“ไม่จริงกระมังเ้าฟื้นแล้วแต่กลับไม่สั่งคนไปแจ้งข้า ทำให้ข้าต้องกังวลใจโดยใช่เหตุ” เมื่อเข้าห้องมา เหลยอวี๊เฟิงก็เริ่มบ่นอย่างไม่พอใจ
ม่อเวิ่นเฉินกลอกตาบนมองเขา “เ้าก็มีตา มองเองไม่เป็หรืออย่างไร”
เหลยอวี๊เฟิงนั่งลงอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะส่ายหน้า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพระชายาของเ้านั้นไม่ธรรมดาโดยแท้หมอเทวดาที่มีชื่อเสียงมากมายทั่วแผ่นดินล้วนพากันส่ายหน้าเตรียมจัดการเื่งานศพของเ้ากันหมด แต่แค่นางฝังเข็มทองชุดนั้นบนตัวเ้าก็เก็บเอาชีวิตของเ้ากลับคืนมาได้แล้ว”
เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
เมื่อฟังถึงตรงนี้คิ้วของม่อเวิ่นเฉินก็ขมวดเข้าหากันก่อนจะมองไปที่เหลิ่งเหยียน “เ้าไปสืบมาได้ความอย่างไรบ้าง?”
เหลิ่งเหยียนสะดุ้งเล็กน้อย “ั้แ่เล็กจนโตพระชายาก็ไม่มีอะไรโดดเด่น อยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดีก็ไม่ได้เป็ที่โปรดปรานมารดาของนางก็เป็เพียงสตรีที่ขี้กลัวคนหนึ่งเท่านั้น”
พยักหน้ารับอย่างเข้าใจม่อเวิ่นเฉินก็คิดใคร่ครวญต่อ “เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับนาง?วันนี้ตอนฝังเข็มเรี่ยวแรงของนางไม่เพียงพอ”
เหลยอวี๊เฟิงหัวเราะ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ
ในใจเขาอยากจะพูดเหลือเกินว่านางต้องมีเรี่ยวแรงไม่พอแน่นอนาเ็หนักเช่นนั้น ยังสามารถมาฝังเข็มให้เ้าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“เรี่ยวแรงไม่พอ?”เหลิ่งเหยียนก็ใเหมือนกันเขารู้สึกว่าวันนี้พระชายาไม่ค่อยปกตินัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
“มิผิด”แววตาของเขาฉายความสงสัยอยู่แวบหนึ่ง “แต่ว่าช่างเถอะ ตอนนี้ข้าอยากรู้แค่ว่าเหตุใดนางถึงเสนอตัวมาแก้พิษให้ข้า”
“ยังต้องถามอีกแน่นอนว่าอยากจะพลิกชะตาชีวิตของตนให้กลับเป็เ้านายอีกครั้งเ้าสั่งให้คุณหนูของเรือนอัครเสนาบดี พระชายาขั้นหนึ่งไปทำงานที่โรงซักล้างเช่นนี้จะให้นางยินยอมได้เช่นใด” เ้าสำนักเหลยเอ่ยออกมาด้วยท่าทีดั่งคนเข้าใจสาเหตุเป็อย่างดี
“มีเหตุผล”เหลิ่งเหยียนเสริมขึ้นอีกประโยค
ม่อเวิ่นเฉินกลับไม่พยักหน้าเห็นด้วยไม่นานเขาถึงพูดต่อว่า “ไม่ตัดความเป็ไปได้นี้ออกไปแต่เหตุใดสองเดือนมานี้นางไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา อยู่ๆ กลับคิดได้แล้ว...”
