“ความเกรี้ยวโกรธจนเส้นผมชี้ชัน พิงระเบียงคราใด ฝนหนักจักต้องหยุด”
สิ้นเสียงเพลงท่อนแรกแล้ว หลินเฟิงก้าวออกมาหนึ่งก้าวและปล่อยเจตจำนงดาบที่เยือกเย็นออกมา พร้อมกับเหวี่ยงหมัดออกไปยังกลองาใบที่ 1 ทันใดนั้นกลองาก็กลายเป็ฝุ่นผง ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพียงการโจมตีเดียวก็ทำให้ผู้คนต่างต้องตกตะลึง ช่างเป็เจตจำนงดาบที่ทรงพลังยิ่งนัก
“แหงนหน้าทีไรจักต้องแผดเสียงอย่างบ้าคลั่ง”
น้ำเสียงที่ไพเราะดังกังวานอยู่ในโสตประสาท ทำให้ผู้คนจินตนาการถึงวีรบุรุษถือดาบที่อยู่ท่ามกลางสนามรบ
“ตูม!!!”
กลองาใบที่ 3 ถูกทำลายลงไม่เหลือร่องรอยใดๆ
“ราญศึกสามสิบชัยไร้ค่าเพียงผงธุลี ทางแสนไกลแปดพันลี้ผ่านร้อยเมฆาจันทร์”
“เวลาล่วงเลยจนผมหงอกขาว เวลานั้นจักต้องเสียใจ!”
หลินเฟิงยังคงขับร้องเพลงอยู่อย่างนั้น ขณะโจมตีกลองาอย่างต่อเนื่อง เพียงชั่วพริบตากลองาที่อยู่เบื้องหน้าหลินเฟิงได้ถูกทำลายไปแล้ว 4 ใบ
เขายังไม่ได้ใช้ลมหายใจมากนัก เมื่อเขาขยับตัวไปเรื่อยๆ เสียงของเขายิ่งดังขึ้นและเต็มไปด้วยความรู้สึก
“ความอัปยศของต้วนเริ่น ยังมิได้ชะล้าง”
“ความเคียดแค้น เมื่อใดจะมลายสิ้นไป”
“ควบม้าศึกเหยียบย่ำเขาเฮ่อหลานให้แตกสลาย!”
“ตูม!!!” กลองาใบที่ 5 ถูกทำลายกลายเป็ฝุ่นผงหายไปในอากาศ
ในขณะนั้นเจตจำนงดาบของหลินเฟิงดูเหมือนจะกว้างใหญ่ราวกับท้องฟ้า ผืนปฐีและก้อนเมฆสอดคล้องกับบทเพลงของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่ามันสามารถทำลายได้ทั้งอาณาจักร
ในเวลาเดียวกันอำนาจมหาศาลพลันครอบคลุมไปทั้งชั้นบรรยากาศ ไร้ซึ่งหนทางที่จะหยุดยั้งไม่ให้อำนาจดาบเพิ่มขึ้น มันเพียงวนเวียนอยู่รอบๆ ฝูงชนในบริเวณนั้น
“จิตที่ฮึกเหิม ยามหิวโหยจนต้องกินเนื้อ หากหัวเราะเยาะจนกระหายก็จงดื่มเื”
ฝ่ามือของหลินเฟิงราวกับคมดาบที่ถูกฉาบด้วยพลังอำนาจอันน่าเหลือเชื่อ เขาสามารถทำลายกลองาใบที่ 6 ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทำให้หัวใจของผู้คนต่างหวั่นไหว เขาได้ทำลายกลองาใบที่ 6 ไปแล้ว
“รอวันกอบกู้บูรณะแผ่นดินเก่า คอยเข้าเฝ้าจักรพรรดิ!”
