ซือซือเห็นว่าเขากำลังครุ่นคิด จึงค่อยๆ ยกนิ้วเรียวบางขึ้นมาวางบนหน้าอกของเขาแล้วปัดไปมาอยู่สองสามครั้ง ยิ้มหวานออกมาอย่างเขินอาย
“หรือว่าคุณชายจะจำบ่าวไม่ได้แล้ว?”
น้ำเสียงที่ค่อนข้างขุ่นเคืองทำให้เกิดเสียงอุทานดังขึ้นรอบตัวเขา บางคนถึงกับตำหนิอิ้งหลีที่ไม่เข้าใจในเื่ของหนุ่มสาว
อิ้งหลีไม่ใส่ใจ เมื่อได้สติกลับมาจึงไอออกมาเบาๆ ก่อนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“คารวะแม่นางซือซือ ข้าคาดไม่ถึงว่าจะได้รับความเมตตาจึงตื่นตะลึงไปหน่อยขอรับ”
ดวงตาคู่สวยของซือซือสั่นไหว ระงับอารมณ์ชำเลืองมองเฟิงจิ้งอี้ที่อยู่ด้านข้างซึ่งถูกรายล้อมด้วยหญิงสาวแล้วขยับเข้าไปใกล้ชิดกับอิ้งหลีมากขึ้นไปอีก จนเกือบจะเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“รบกวนคุณชายแล้ว อย่างไรท่านก็เป็แขกคนแรกของบ่าว บ่าวจะกล้าลืมได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นรูปลักษณ์ของคุณชายยังโดดเด่น จะให้ลืมได้อย่างรวดเร็วได้เช่นไร?”
เดิมนางยังคิดว่าอิ้งหลีเป็คุณชายที่ร่ำรวยมาจากไหน เขาใช้เงินไปจำนวนมากเพื่อที่จะฟังเพลงและดื่มเหล้าที่นางรินให้ แต่หลังจากครั้งนั้นกลับไม่เห็นเขาอีกเลย ตอนนี้รู้แล้วว่าคนผู้นี้แท้จริงแล้วเป็คนตระกูลเหยียน เช่นนั้น สถานการณ์ในตอนนั้นมีจุดประสงค์อื่นใช่หรือไม่?
นางได้รับคำสั่งให้เอาใจใส่คุณชายรองแห่งตระกูลเหยียนมากขึ้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีหรือไม่ดี
เสียงของซือซือเพิ่งเงียบไป รอบข้างก็มีเสียงหยอกล้อขึ้นมาอีก การแสดงออกของอิ้งหลีไม่เพียงแค่จับตาดูเท่านั้น
หญิงสาวผู้นี้จงใจเข้ามาตีสนิทเขา ในเวลานั้น เขาใช้เงินเอาใจหญิงสาวไปจำนวนมากเพื่อที่เขาจะสร้างความประทับใจให้กับคุณชาย แต่คงไม่ใช่แขกคนแรกอย่างที่นางพูดถึงเป็แน่ แขกคนแรกของนางเป็คนขี้เหล้าที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็วซึ่งกำลังเมาปลิ้น... หญิงสาวผู้นี้รู้ตัวตนของเขาแล้วหรือ เหตุใด้าหลอกลวงผู้อื่น? หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นอยู่?
ครุ่นคิดเป็ร้อยรอบ ใบหน้าของอิ้งหลียังคงแสร้งทำเป็ยิ้มอย่างเขินอาย
“เป็เกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจากแม่นางซือซือ...”
“แค่ก!”
เฟิงจิ้งอี้ที่อยู่ข้างๆ ไอออกมาเบาๆ เพื่อปัดเป่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ซือซือเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วหันไปหาอิ้งหลีอีกครั้งพร้อมกล่าวอย่างลังเล
“เพื่อนท่านนี้ของคุณชายไม่ธรรมดาจริงๆ”
มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่กลิ่นอายที่ยอดเยี่ยมมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา สวมชุดเช่นนี้มาเที่ยวหอนางโลมในยามค่ำคืน อาจเป็บุตรชายของขุนนางผู้นั้นก็ได้?
