าศิษย์น้องเล็ก
พูดถึงจ้าวต๋าตัน ตอนนี้เขาไม่มีท่าทีเก้ๆ กังๆ เมื่อเข้าหาโหยวเสี่ยวโม่เหมือนตอนแรก ความสัมพันธ์นั้นดีกว่าศิษย์พี่ใหญ่เสียอีก มีบางครั้งถึงกับตั้งใจไปหาเขาเองด้วยซ้ำ แล้วขอคำแนะนำเกี่ยวกับการหลอมยา
โหยวเสี่ยวโม่แม้จะระอากับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา แต่ในใจก็ปลื้มปริ่นไม่น้อย มีคนที่สามารถพูดคุยเื่หลอมยาได้ ย่อมดีกว่าพูดคุยกับตัวเอง อีกทั้งทั้งสองคนก็มีส่วนได้กันทั้งนั้น
แต่ไม่รู้เพราะมีประโยชน์มากไปจริงรึเปล่า เพราะจ้าวต๋าตันนั้นพัฒนาขึ้นมากจริงๆ ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นเขา ก็จะลากเขามาถามไถ่พูดคุยเสมอ
โธ่เอ้ย เล่นเอาตอนนี้เห็นเขาทีไร แทบอยากจะหลบหน้าซะงั้น
โหยวเสี่ยวโม่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ผู้ชายก็สามารถพูดคุยเจื้อยแจ้วได้ขนาดนี้ เมื่อเปิดปากพูดก็หยุดน้ำไหลไฟดับ ทั้งยังสามารถพูดเองเออเองได้หนึ่งชั่วยามโดยไม่หายใจ
ดีที่จ้าวต๋าตันหนนี้ไม่ได้มีท่าทีจะคุยกับเขา
เขาเองก็สังเกตเห็นศิษย์พี่หลายคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า แต่ไม่ได้สนใจพวกเขา เมื่อเห็นเขายืนต่อแถว ทั้งยังเป็คนท้ายสุด ก็ดึงเขาแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเจ็ด เ้าต่อแถวเช่นนี้คงต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม เ้ามากับข้า”
พูดจบ เขาก็เดินไปยังหน้าโต๊ะรับรอง
โหยวเสี่ยวโม่ชะงักครู่หนึ่ง คิดๆ แล้วก็เดินตามไป เขาไม่อยากรอตั้งครึ่งชั่วยาม แม้เขามีเวลา แต่ไม่มีใครไม่ชอบลัดคิว นี่มันเื่จริง!
เมื่อเขาเดินออกมา คนอื่นก็สังเกตเห็น โดยเฉพาะพวกศิษย์พี่ที่ท้าทายเขาเมื่อครู่ ต่างพากันหน้ามืดมน แต่หากเปลี่ยนเป็คนอื่นคงรู้สึกอึดอัดเหมือนกัน
ทุกคนต่างไม่พอใจที่โหยวเสี่ยวโม่ลัดคิว แต่จ้าวต๋าตันเป็คนพาเขาไปเอง พวกเขาจะอิจฉาหรือเคืองขนาดไหนก็ทำอะไรไม่ได้
เนื่องจากบันทึกหญ้าเซียนกับยาเซียนตันแยกกันคนละเล่ม จ้าวต๋าตันรอพ่อเขาหยิบบันทึกหญ้าเซียนไป เขาก็หยิบบันทึกยาเซียนตันมา แล้วช่วยเขาบันทึกลงไป
แต่เมื่อเขารับขวดยายี่สิบขวดไป ก็พลันเอะใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ศิษย์น้องเจ็ด ในนี้มียาเซียนตันสามร้อยเม็ด ทำไมถึงยื่นมาหมดล่ะ?”
เขาไม่รู้เื่ที่พ่อเขาให้หญ้าเซียนในส่วนของอีกเดือนหนึ่งเพิ่มมาให้
เมื่อพูดออกไป คนทั้งหลายก็หันมามอง จ้าวเจินถึงพึ่งเื่นี้ขึ้นได้ ว่าเขาไม่ได้บอกเื่นี้กับลูกชาย คิดไม่ถึงว่าจะหลุดปากออกมาแบบนี้
โหยวเสี่ยวโม่ก็คิดเหมือนกัน รับรู้ถึงสายตาคลางแคลงของผู้คนที่มองมา รีบอธิบาย “หญ้าเซียนของเดือนก่อน ข้าใช้ไม่หมด ดังนั้นจึงยื่นของทั้งสองเดือนพร้อมกันน่ะ”
เหตุผลนี้ใช้ได้ทีเดียว เพราะมีบางคนก็ทำเช่นนี้ จึงไม่มีคนสงสัย จ้าวต๋าตันเองก็เชื่อตามที่เขาบอก จัดการเทยาในขวดไปไว้อีกขวดหนึ่ง แล้วคืนขวดหยกให้เขา
โหยวเสี่ยวโม่กังวลว่าจ้าวต๋าตันจะหลุดพูดอะไรออกมาอีก จึงรีบหาข้ออ้างลากเขาออกจากเรือนหญ้าเซียน
แต่ข่าวที่ไม่ควรเผยออกไปก็หลุดออกไปจนได้ นั่นก็คือความเป็ไปได้เต็มร้อยในการหลอมยาของโหยวเสี่ยวโม่ มีบางคนที่พึ่งนึกขึ้นได้หลังออกจากเรือนหญ้าเซียน ในใจนั้นทึ่งไม่น้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้