น้ำเสียงภาคภูมิใจดังกังวานไปทั่วบริเวณ รอบตัวชายหนุ่มที่หยิ่งทะนงกำลังลุกไหม้ไปด้วยพลัง หมัดที่เขาเหวี่ยงออกไปอาจกล่าวได้ว่าเฉียบคมราวกับดาบก็ว่าได้ หมัดนี้พุ่งไปยังกลองาใบที่ 7 ซึ่งถูกทำลายลงอีกครั้งอย่างง่ายดายราวกับมันบอบบางเหมือนกระดาษ เป็อีกครั้งที่ฝุ่นผงจากซากกลองถูกลมพัดหายไปในอากาศ
ในที่สุดหลินเฟิงก็หยุดเคลื่อนไหว เสื้อผ้าและผมของเขาพลิ้วไปตามสายลม เขาดูเป็ธรรมชาติและไม่แยแสต่อสิ่งใด บทเพลงอันไพเราะของเขายังดังกังวาน
“ความเกรี้ยวโกรธจนเส้นผมชี้ชัน พิงระเบียงคราใด ฝนหนักจักต้องหยุด”
“แหงนหน้าทีไรจักต้องแผดเสียงอย่างบ้าคลั่ง”
“ราญศึกสามสิบชัยไร้ค่าเพียงผงธุลี ทางแสนไกลแปดพันลี้ผ่านร้อยเมฆาจันทร์”
“เวลาล่วงเลยจนผมหงอกขาว เวลานั้นจักต้องเสียใจ!”
“ความอัปยศของต้วนเริ่น ยังมิได้ชะล้าง”
“ความเคียดแค้น เมื่อใดจะมลายสิ้นไป”
“ควบม้าศึกเหยียบย่ำเขาเฮ่อหลานให้แตกสลาย!”
“จิตที่ฮึกเหิม ยามหิวโหยจนต้องกินเนื้อ หากหัวเราะเยาะจนกระหายก็จงดื่มเื”
“รอวันกอบกู้บูรณะแผ่นดินเก่า คอยเข้าเฝ้าจักรพรรดิ!”
ด้วยเนื้อเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจและน่าตื่นเต้นของหลินเฟิง ทำให้เขาราวกับวีรบุรุษ
เมื่อเทียบกับเพลงที่เยว่เทียนเฉินร้องเมื่อครู่ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก ก็อย่างที่หลินเฟิงได้เอ่ยไว้ว่าฝีมือนั้นต่ำต้อยและยังไม่ได้เื่เหมือนขี้หมูขี้หมา
ทุกคนล้วนเงียบสงบและเคร่งขรึม แต่ในดวงตากลับเปล่งประกายไปด้วยความหลงใหล
“เอาล่ะ เอาล่ะ!”
ต้วนหวู่หยาลุกขึ้นยืน เขามีสายตาที่แหลมคมราวกับว่า ‘เสียงเพลง’ ได้ทำให้หัวใจของผู้คนต่างต้องหวั่นไหว ซึ่งเป็เื่ที่หาได้ยากยิ่งนัก และคาดไม่ถึงว่าเสียงเพลงบทนี้จะออกมาจากปากของรุ่นเยาว์
เมื่อเทียบกับหลินเฟิงแล้ว เยว่เทียนเฉินนั้นไม่มีพร์ทางศิลปะเลยแม้แต่น้อย ในขณะนั้นเขาก็รู้สึกราวกับเป็ตัวตลกที่พยายามทำให้ตัวเองเป็ที่ชื่นชอบของต้วนซินเยี่ย
หลินเฟิงนี่สิ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็บุรุษที่จิตใจองอาจ เป็วีรบุรุษผู้เืร้อน
ดวงตางดงามของต้วนซินเยี่ยกะพริบไม่หยุด ขณะมองหลินเฟิงอย่างแปลกใจ คาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะสามารถขับขานบทเพลงที่ทำให้ผู้คนสั่นคลอนได้เช่นนี้
ผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และผู้คนจากสำนักเทียนอี้ต่างนิ่งเงียบ ขณะมองชายหนุ่มที่กำลังหลงระเริง ภายในหัวยังคงมีภาพที่หลินเฟิงกำลังร้องเพลงขณะโจมตีกลองา
ในขณะนั้นมีเพียงเยว่เทียนเฉินเท่านั้นที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด เขาพ่ายแพ้แล้ว นั่นคือความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
ไม่ว่าจะเป็ความแข็งแกร่งหรือพร์ เขาล้วนแพ้อย่างราบคาบ