แม้ว่าเฟิงจิ้งอี้เพียงแค่แสดงกิริยาท่าทางอ่อนโยน แต่อิ้งหลีรู้ว่าเขาหมดความอดทนแล้ว การถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมันไม่สนุกเลย จึงเดินทิ้งระยะห่างออกจากซือซือเงียบๆ แล้วยกมือขึ้นวางลงบนไหล่ของเขาหันไปยิ้มให้กับหญิงงามพร้อมกล่าวว่า
“เพื่อนของข้ามาเมืองหลวงเป็ครั้งแรกจึงยังไม่เคยชิน ทำให้แม่นางขบขันแล้ว ได้พบกันหลังจากที่ไม่พบกันมานาน ข้ายังคิดถึงเสียงฉินของแม่นาง ไม่ทราบว่าคืนนี้แม่นางยินดีแสดงหรือไม่?”
“คุณชายขึ้นไปรอ้าก่อนสักครู่ บ่าวไปเตรียมตัวเสร็จจะกลับมา”
ซือซือยิ้มอย่างรู้ทัน ให้สาวใช้นำทางทั้งสองขึ้นไปยังห้องชั้นบน
“คุณชายทั้งสองโปรดรอสักครู่ คุณหนูจะมาที่นี่ในอีกไม่ช้าเ้าค่ะ”
สาวใช้พาพวกเขามายังห้องส่วนตัวที่หรูหราสง่างามแล้วถอยออกไป อิ้งหลีและเฟิงจิ้งอี้เดินไปนั่งลงด้านข้างโต๊ะที่อยู่หลังม่าน ไม่นานก็มีคนนำเหล้า ชา และอาหารรสเลิศเข้ามา รวมทั้งมีเตาและธูปที่หอมตลบอบอวลช่วยให้จิตใจและร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย เป็สถานที่ที่ดีเหมาะการเพลิดเพลินใจอย่างแท้จริง
ทุกอย่างพร้อมแล้ว อิ้งหลีหายใจเข้าลึก ๆ
“ฮู้…”
เฟิงจิ้งอี้ถอดหมวกไม้ไผ่แล้ววางลงข้างๆ กวาดตามองหน้าของผู้ร่วมโต๊ะมองดูใบหน้าของคนเหนื่อยล้าด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“เ้ามาที่นี่กี่ครั้งแล้ว? ทำให้หญิงคณิกาลืมเ้าไม่ลงความสามารถของเ้าช่างดีจริงๆ”
‘ความสามารถ’ สองคำนี้กัดเขาเข้าอย่างแรง คำที่มีความหมายสองนัยของเฟิงจิ้งอี้ ทำให้อิ้งหลีเขินอายจนหูร้อน จนต้องรีบเบี่ยงตัวหนีปกปิดศีรษะเอาไว้
“ตี้... พี่หวางเข้าใจผิดแล้ว ข้าเคยมาที่นี่แค่สองครั้ง และแค่มาดื่มเหล้าเพียงแค่นั้น”
เมื่อหญิงสาวจากสถานที่เช่นนี้เข้ามาใกล้ชิดเขาก็จะแยกตัวออกมาเงียบๆ สาบานต่อ์เมื่อครู่ เป็ครั้งแรกที่เขาได้ใกล้ชิดกับซือซือมากที่สุด หญิงผู้นั้นจะต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่
เฟิงจิ้งอี้เลิกคิ้วขึ้น รินเหล้าสองจอก
“แม้ว่าจะอยู่ในหอนางโลม แต่กลับงดงามเพียบพร้อมเป็อย่างยิ่ง สามารถทำให้เ้าคุณชายอิ้งหลีใช้จ่ายเงินเป็จำนวนมากได้ คงจะเป็คนที่ยอดเยี่ยมมาก”
“เ้าก็เห็นเช่นกัน แม่นางซือซือไม่เพียงแต่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นแต่ยังงดงามยิ่ง ฉิน หมากรุก พู่กัน ภาพเขียน[1] ล้วนเชี่ยวชาญทุกอย่าง ย่อมเป็ผู้ที่มีความสามารถ”
แต่เขาใช้จ่ายเงินเป็จำนวนมากไม่ใช่เพียงเพื่อให้คนที่ชอบมีความสุข ครั้งสุดท้ายที่เขามาที่นี่ จากเสียงฉินของซือซือเพียงอย่างเดียวเขารู้สึกได้ว่านางคือผู้ฝึกวิทยายุทธ์ และมีความแข็งแกร่งไม่น้อย เพียงแค่ไม่มีโอกาสตรวจสอบให้แน่ชัดและก็ไม่เคยกล่าวถึงเหยียนชิงเลย ตอนนี้ซือซือมีพฤติกรรมผิดปกติ หลังจากที่เขาหาโอกาสตรวจสอบได้แล้วจะต้องพูดคุยกับเหยียนชิงสักเล็กน้อย
“บุรุษไม่อาจหลุดพ้นจากเงื้อมมือสาวงาม” เฟิงจิ้งอี้ถอนหายใจอย่างแ่เบา “และไม่รู้ว่ามีขุนนางระดับสูงมากน้อยเพียงใดที่จมอยู่ในโลกโลกีย์ที่เต็มด้วยความมึนเมานี้”
อิ้งหลีไม่มีคำตอบ ในใจกลับคิดกระแนะกระแหนว่า หากไม่มีขุนนางระดับสูงสถานที่เช่นนี้ไหนเลยจะอยู่รอดมาได้?
