โดยทั่วไปในสำนักเฉิงซวี่ นักเรียนชายและหญิงไม่สามารถพบกันได้ จึงทำได้เพียงฟังเสียงหัวเราะผ่านกำแพงกั้นสีแดงสูงในยามว่าง พวกเขาสามารถจินตนาการถึงการปรากฏตัวของเ้าของเสียงหัวเราะนั้นได้
การกั้นกำแพงเท่ากับปิดกั้นกำแพงหัวใจอันลุกโชนของหนุ่มสาวที่ปรารถนาในบทกวีและบทเพลง สิ่งที่โหดร้ายที่สุดคือไม่รู้ว่าผู้ใดกำหนดให้ตารางเวลาของชายหญิงต่างกัน โดยให้นักเรียนหญิงออกจากโรงเรียนเร็วกว่านักเรียนชายครึ่งชั่วยาม อีกทั้งเกี้ยวของพวกนางก็จอดรอด้านนอกตั้งนานแล้ว ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูป คุณหนูทุกคนที่เปรียบเสมือนนกน้อยมีชีวิตชีวาก็ถูกพากลับเรือน
เมื่อถึงเวลานักเรียนชายเลิกเรียน อากาศนอกสำนักศึกษาก็ไม่เหลือกลิ่นประทินผิวสตรีให้สูดดมแล้ว มีเพียงรถม้าและสารถีที่มีใบหน้าดำมืดดุจหินยืนตรงรอรับคุณชายตระกูลตนกลับจวน
ในสำนักศึกษา ทุกครั้งที่มีนักเรียนในชั้นเรียนแต่งบทกวีที่ยอดเยี่ยมก็มักจะมีการพูดคุยระหว่างนักเรียนชายและหญิง พวกเขาจึงคุ้นเคยชื่อของนักเรียนเพศตรงข้ามที่มีความสามารถ นักเรียนชายและหญิงสามารถได้ยินเสียงของกันและกัน รู้จักและไปมาหาสู่กัน แต่ไม่สามารถพบกันตามลำพังได้ พวกเขาจะจำชื่อหนึ่งหรือสองคนไว้ในใจ หวังว่าจะได้รู้ชื่อและเสียงของคนนั้นว่าเป็คนคนเดียวกันหรือไม่ผ่าน “งานเลี้ยงซวีสุ่ยหลิวซาง” ทั้งยัง้าเห็นว่าบุคคลนั้นมีหน้าตาเช่นไร
เหตุผลที่ “งานเลี้ยงซวีสุ่ยหลิวซาง” ดึงดูดสตรีได้มากกว่าบุรุษนั้น เป็เพราะบุรุษมีโอกาสออกไปข้างนอกแล้วพบสตรีงดงามมากมาย แม้ภรรยาที่พ่อแม่เลือกให้จะไม่งดงาม แต่พวกเขาก็สามารถแต่งงานกับสตรีงดงามอื่นได้ในฐานะอนุภรรยา ในขณะที่สตรีนั้น โดยทั่วไปหากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย พวกนางก็จะซื่อสัตย์ต่อสามีจนวันตาย แม้สตรีจะไม่เอ่ยถึงการแต่งงานแต่พวกนางกลับคำนึงถึงเื่นี้เป็หลัก เพื่อปกป้องชื่อเสียงจึงไม่สามารถออกไปทำความรู้จักเหล่าคุณชายและเด็กภายนอกได้ บุรุษรุ่นราวคราวเดียวในเครือญาติก็มีจำกัด การแต่งงานกับบุรุษที่คุ้นเคยไม่ใช่เื่แย่ แต่ในขณะเดียวกันกลับทำให้ชีวิตการแต่งงานขาดความรักซึ่งกันและกัน
ด้วยเหตุนี้ “งานเลี้ยงซวีสุ่ยหลิวซาง” จึงตระหนักถึงความฝันของเด็กสาวหลายคนภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้พ่อแม่ของพวกนางจะอนุญาตให้เลือกสามีด้วยตัวเองได้ แต่ก็ไม่สามารถพบหน้าพวกเขาได้ ทำได้เพียงเลือกจากภาพเหมือนบุรุษที่มีแววตาและการแสดงสีหน้าเท่านั้น แต่ “การนัดดูตัวในงานเลี้ยงซวีสุ่ยหลิวซาง” พวกนางจะได้พบคุณชายรุ่นเดียวกันที่มีภูมิหลังครอบครัวคล้ายกับพวกนางมากกว่าร้อยคน ทั้งยังสามารถตรวจสอบความรู้ทางวรรณกรรมและทักษะวรยุทธ์ของคุณชายเ่าั้ได้ด้วยตัวเอง ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายสนใจกันและกันก็สามารถเขียนจดหมายเพื่อทำความรู้จักได้ เมื่อคุ้นเคยก็สามารถขอให้พ่อแม่ไปเจรจาสู่ขอหรือตกลงการแต่งงานได้