เ้าสำนักเหลยยักไหล่ แสดงท่าทางออกมาว่าเขาเองก็ไม่รู้
“เมื่อเป็เช่นนี้แล้ว...”มุมปากของม่อเวิ่นเฉินยกขึ้นเป็รอยยิ้มยิ้มนั้นมีความโหดร้ายและเ็าแฝงอยู่หลายส่วน
หลังจากที่ทำาเย็นกันแล้วเหลยอวี๊เฟิงก็ได้แต่ส่ายหน้า “ซูฉีฉีผู้นี้มาเจอกับเ้านั้นถือว่าโชคร้ายจริงๆ ”
ความจริงแล้วเหลิ่งเหยียนอยากจะบอกว่าเห็นด้วยแต่เมื่อเห็นแววตาที่ไม่เป็มิตรของท่านอ๋องของตน เขาก็ได้แต่ต้องทนเงียบไว้
ม่อเวิ่นเฉินถลึงตาใส่เหลยอวี๊เฟิงก่อนที่ปลายตาจะโค้งขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเข้าใจก็เอาข่าวการฟื้นของข้ากระจายออกไป”
ซูฉีฉีอดทนจนถึงโรงซักล้างระหว่างทางพ่อบ้านถามนางหลายครั้งเพราะว่าสีหน้าของนางนั้นเริ่มจะขาวซีดแล้วแต่ว่าจนท้ายที่สุดแล้วซูฉีฉีก็ไม่ได้เล่าอะไรออกมา นางเพียงพูดว่าตนเองแค่เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น
สาวใช้ที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับนางเริ่มถามไถ่สภาพของนางอย่างห่วงใยซูฉีฉีได้แต่ยิ้มตอบพวกเขาว่าไม่เป็อะไร
นางรู้ว่าฮวาเชียนจือจะไม่ยอมรามือแค่นี้แน่
ทั้งหมดนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น
ถ้าหากนางรู้ว่าม่อเวิ่นเฉินใกล้จะฟื้นขึ้นมาแล้วไม่รู้จะรีบสั่งให้คนมาฆ่าตนด้วยความร้อนรนหรือไม่
เมื่อนางแหงนหน้ามองฟ้าก็เห็นเกล็ดหิมะกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศยาที่เหลยอวี๊เฟิงให้มานั้นดีมาก เพียงวันเดียวก็ลดความเ็ปของนางไปได้มากแล้วแต่อาการาเ็ที่อวัยวะภายในของนางนั้นคงต้องรักษาด้วยตนเองแล้ว
ซูฉีฉีไม่สามารถเฝ้ารออยู่เฉยๆ ได้เพราะฉะนั้นนางจะต้องรีบคิดหาวิธี
ฝังเข็มวันสุดท้ายแรงในมือของซูฉีฉีนั้นคงที่กว่าเดิมมิน้อย นางต้องรีบไขว่คว้าโอกาสเอาไว้ อย่างน้อยก็ต้องให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานภาพสาวใช้โรงซักล้างนี้
จนกระทั่งนางเช็ดทำความสะอาดเข็มทองทั้งหมดแล้วซูฉีฉียังคงจ้องมองไปที่ม่อเวิ่นเฉินมองไปที่ใบหน้าของบุรุษที่ทำให้สตรีทั้งหลายต่างพากันอิจฉา การสลบไร้สติทำให้เขาดูเป็มิตรมากขึ้นไม่ได้ปรากฏใบหน้าที่นิ่งเรียบเ็าอีกต่อไป
นี่ก็คือสามีของนาง ที่พึ่งพิงของนางแต่เขากลับไม่เคยมอบอะไรให้กับนาง...
นางยิ้มอย่างขมขื่นออกมาสิ่งที่นางมอบให้เขานั้น...
ต้องโทษที่รูปโฉมของนางสู้ผู้อื่นมิได้? แต่ไหนแต่ไรมาซูฉีฉีก็หาได้ใส่ใจในรูปโฉมของตนเองไม่
จนกระทั่งเหลิ่งเหยียนกระแอมออกมาซูฉีฉีถึงคืนสติกลับมาอีกครั้ง
เมื่อเก็บเข็มทองเรียบร้อยนางก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหมุนตัวออกไป
ทันทีที่ซูฉีฉีออกไปเหลยอวี๊เฟิงก็หมุนตัวเข้ามา
และตอนนั้นม่อเวิ่นเฉินก็ได้ลืมตาขึ้นแล้วแววตาฉายความเ็าออกมาแวบหนึ่งก่อนจะกลับมาปกติอีกครั้งเมื่อหันไปเห็นเหลยอวี๊เฟิง “ยาถอนพิษนั้นหาพบหรือยัง?”
ใบหน้าที่แต่เดิมยิ้มอยู่เจ็ดส่วนของเหลยอวี๊เฟิงนั้นถึงกับนิ่งค้างเขาส่ายหน้าอย่างจนใจ “ยาที่จะแก้พิษตัวนี้ยังไม่มีอยู่บนโลก”
“หมายความว่าอย่างไร?” เหลิ่งเหยียนเครียดขึ้นทันที
ในทางกลับกันสีหน้าของม่อเวิ่นเฉินนั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงเขาเพียงจ้องไปที่เหลยอวี๊เฟิงรอฟังเขาพูดต่อ