เฟิงจิ้งอี้เห็นว่าเขานิ่งเงียบไปราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ จึงถามว่า “เห็นเ้าประเมินนางไว้สูงมากขนาดนี้ เ้าชอบนางหรือ?”
“แค่กๆๆ...”
อิ้งหลีที่เพิ่งจิบเหล้าเข้าไปถูกจับได้โดยไม่ทันตั้งตัวจึงสำลัก เขาปิดปากแล้วไอออกมา
เมื่อเห็นสิ่งนี้เฟิงจิ้งอี้กลับพูดติดตลกต่อไป
“ตอบสนองยิ่งใหญ่เช่นนี้ดูเหมือนว่าจะเป็เื่จริง อายุยี่สิบปีหายากมากที่จะยังไร้เดียงสา อย่างไรก็ตาม เื่รักๆ ใคร่ๆ ที่แสนเศร้าระหว่างบัณฑิตกับหญิงนางโลมที่มีชื่อเสียง เป็เื่ราวที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด”
“ไม่... แค่ก...” อิ้งหลีโบกมือปฏิเสธ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงชื่นชมนางก็แค่นั้น ไม่อาจพูดว่าชอบได้”
ตี้จวินเมื่อหลุดออกมาจากวังหลวงแล้วก็เป็จริงอย่างที่คาดไว้ อะไรที่ทำให้วุ่นวายได้ล้วนยกออกมาทั้งหมด
เฟิงจิ้งอี้โบกมือ
“ชอบก็ไม่เห็นจะเป็อะไร แม้ว่าค่าตัวของหญิงคณิกาจะมีราคาไม่น้อย และภูมิหลังของหอเยียนจือแข็งแกร่ง แต่ถ้าเ้าชอบ ข้าก็จะให้เซียวอวิ๋นมู่จัดการไถ่ถอนนางออกมาให้เ้าได้รักกัน”
อิ้งหลี “ไม่จำเป็ ข้าขอบคุณพี่หวางสำหรับความปรารถนาดี...”
เฟิงจิ้งอี้ “ไม่ต้องเกรงใจ หลังจากนี้อีกไม่นานเ้าก็ต้องเป็ราชครูขององค์ชายแล้ว หลังจากนี้เกรงว่าจะไม่ค่อยมีเวลามาฟังฉินที่นี่ ไถ่ถอนออกมาให้เป็อนุภรรยาก็เป็เื่ดี”
อิ้งหลี “ไม่จำเป็จริงๆ นางไม่ใช่... ข้าไม่ชอบผู้หญิง”
“หืม?” เฟิงจิ้งอี้ตกตะลึง มองมาด้วยสายตาซับซ้อนในทันที “ไม่ชอบผู้หญิงหรือ?”
อิ้งหลียกมือขึ้นกุมหน้าผาก “แค่ก พูดผิดๆ... ข้าหมายความว่านางไม่ใช่แบบที่ข้าชอบ...”