นอกจากนี้ “งานเลี้ยงซวีสุ่ยหลิวซาง” ยังถูกจัดขึ้นในนามการเรียนรู้ เด็กสาวที่เข้าร่วมไม่เพียงไม่ทำลายชื่อเสียงของตนเท่านั้น ซ้ำยังได้เข้าศึกษาในสำนักเฉิงซวี่ที่เป็หนึ่งในสำนักศึกษาชั้นนำในบรรดาสำนักศึกษาหลายสิบแห่งของราชวงศ์ิ เป็หนึ่งในสองสำนักศึกษาที่เปิดกว้างให้สตรีเข้าศึกษา ดังนั้นชื่อเสียงและอิทธิพลของสำนักศึกษาแห่งนี้จึงแพร่ขยายในวงกว้าง หากผู้ใดเรียนที่สำนักเฉิงซวี่หนึ่งหรือสองปี หมายความว่าผู้นั้นเก่งไม่น้อย อีกทั้งยังเป็ผลดีต่อการเจรจาแต่งงานในอนาคตอีกด้วย
ครอบครัวร่ำรวยและมีอิทธิพลจำนวนมากไม่้าลูกสะใภ้ที่ทำได้เพียงแต่งกลอน วาดภาพและร้องเพลงเท่านั้น พวกเขาชอบคนทำบัญชีเก่งและสามารถดูแลปัญหาภายในจวนได้ เนื่องจากสตรีเช่นนี้จะสามารถจัดการงานบ้านได้ดีมีประสิทธิภาพ บุตรชายจึงไม่จำเป็ต้องกังวลเื่เ่าั้ เขาสามารถมุ่งเน้นที่การพัฒนาการค้าของตนเพื่อสร้างรายได้มหาศาลในอนาคตได้
สำนักเฉิงซวี่มีชื่อเสียงและประโยชน์มากมาย ไม่เพียงคุณหนูตระกูลร่ำรวยในเมืองหยางโจวที่้าเรียนที่นี่ แม้แต่ชาวเมืองไหวฮัน ซูโจว ซ่งเจียง ฉางโจวและเจิ้งเจียงที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงเมืองอิ้งเทียนทางตอนใต้ของเมืองหลวงก็ยัง้าส่งบุตรสาวไปเรียนสักสองสามปี เพื่อที่จะได้พบสามีระหว่างศึกษาเล่าเรียน
กว่าสิบปีที่ผ่านมา หลัวชวนสยงแม่ของเหอตังกุยและซุนเหม่ยเหนียงหรือเอ้อร์ไท่ไท่แห่งตระกูลหลัว ทั้งคู่เป็เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่สำนักเฉิงซวี่เป็เวลาสองปี ซุนเหม่ยเหนียงได้พบหลัวชวนกู่ผู้เป็บุตรคนโตของเหล่าไท่ไท่หรือคุณชายรองแห่งจวนตระกูลหลัวใน “งานเลี้ยงดูตัวซวีสุ่ยหลิวซาง” ขณะนั้นเขาอายุมากกว่านางหนึ่งปี
ตระกูลหลัวและตระกูลซุนเป็ตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหยางโจว เรียกได้ว่าเป็คู่ที่เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก แม้ซุนเหม่ยเหนียงจะเป็ลูกสาวของอนุภรรยาแต่ก็เก่งกาจ มีความสามารถและมีชื่อเสียงในสำนักเฉิงซวี่ นางเปรียบเสมือนลูกคิดที่รวดเร็ว เป็มือหนึ่งในการตรวจจัดการบัญชี แม้แต่บุรุษยังต้องถอนหายใจที่ไม่สามารถสู้นางได้
เมื่อเหล่าไท่ไท่ได้ยินเื่นี้จากหลัวชวนสยงก็รู้สึกว่าซุนเหม่ยเหนียงเป็เสมือนนางครั้งยังเยาว์วัยจึงดีใจไม่น้อย ต่อมาก็พบว่าหลัวชวนกู่บุตรชายแลกเปลี่ยนจดหมายกับซุนเหม่ยเหนียง หลังสอบถามจึงรู้ว่าพวกเขาเขียนจดหมายรักให้กันนานกว่าครึ่งปีแล้ว นางจึงส่งแม่สื่อไปเจรจาสู่ขอกับตระกูลซุน ตอนแรกตระกูลซุนไม่เห็นด้วย แม่สื่อบอกว่าคุณหนูซุนไม่เห็นด้วย เหล่าไท่ไท่จึงคิดว่าอาจเป็เพราะแม่นางซุนขี้อาย นางจึงคิดหาแม่สื่อที่ดีกว่าเพื่อเจรจาสู่ขอ