ไม่จำเป็ต้องพูดถึงพร์ หากกล่าวถึงเื่ของพละกำลัง ถึงแม้เขาและหลินเฟิงก็ต่างทำให้กลองาส่งเสียงได้ทั้ง 7 ใบ และใช้เพียงลมหายใจเดียวเหมือนกัน อย่างไรก็ตามบทเพลงของหลินเฟิงยาวกว่าและใช้เสียงสูงกว่า บทเพลงของหลินเฟิงโน้มน้าวและตราตรึงใจผู้คนมากกว่าเขา แน่นอนว่าระดับความยากนั้นก็ยากมากด้วย นอกจากนี้หลินเฟิงได้ทำให้กลองาส่งเสียงออกมาโดยไม่มีรอยแตก แต่มันกลายเป็ผุยผงด้วยเจตจำนงดาบที่ดุเดือด แม้กระทั่งกลองาใบที่ 7 ก็สลายหายไปเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าใครคือผู้ชนะและผู้แพ้ เยว่เทียนเฉินอยู่เหนือกว่าทุกคนก็จริง แต่วันนี้กลับต้องพ่ายแพ้หมดรูป
ความจริงที่ว่าเขาจะทำให้หลินเฟิงได้รับความอับอายยังคงอยู่ในใจของทุกคน แต่หลินเฟิงก็ทำให้เขาต้องเสียหน้า
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เยว่เทียนเฉินไม่สามารถทนได้ก็คือ ตอนนี้ดวงตาคู่งามของต้วนซินเยี่ยกำลังมองหลินเฟิง และทุกคนต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เห็นได้ชัดว่าต้วนซินเยี่ยก็ชื่นชมในตัวหลินเฟิง ซึ่งเยว่เทียนเฉินย่อมไม่ยอมให้เื่เช่นนี้เกิดขึ้นได้ ต้วนซินเยี่ยจะต้องเป็ภรรยาของเขาเท่านั้น
หญิงสาวที่งดงามทั้งยังมีจิติญญาทางสายเื เยว่เทียนเฉินตั้งใจเอาชนะใจนาง ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่มีเพียงเขาเท่านั้นถึงจะสามารถชนะใจต้วนซินเยี่ยได้
แม้ครั้งนี้เขาจะพ่ายแพ้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเทียบไม่ได้กับหลินเฟิง ถ้าเขาใช้พละกำลังทั้งหมด เยว่เทียนเฉินเชื่อว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งมากกว่าหลินเฟิงอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น ในที่สุดหลินเฟิงก็เคลื่อนไหว เขาค่อยๆ หันไปมองเยว่เทียนเฉินช้าๆ
“สถานะที่ทรงเกียรติขององค์หญิง ผู้ที่เหมาะสมกับองค์หญิงนั้น ไม่ว่าจะเป็ทักษะยุทธ์ พร์ หรือต้นกำเนิด ทั้งหมดนี้จะต้องไร้ที่ติ ส่วนผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยและยังอ่อนแอ แต่ยังคิดจะเอาชนะใจองค์หญิงเพื่อหวังยศศักดิ์ ช่างน่าขันสิ้นดี”
หลินเฟิงซ้ำคำพูดของเยว่เทียนเฉินที่ได้เอ่ยก่อนหน้านี้ และกล่าวอย่างเ็าว่า “เ้าบอกว่าข้ามีสถานะต่ำต้อย ข้ายอมรับว่าข้าไม่ได้มีสถานะสูงสักดิ์เช่นเ้า แต่เ้าก็ยังกล่าวหาว่าข้าเป็ได้แค่มดปลวกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง งั้นข้าอยากถามเ้าว่า ตัวเ้ามีอะไรดี? เพียงแค่มีตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับโอ้อวดว่าหนอนนั้นช่างหยิ่งผยองไม่รู้เื่ราวอะไร ช่างน่าสังเวชนัก เ้าคงไม่รู้สินะว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่แค่ไหน”
คำพูดของหลินเฟิงนั้นทิ่มแทงจิตใจคนอย่างรุนแรง ใบหน้าของเยว่เทียนเฉินพลันกลายเป็เยือกเย็น