เฟิงจิ้งอี้ไม่สนใจความเขินอายของเขา หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดด้วยสีหน้าใสซื่อว่า “อย่างนี้นี่เอง”
“ไม่ใช่...”
“ก๊อกๆๆ”
ขณะที่อิ้งหลีกำลังจะอธิบาย มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็จังหวะมาจากด้านนอก จากนั้นเสียงของซือซือก็ดังเข้ามา
“คุณชาย บ่าวมาแล้วเ้าค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงประตูก็ถูกเปิดออก ซือซือเดินเข้ามาพร้อมกับกู่ฉินอันงดงาม ยืนอยู่นอกม่านแล้วก้มลงคำนับพวกเขา
“คุณชายทั้งสอง บ่าวขอคารวะ”
“เชิญแม่นาง”
คนที่ตอบคือเฟิงจิ้งอี้ เขาเหลือบมองคนด้านข้างที่ยังไม่หายจากความเขินอายมุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย อิ้งหลีกลั้นลมหายใจ จะไปต่อก็ไม่ได้หยุดไว้ก็ไม่ดี มันไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายในตอนนี้
แต่ตี้จวินเป็คนฉลาดมากจะต้องรู้แน่ว่าเขาพูดผิดไป คิดไปคิดมาแล้วก็ช่างมันเถอะ เก็บอารมณ์แล้วเริ่มดื่มเหล้าฟังฉิน
เสียงฉินเบาสบาย กับสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเหมือนฝันที่ทำให้มึนเมา อารมณ์กระสับกระส่ายของอิ้งหลีสงบลงอย่างรวดเร็วและกลับมาเป็ปกติอย่างสงบเสงี่ยม เฟิงจิ้งอี้ฟังด้วยความตั้งใจ ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจมากนักเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทั้งสองดื่มเหล้าอย่างมีความสุข พูดคุยเื่ทำนองเพลงและยกย่องความสามารถทางด้านฉินของซือซือ
ตอนจบของเพลง อิ้งหลีเริ่มที่จะออกไปดื่มเหล้าและพูดคุยกับซือซือ ั้แ่ต้นจนจบเฟิงจิ้งอี้ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาจากหลังม่าน จนกระทั่งหลังจากผ่านไปสองสามเพลงซือซือจึงจากไป อิ้งหลีมึนเมาเล็กน้อยจากความผิดพลาดที่เขาไม่ได้ตั้งใจ
“ผลงานค่อนข้างดี”
หลังจากที่ซือซือออกไปเฟิงจิ้งอี้แสดงความคิดเห็นด้วยน้ำเสียงแ่เบา ทันทีที่เสียงเงียบลงเซียวอวิ๋นมู่ก็ะโเข้ามาทางหน้าต่าง เขาเดินไปรอบ ๆ ห้องหลังจากแน่ใจว่าในผนังกั้นไม่มีการสอดแนมจึงกลับไปหาอิ้งหลี แล้วกระซิบที่ข้างหูเฟิงจิ้งอี้
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดาเลยขอรับ”
มือที่ถือแก้วเหล้าของอิ้งหลีหยุดชะงัก สิ่งที่เซียวอวิ๋นมู่พูดใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาคิด มองไปที่เฟิงจิ้งอี้โดยไม่รู้ตัว เขาเคยได้ยินเหยียนชิงบอกว่าเฟิงจิ้งอี้เป็ผู้เชี่ยวชาญในจังหวะดนตรี และวิทยายุทธ์ก็ไม่แย่ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างในเสียงฉินของซือซือหรือไม่
เฟิงจิ้งอี้เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นมา ถามออกมาอย่างสงบ “ตรวจพบแล้วหรือ?”