ตระกูลหลัว้าลูกสะใภ้อายุน้อยและมีความสามารถมาดูแลเื่ในจวน นอกจากนี้ จ้าวฉีภรรยาของหลัวชวนไป๋ครอบครัวสาขาแรกยังเป็กุลสตรีที่สง่างาม ได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูลจ้าวซึ่งเป็ตระกูลมีชื่อเสียงในเมืองเจิ้นเจียง สิ่งที่ตระกูลจ้าวให้ความสำคัญกับบุตรสาวไม่ใช่ความสามารถแต่เป็คุณธรรม จ้าวฉีไม่ได้เรียนหนังสือ แม้แต่ลูกคิดดีดคำนวณก็ยังทำไม่เป็ เื่การอ่านบัญชียิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แม้้าให้นางเรียนรู้และลงมือทำทันที แต่ก็ต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการคำนวณ เหล่าไท่ไท่จึง้าให้คุณหนูซุนผู้มีความสามารถมาเป็ภรรยาลูกชายนาง แม้อนาคตนางจะไม่ได้อยู่ดูแลครอบครัวแล้ว แต่ครอบครัวสาขาที่สองก็ยังมีอำนาจได้ ทั้งยังเป็เื่ง่ายสำหรับนางเมื่อ้าสั่งการในยามจำเป็
หนึ่งเดือนต่อมา ตระกูลเหอมาเจรจาสู่ขอคุณหนูสี่หลัวชวนสยงแห่งตระกูลหลัวให้แก่เหอจิ้งเซียนลูกชายเพียงคนเดียว เื่นี้มีการตกลงก่อนหน้าระหว่างประมุขแห่งตระกูลหลัวและประมุขแห่งตระกูลเหอ เด็กทั้งสองพบหน้าเป็การส่วนตัวอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองก็ไม่ได้คัดค้านการแต่งงานแต่อย่างใด เหล่าไท่ไท่และต้าเหล่าไท่ไท่มารดาของหลัวชวนสยงจึงตกลงเื่แต่งงานในครั้งนี้ หนึ่งเดือนต่อมาเหล่าไท่ไท่จ้างก่วงเซี่ยจือซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็ “แม่สื่ออันดับหนึ่งในหยางโจว” ไปที่จวนตระกูลซุนเพื่อเจรจาสู่ขอคุณหนูซุนให้หลัวชวนกู่บุตรชายของนางอีกครั้ง โดยครั้งนี้พวกเขากลับตอบตกลงแต่งงานอย่างรวดเร็ว
ทำให้การแต่งงานทั้งสองครั้งของตระกูลหลัวประสบความสำเร็จในคราวเดียว ฤกษ์แต่งงานก็ใกล้จะตกลงเสร็จสรรพ มีงานแต่งจัดขึ้นพร้อมกันจึงทำให้บรรยากาศคึกคักไม่น้อย
สี่ปีผ่านไป หลัวไป๋เฉียนคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหลัวก็ถูกส่งไปเรียนที่สำนักเฉิงซวี่สามปี ก่อนถูกส่งไปเรียนวรยุทธ์ที่สำนักจื่อฉีอีกสองปี
หลังหลัวไป๋เฉียนจบการศึกษาด้านวรยุทธ์ก็กลับมา เขาเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางและการทหารแต่สอบไม่ผ่าน เหล่าไท่ไท่จึงปลอบใจว่าเขาเพิ่งอายุเพียงสิบแปดปี ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น ความล้มเหลวถือเป็เื่ปกติ เขาสามารถนำความล้มเหลวไปเป็ประสบการณ์ให้ตนได้เรียนรู้ พ่อของเขาอายุสี่สิบปีก็ยังสอบไม่ผ่านเช่นกันไม่ใช่หรือ?