“วงศ์ตระกูลของคนคนหนึ่งนั้นเป็ลิขิต์ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่ทักษะยุทธ์สามารถทำได้ ขอแค่ไม่หยุดพัฒนาความแข็งแกร่งก็ทำให้สถานะเพิ่มขึ้นได้ แม้จะเป็ผู้ที่ต่ำต้อยก็ทำได้ หากจะต่อสู้ก็ขอเพียงมีจิตใจมั่นคง ข้าเชื่อว่าสักวันผู้ที่ต่ำต้อยจะต้องเหนือกว่าผู้แข็งแกร่งที่เคยกลั่นแกล้งพวกเขาไว้ คนประเภทนี้ถึงจะมีคุณสมบัติที่น่าภาคภูมิใจ”
หลินเฟิงกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตามเ้าก็แค่อาศัยบารมีของตระกูลเ้า เพียงแค่เกิดมาในตระกูลที่สูงส่งก็คิดว่าตัวเองเป็คนสมบูรณ์แบบแล้ว? เ้ามันคนขี้ขลาดที่คิดว่าคนอื่นๆ ล้วนอยู่ภายใต้ลมหายใจของเ้า เ้าเหมาะที่จะเป็เพียงปลาใหญ่ในบ่อน้ำเล็กๆ ถ้าเ้าไม่สามารถหลุดพ้นความคิดเช่นนี้ได้ สิ่งที่เ้าสามารถทำได้คือพึ่งพาสถานะทางสังคมที่เ้าได้รับจากตระกูลไปจนวันตาย แน่นอนตระกูลที่มีคนแบบเ้าก็จะหายไปไม่ช้าก็เร็ว”
เมื่อผู้คนได้ยินคำพูดของหลินเฟิง หัวใจของพวกเขาต่างเต้นระรัว แม้จะไม่ใช่คนในตระกูลชั้นสูง หากทะเยอทะยานและมีความกล้าหาญ สักวันพวกเขาจะประสบความสำเร็จ พวกเขาอาจเอาชนะผู้ที่ทุกสิ่งในทวีปได้ ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะลงเอยด้วยการดูิ่คนที่เคยดูถูกพวกเขาในอดีต
ส่วนเหล่าลูกหลานจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ต้องตกละลึงไปเช่นเดียวกัน แม้คำพูดของหลินเฟิงจะฟังไม่รื่นหู แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลินเฟิงนั้นพูดได้สมเหตุสมผล ถ้าพวกเขาไม่ก้าวไปข้างหน้า ต่อให้มีอำนาจของตระกูลหนุนหลัง แต่หากไร้ซึ่งความพยายามแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็จะกลายเป็คนธรรมดา
ฝูงชนประหลาดใจกับคำพูดของหลินเฟิง เขายังเยาว์วัยนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีเช่นนี้
“เ้าหมอนี่ แม้ว่าจะไม่มีสถานะสูงส่ง แต่ก็มีอนาคตที่ไร้ซึ่งขอบเขต”
ดวงตาของต้วนหวู่หยาเป็ประกายขณะจ้องมองหลินเฟิง ทั้งพร์ ความปราดเปรื่อง จิตใจ ไม่ว่าจะเป็ด้านใดหลินเฟิงก็ล้วนยอดเยี่ยม แม้แต่ต้นกำเนิดก็ยอดเยี่ยม สมแล้วที่เป็บุตรชายของหญิงสาวในตำนาน
ต้วนหวู่หยายิ่งค้นพบมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า หลินเฟิงนั้นเหมาะสมกับน้องสาวต้วนซินเยี่ยของเขาจริงๆ
ขณะที่ผู้คนเกิดความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว แต่สีหน้าของเยว่เทียนเฉินกลับดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม แม้ทุกอย่างที่หลินเฟิงกล่าวมาจะมีเหตุผล หลินเฟิงได้สอนบทเรียนด้วยน้ำเสียงที่ภูมิใจต่อหน้าผู้คน รวมไปถึงสอนเขาที่เป็ถึงผู้สืบทอดตระกูลเยว่ในอนาคตอย่างเยว่เทียนเฉิน ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้