เซียวอวิ๋นมู่ส่ายหัว
“ไม่ได้ตรวจพบขอรับ เพียงสังเกตเห็น หาได้ยากนักที่หญิงนางโลมผู้หนึ่งจะแข็งแกร่งได้เช่นนี้ คุณชายก็น่าจะฟังออกว่าเสียงฉินของนางนั้นมีกลิ่นอายของความโหดร้ายแฝงเอาไว้ในบทเพลง”
อิ้งหลีไม่ได้พูดอะไร อย่างไรก็ตามเขาค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของเซียวอวิ๋นมู่ ดูเหมือนว่าไม่จำเป็ต้องตรวจสอบแล้ว ซือซือไม่ใช่คนธรรมดา เหยียนชิงเคยบอกว่าเหตุการณ์ของเยว่ฉานอาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับนาง อาจจะจริงก็ได้
เฟิงจิ้งอี้จิบเหล้าเล็กน้อย มองไปที่อิ้งหลีที่กำลังขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ไม่มีปัญหา ตามที่อิ้งหลีได้กล่าวไว้ว่า หอนางโลมเป็ดินแดนแห่งพยัคฆ์หมอบ ัซ่อนเร้น จอมยุทธ์ไม่ถามต้นกำเนิด ปรมาจารย์ไม่แบ่งสำนัก พวกเราไม่สร้างกิ่งก้านสาขาที่ไม่ควรมี [2] เพียงแค่ดื่มเหล้า ไร้ซึ่งปัญหา เ้าคิดเห็นเช่นไร อิ้งหลี?”
อิ้งหลีพยักหน้า
“มีชาวบ้านที่เป็ปรมาจารย์มากมาย แต่ทุกที่ย่อมมีกฎ พวกเรามาที่นี่เพื่อความสนุกเป็การดีที่จะไม่สร้างกิ่งก้านสาขาที่ไม่ควรมี หากคุณชายหวางมีข้อสงสัยสามารถแอบส่งคนไปตรวจสอบได้ วันนี้ก็ดึกมากแล้ว พอแค่นี้ก่อนดีหรือไม่ พวกเราไปกันเถอะ”
เซียวอวิ๋นมู่ตอบมาจากด้านข้าง
“คุณชายอิ้งหลีพูดถูก วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ สถานที่เช่นนี้ หลังจากนี้ตี้... คุณชายคงไม่ต้องมาอีกแล้ว”
เ้าแห่งแผ่นดิน และขุนนางคนสำคัญของแผ่นดินในอนาคต แอบมาสถานที่เช่นนี้บ่อยครั้งจะทำให้ถูกผู้ที่รู้เื่นี้วิพากษ์วิจารณ์เอาได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสถานที่นี้ไม่ปลอดภัย
เฟิงจิ้งอี้มองไปที่อิ้งหลีด้วยท่าทางสบายๆ อิ้งหลีก้มศีรษะลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะดื่มเหล้าหรือเขินอายมากเกินไป แก้มของเขาแดงเล็กน้อยกับคำพูดของเซียวอวิ๋นมู่
“หัวหน้าองครักษ์เซียวพูดมีเหตุผล”
รู้สึกว่าตี้จวินก็เหมือนกับเด็กที่ถูกตนเองชักนำให้ทำสิ่งที่ไม่ดี ครั้งหน้าตีให้ตายก็จะไม่ทำตามเื่ไร้สาระเช่นนี้อีกแล้ว มีสิ่งใดผิดพลาดก็คือศีรษะของตนที่ต้องหลุดไป
เฟิงจิ้งอี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ค่อยใส่ใจเหวี่ยงแขนเสื้อ พร้อมตอบออกไปอย่างเ็าว่า “ไว้คุยกันทีหลัง ไป”
ออกจากหอเยียนจือแล้วขี่ม้ากลับไป เฟิงจิ้งอี้ถามความคิดเห็นของอิ้งหลีเกี่ยวกับซือซืออีกครั้ง แม้ว่าอิ้งหลีจะเมาเล็กน้อยแต่ไม่ได้สับสน จิตใจก็แจ่มใส หลังจากพิจารณาข้อสงสัยของตนเองและความคิดแล้วก็พูดออกมา