หลัวไป๋เฉียนถูกส่งกลับสำนักเฉิงซวี่เพื่อศึกษาต่อ ถึงตอนนี้ก็เรียนได้สี่ปีแล้วทว่ายังไม่รีบร้อนที่จะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางอีกครั้ง ยามว่างเขามักจะช่วยต้าเหล่าเหยียดูแลการค้าของร้านขายยาซานชิงถัง
ปีที่เก้าของรัชสมัยหงอู่ ร้านขายยาซานชิงถังได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็ร้านขายยาแห่งแรกที่จัดหายาส่งให้พระราชวัง แม้ร้านเหรินซู่ถังของตระกูลกวนและเย่าซือถังของตระกูลเหอจะได้รับการแต่งตั้งภายหลัง แต่ก็ยังไม่ดีเท่า “ร้านซานชิงถัง” ซึ่งมีประวัติยาวนานถึงแปดสิบปี ร้านขายยาทั้งสองจึงจัดยาสามัญธรรมดาให้ราชสำนักเท่านั้น ในขณะที่ร้านซานชิงถังที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้กลับได้จัดหายาที่จำเป็แก่สำนักหมอหลวงของพระราชวัง แม้หลัวไป๋เฉียนจะสอบตกในการสอบคัดเลือกขุนนางและไม่สามารถเป็ขุนนางใหญ่ได้ แต่ลูกหลานตระกูลหลัวที่ดูแลร้านขายยาซานชิงถังซึ่งเป็การค้าของราชสำนักก็มีตำแหน่งและชื่อเสียงเช่นกัน
ทว่าเหล่าไท่ไท่ยังคง้าให้หลัวไป๋เฉียนพยายามเต็มที่เพื่อสอบให้ผ่านการคัดเลือกขุนนางเพื่อจะกลายเป็บัณฑิต ขณะเดียวกันก็ให้กำเนิดลูกหลานตระกูลหลัวตง อย่าให้มีคนครหาว่าไม่สามารถเทียบจวนหลัวซีและจวนหลัวในเมืองหลวงได้ ดังนั้นหลัวไป๋เฉียนจึงต้องศึกษาที่สำนักเฉิงซวี่ต่อ เขาร่วมงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นสามครั้งต่อปีเช่น “งานเลี้ยงซวีสุ่ยหลิวซาง” ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงความสามารถก็จะมีคุณหนูไม่น้อยที่หน้าแดงและโห่ร้องให้กำลังใจ
สองปีที่ผ่านมา คุณหนูสองหลัวไป๋ฉยงและคุณหนูสี่หลัวไป๋เส่าก็โตแล้ว เหล่าไท่ไท่จึง้าส่งพวกนางไปเรียนที่สำนักเฉิงซวี่ ทว่าเมื่อส่งคนไปสอบถามจึงรู้ว่าการส่งสตรีเข้าเรียนในสำนักศึกษามีการกำหนดเงื่อนไขรับสมัครให้สูงขึ้น จำเป็ต้องสมัครทดสอบก่อน จะได้เข้าศึกษาในสถานศึกษาก็ต่อเมื่อได้คะแนนดีในทุกการสอบ
สำนักเฉิงซวี่สร้างกฎเกณฑ์การรับเข้าเรียนดังกล่าวเพราะคุณหนูจำนวนมากไม่สามารถจำตัวอักษรหลักได้ พวกนางถูกส่งเข้ามาเรียนในสถานศึกษาเพื่อเฟ้นหาสามีที่ดีเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อศึกษาเล่าเรียน
ขณะเรียนก็ไม่ตั้งใจฟังคำอาจารย์สอนแม้แต่น้อย กลับหมกมุ่นอยู่กับการปักผ้าหรือทาเล็บ เมื่อเลิกเรียนก็จะวิ่งไปที่กำแพงสีแดงที่กั้นระหว่างนักเรียนชายหญิงเพื่อขับบทกวี นักเรียนชายหลายคนก็หัวเราะเฮฮาและผิวปาก ส่งผลให้สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในสำนักศึกษายุ่งเหยิงไร้ระเบียบ นอกจากความยุ่งเหยิงแล้ว เหล่านักเรียนชายก็มักจะไม่สามารถละความสนใจจากสตรีได้ พวกเขาหลายคนกระซิบกระซาบในชั้นเรียนซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของอาจารย์ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอนในสำนักศึกษาและจำนวนนักเรียนที่ผ่านการสอบราชสำนัก ถือเป็ปัญหาร้ายแรงมากต่อสำนักศึกษา ท้ายที่สุดแล้วการเรียนของสตรีก็เพื่อความสนุกสนาน แต่การเรียนของบุรุษมักเชื่อมโยงกับวงศ์ตระกูลหรือความคาดหวังของครอบครัว
เหล่าไท่ไท่จึงนำข้อสอบการสอบเข้าสำหรับสตรีของสำนักศึกษาหลายชุดมาให้หลัวไป๋ฉยงและหลัวไป๋เส่าทำ ทั้งยังเชิญอาจารย์สตรีมาตรวจข้อสอบ แต่ผลปรากฏว่าทั้งคู่สอบตกเกือบทุกวิชา เื่ได้คะแนนดียิ่งไม่ต้องพูดถึง เหล่าไท่ไท่จึงจ้างอาจารย์สตรีที่เข้มงวดมากขึ้นมาสอนโดยผลัดกันสอนวิชาต่าง ๆ ที่มีการทดสอบเพื่อเข้าเรียน นางหวังว่าหลานของนางจะผ่านเกณฑ์มาตรฐานการรับเข้าเรียนโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม คุณหนูทั้งสองต่างี้เีจนเคยชิน ทุกเช้าพวกนางใช้เวลาไม่น้อยในการทำผม ใส่เครื่องประดับและเลือกชุดสวมใส่ ่บ่ายก็จะไปที่เวทีการแสดง ใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วยามเพื่อดูการแสดง “ละครเหลียนซวี่” ที่ขยายอิทธิพลมาจากเมืองอิ้งเทียน ตกกลางคืนมักจะมีญาติจากตระกูลซุนหรือจวนหลัวซีมาเยี่ยมเหล่าไท่ไท่ที่เรือน พวกนางจึงยุ่งกับการถามพี่น้องว่าเครื่องประดับผมและเสื้อผ้าของตนเหมาะสมหรือไม่...นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดพวกนางเรียนถึงหนึ่งปีแต่ยังอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดเช่นเดิม
หลัวไป๋ฉยงไม่สามารถท่องสูตรคำนวณได้ บางครั้งมักผสมตัวเลขหนึ่งหรือสองตัว ทว่าหลัวไป๋เส่าคิดเลขได้ดีกว่าพี่สาว แต่เพราะนางยังเด็กเกินกว่าจะควบคุมตัวเองให้ใจเย็น การเขียนตัวอักษรจึงยังอยู่ในขั้นพื้นฐาน หลัวไป๋ฉยงเคยหัวเราะเยาะนางว่าคำที่นางเขียนเหมือนยันต์กันผีที่วาดได้เสมือนจริงยิ่งกว่านักบวชทั่วไปวาดเสียอีก
ข้อสอบส่วนใหญ่เป็ข้อเขียน แต่ด้วยลายมือที่อ่านยากของหลัวไป๋เส่า แม้นางจะเขียนบทกวีและบทความได้ก็ไม่มีประโยชน์ อาจารย์สตรีผู้มีอำนาจที่สุดบอกเหล่าไท่ไท่ว่าคุณหนูสองสามารถสอบเข้าสำนักศึกษาได้ แต่คุณหนูสี่ยังไม่ควรส่งนางไปเข้าร่วมการสอบ ถึงอย่างไรการมีญาติมิตรไปด้วยก็เป็เื่ดี ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ทำมาอาจไร้ประโยชน์
แม้เหล่าไท่ไท่จะผิดหวังแต่ก็ไม่สามารถโทษหลานสาวทั้งสองได้ หากพวกนางไม่ชอบเรียนหนังสือ พวกนางก็สามารถอยู่บ้านเรียนรู้จากอาจารย์หญิงเกี่ยวกับวิธีดูแลงานในบ้าน วิธีเย็บปักถักร้อย วิธีเล่นพิณ หมากรุก การเขียนตัวอักษรและการวาดภาพ เมื่อพิจารณาถึงรูปลักษณ์ที่สวยงามและภูมิหลังทางครอบครัวที่มีอำนาจแล้ว พวกนางก็ยังสามารถกุมหัวใจสามีได้ เป็ไปตามความตั้งใจของพ่อแม่สามีและสามารถตำหนิอนุภรรยา รวมถึงสาวใช้ได้ในยามที่ทำผิด
เหล่าไท่ไท่ถอนหายใจ หลานสาวตัวน้อยบอบบางทั้งสองต่างอายุมากกว่าสิบขวบแล้ว พวกนางจะเติบโตอย่างรวดเร็วและแต่งงานเป็ภรรยาของใครสักคน ตอนนี้สามารถมองพวกนางเล่นซน กอดพวกนางด้วยความทะนุถนอมได้ แต่จะรักและเอ็นดูพวกนางได้อีกสักกี่ปี? เมื่อแต่งงานเข้าครอบครัวอื่น พวกนางก็จะไม่มี่เวลาแห่งความสุขและสนุกสนานเสมือนยามเป็สาวน้อยวัยแรกแย้มดั่งตอนนี้แล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้