ยังกล่าวอย่างจริงจังเกี่ยวกับการที่ซือซือเข้ามาเป็ตัวแทนของหญิงคณิกาเยว่ฉานผู้นั้น ตามอุปนิสัยของตี้จวินเมื่อเขาสงสัยก็สามารถให้คนตรวจสอบได้ ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้บอกว่าอีกไม่นานตี้จวินจะได้รับรู้ว่าเยว่ฉานถูกซือซือลอบสังหารเพื่อเข้ามาแทนที่นาง การพูดถึงเื่นี้อย่างจริงจังก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็เท่านั้น
และจากการที่หญิงผู้นั้นมีท่าทางสนใจเขาจึงเป็ไปไม่ได้เลยที่ตี้จวินจะไม่มีความคิดอื่น การเว้นระยะห่างจึงเป็สิ่งที่จำเป็
หลังจากเฟิงจิ้งอี้ได้ฟังทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่นางประทับใจเ้าเป็อย่างมาก แท้จริงแล้วนางคือผู้ลงทุนรายใหม่นี่เอง”
“...ตอนนั้นกระหม่อมรู้สึกประทับใจในความสามารถของนางมากพ่ะย่ะค่ะ ทำให้ตี้จวินขบขันแล้ว”
อิ้งหลียอมรับ แต่กลับรู้อยู่ในใจว่าซือซือจำเขาได้และการเข้าหาอย่างกระตือรือร้นจะต้องมีความลับอื่นซ่อนอยู่แน่ เื่นี้ต้องบอกเหยียนชิงโดยเร็วที่สุด
“จึ๊จึ๊...” องค์ฮ่องเต้ผู้โหดร้ายส่งเสียงออกมาอย่างรับไม่ได้ เขาเหลือบมองคนหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุราด้วยท่าทางสบายๆ จ้องมองสักพักก็พูดแซวว่า
“น่าเสียดาย สาวงามสนใจเ้าแต่กลับไร้ซึ่งอำนาจวาสนา สุภาพบุรุษอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกไม้ไม่ใกล้ชิดสตรี มันก็ยังเป็เื่แปลก”
“ตี้จวิน...”
อิ้งหลีเืเก่ายังเต็มปากจุกอยู่ในอกของเขา อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายคือองค์ฮ่องเต้เขาจึงไม่สามารถพ่นมันออกมาได้โดยตรง หากเป็คนอื่นเกรงว่าคงโดนเตะออกจากรถม้าไปแล้ว อดทนต่อความรู้สึกจุกแน่นในอกต่อไปพร้อมอธิบายอย่างขมขื่น
“ที่กระหม่อมไม่ใกล้ชิดกับหญิงใด เพียงแค่ยังไม่พบคนที่ถูกใจพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ” เฟิงจิ้งอี้หัวเราะออกมา “อย่าคิดมาก เจิ้นแค่ล้อเ้าเล่น แม้จะชอบผู้ชายก็ไม่ใช่เื่น่ารังเกียจอะไร กังวลสิ่งใดกัน เจิ้นจะไม่หัวเราะเ้า”
“…”
อิ้งหลีรู้สึกเหนื่อยมาก เป็เื่ดีจริงหรือที่เ้าแผ่นดินจะเล่นตลกกับข้ารับใช้เช่นนี้? คืนนี้เขานั้นลืมตัวเสียกิริยาไปมากแล้ว
ใกล้ถึงกลางเดือนสามแล้ว เมื่อการสอบขุนนางประกาศผล อิ้งหลีไม่ได้ใจจดจ่ออยู่กับเ้าแผ่นดินผู้มีร่างสูงใหญ่เลยแม้แต่น้อย วันรุ่งขึ้น ตี้จวินเรียกจิ้นซื่อคนใหม่มาที่ตำหนักกิเลน หลังจากการแต่งตั้งอย่างเป็ทางการแล้วก็ได้จัดงานเลี้ยงสุดตระการตาขึ้นที่ตำหนักฉวินอิ๋ง
สำหรับอิ้งหลีในตำแหน่งราชครูขององค์ชายที่ตี้จวินแต่งตั้งเป็การส่วนตัวนั้น ไม่เพียงแต่จิ้นซื่อจะชื่นชมและอิจฉา ใน่เวลาเดียวกันนั้นบรรดาขุนนางระดับสูงต่างก็เร่งสร้างความสัมพันธ์กับเขา ความกระตือรือร้นอย่างล้นหลามทำให้อิ้งหลีไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ และเกือบทำให้เขาสะดุดล้มลงอยู่กับที่ ยังดีที่ทุกคนล้วนยังมีความสุภาพ ในการทำความเคารพและไว้หน้าต่อปรมาจารย์ในอนาคต
หลังจากดื่มไปสองสามรอบ อิ้งหลีก็ขอตัวออกไปสูดอากาศ เดินออกมาจากตำหนักฉวินอิ๋งไปยังสวนฝั่งตรงข้ามสุขกายสบายใจอยู่ข้างบ่อปลาจินหลี่[3] ท้องฟ้าเริ่มมืดลง เหมือนกับสิบปีแห่งการทำงานหนักและเื่ต่างๆ ค่อยๆ สิ้นสุดลงแล้ว คิดไม่ถึงว่าชีวิตของเขาจะได้เข้าสู่อาชีพนี้ ในอีกสองวันจะออกเดินทางกลับสู่เมืองฝูซัง ก่อนกลับมาอาศัยที่แคว้นเทียนซูเป็เวลานานอีกครั้ง
มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากข้างหลัง ขณะที่อิ้งหลีกำลังจะหันหลังกลับไปก็รู้สึกว่ามีแรงผลักดันมาจากด้านหลัง
ไม่ทันตั้งตัวจุดศูนย์ถ่วงที่ไม่มั่นคงทำให้ตัวโน้มไปข้างหน้า ใอยู่แวบหนึ่ง ในขณะที่ล้มก็ใช้วิชาตัวเบาพลิกร่างกายให้มั่นคง ใช้เท้าแตะน้ำแล้วเหยียบหินในบ่อ ะโพลิกกลับลงพื้นได้อย่างสง่างาม
เหลือบมองเสื้อผ้าที่เปียกโชกดวงตาของเขากวาดไปอย่างรวดเร็ว กลับพบว่าเป็เด็กชายอายุประมาณเจ็ดถึงแปดปีผู้หนึ่ง กำลังมองดูเขาอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตกลงไปในบ่อ ยังเบิกตากว้างและปรบมือพร้อมกับอุทานออกมา
“ว้าว เป็ผู้มีวิทยายุทธ์จริงๆ ด้วย...”
เขาได้ยินราชครูเฒ่าบอกว่าเสด็จพ่อหาราชครูหนุ่มหล่อและสง่างามให้พวกเขาแล้ว เมื่อครู่หลังจากพี่ใหญ่สอบถามแล้วได้รู้ว่าคือบัณฑิตผู้อ่อนแอที่อยู่ตรงหน้าของเขาผู้นี้ จึง้าเข้ามากลั่นแกล้งตบหน้าเขาเล่นเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าจะเป็ผู้มีวิทยายุทธ์จริงๆ ต่างจากคนที่โดนแกล้งแล้วเอาแต่ะโฟ้องท่านพ่ออย่างสิ้นเชิง
“…”
อิ้งหลีหรี่ตาเริ่มมองมาที่เขา คำว่า ‘เ้าลูกหมี[3]’ สามคำนี้ปรากฏออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ลูกหมีที่สามารถปรากฏตัวในวังได้นั้นต้องไม่ใช่ลูกหมีข้างจวนธรรมดาอย่างแน่นอน
เสื้อคลุมลายัเมฆสีทองอ่อน รองเท้าหุ้มข้อสีดำเลื่อมทอง สายรัดเอวและที่คาดผมสีทอง แม้ว่าจะหยาบคาย แต่ก็มีความสง่างามโดยกำเนิดในร่างกาย เป็ไปได้มากว่าจะเป็หนึ่งในเหล่าองค์ชาย ลูกศิษย์ในอนาคตของเขา
เชิงอรรถ
[1] ฉิน หมากรุก พู่กัน ภาพเขียน คือศิลปะ 4 แขนงที่เหล่าปัญญาชนต้องเรียนรู้และชำนาญ
[2] กิ่งก้านสาขาที่ไม่ควรมี เป็การอุปมาถึงการสร้างปัญหาใหม่นอกเหนือจากปัญหาเดิม
[3] ปลาจินหลี่ 锦鲤 jǐnlǐ หมายถึงปลาคาร์ป
[4] เ้าลูกหมี เป็คำที่ใช้เรียก เด็กน่ารำคาญ ไม่มีการศึกษา ซุกซน มีพลัง และทำลายข้าวของ รวมถึงเด็กที่ไม่เชื่อฟัง หรือดื้อรั้น
