ภายในวิหารใหญ่เหลืองอร่ามแวววาวของสันตะสำนัก อัศวินแต่งกายเต็มยศติดอาวุธจัดขบวนเป็สองฝั่ง สมเด็จพระสันตะปาปาถือแก้วขาสูงยกกระดกดื่มสุราสีแดงกุหลาบจนหมดในรวดเดียว ดวงตาหงส์เรียวรีคู่หนึ่งกับรอยยิ้มการค้าที่ยังคงเดิมั้แ่ต้นจนจบทำให้ท่านบุรุษที่สวมอาภรณ์สวยหรูท่านนี้แลดูยากคาดเดาอย่างเห็นได้ชัด
“สถานการณ์ของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามเป็อย่างไรบ้าง?”
บาทหลวงชุดแดงเบื้องหน้าคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ การเรียนของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามมีพระคาร์ดินัลเป็ผู้รับผิดชอบ ไม่มีปัญหาแทรกซ้อนอันใด”
“นึกมิถึงว่าเ้าเด็กผู้นั้นจะอดทนอดกลั้นได้ดีเพียงนี้” สมเด็จพระสันตะปาปาวางแก้วขาสูงลง ภายในน้ำเสียงเรียบเฉยเผยกลิ่นอายเย้าหยอก “ข้าจะไปดูเขาด้วยตนเอง”
ประตูทองแดงบริสุทธิ์ถูกขัดจนสะอาดหมดจด ไม้กางเขนแกะสลักและภาพเถาวัลย์ดอกไม้ถูกส่องสว่างภายใต้ตะเกียงเวทมนตร์ ด้านหลังของประตูนั้นคือเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
กล่าวว่าคือการสั่งสอนพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ ทว่าแท้จริงแล้วมิต่างอันใดกับคุกหรูหรา --- อาภรณ์และอาหารจะมีผู้อื่นคอยรับผิดชอบ ตนมิอาจออกไปนอกประตู ทุกการกระทำล้วนถูกจับตามอง มีเพียงหน้าต่างบานเดียวที่สามารถมองเห็นรูปปั้นเทพแห่งแสงที่ถูกแสงส่องสว่างไสวตลอดคืน ความรู้และแิที่ผู้ชี้แนะมอบให้ ไม่มีสิ่งใดไม่ผ่านการร่างมาอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นในทุกๆ กระบวนการจะค่อยๆ กัดกร่อนแิของเ้า ส่งผลต่อการคิดวิเคราะห์ จนท้ายที่สุดเข้าควบคุมความคิดและตกเป็ผู้ติดตามที่ยอมให้สันตะสำนักใช้การโดยสิ้นเชิง
วันที่สิ้นสุดการอบรมก็คือยามที่น้ำเซาะหินจนทะลุ หุ่นเชิดสมบูรณ์แบบที่ยอมรับใช้เทพแห่งแสงก็จะปรากฏขึ้นบนโลกด้วยเหตุนี้ ในสันตะสำนักอันกว้างใหญ่ คล้ายกับบาทหลวงและอัศวินคุ้มครองพระศาสนาผู้เป็จุดศูนย์กลางทุกคนล้วนแต่ถือกำเนิดขึ้นมาเช่นนี้ เพียงแต่อัศวินคุ้มครองพระศาสนาผู้เป็ศูนย์กลางสำคัญจะสูงศักดิ์กว่าบาทหลวงทั่วไปอย่างมาก พวกเขามิเพียงแต่ผ่านการฝึกฝนทางกายจนชำนาญ ทว่ายังเป็ผู้โดดเด่นด้านพลังเวทธาตุแสง เรียกได้ว่าเป็ผู้โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน
หมีเอ่อร์ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มาหลายเดือนแล้ว ในขณะเดียวกันหมีเอ่อร์ยังได้รับรู้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการเหยียบย่ำจิติญญาและร่างกาย ความมุ่งมั่นที่ตนยึดถือช่างอ่อนแอถึงเพียงนั้น ยามถูกบังคับให้คุกเข่าร้องเพลงสรรเสริญต่อหน้ารูปปั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่อ่อนแรงไร้กำลังถึงเพียงนั้นเช่นกัน
ความเคยชินของมนุษย์เป็สิ่งที่น่ากลัวนัก แม้ว่าอัตวิสัยเ้าจะปฏิเสธอย่างเคร่งครัด กระนั้นมันก็ยังดึงดันจะค่อยๆ กล่อมกลืนจนเปลี่ยนนิสัยของเ้า สภาพจิตใจของหมีเอ่อร์มีั้แ่ต่อต้านจนเก็บกด จากนั้นเฉยชาจนร่างทั้งร่างไร้จิติญญามิต่างกับซากศพเดินได้ สิ่งนี้ทำให้พระคาร์ดินัลใหญ่ไป้ย่าที่รับผิดชอบการปลูกฝังรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง หากรู้แต่แรกว่าจะจัดการได้ง่ายถึงเพียงนี้คงมิจำเป็ต้องกังวลผลลัพธ์ที่จะเกิดจากการสั่งสอนอย่างหนักเสียแล้ว
ประตูถูกเปิดออก สมเด็จพระสันตะปาปาเดินเข้ามาอย่างเอ้อระเหย จากนั้นกดสายตาลงมองหมีเอ่อร์ที่แววตาเงียบสงัด
“ตลอดหลายเดือนมานี้เอาแต่ไหว้วานไป้ย่าดูแลเ้า ถึงอย่างไรพระคาร์ดินัลก็อายุมากแล้ว คงจะเลินเล่อไปบ้างอย่างมิอาจเลี่ยง เพียงแต่ดูแล้วทุกอย่างปกติดี หากมีสิ่งใดที่เขาดูแลได้มิรอบคอบจงบอกข้า”
สมเด็จพระสันตะปาปาโน้มกายลงพลางเผยสีหน้าอ่อนโยน ราวกับบิดาที่รักถนอมบุตรชายกำลังเอ่ยกำชับ
แววตาของหมีเอ่อร์ยังคงไร้เกลียวคลื่นดังเดิม ถึงขั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้า
บนใบหน้าของสมเด็จพระสันตะปาปามีความไม่พอใจวูบผ่าน ค้อมเอวเข้าใกล้ใบหูของหมีเอ่อร์ “หากการอบรมคืบหน้ามิเร็วพอ ข้าจะมาชี้แนะเ้าด้วยตนเอง”
ไหล่ของหมีเอ่อร์สั่นไหวครู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด คำกล่าวของสมเด็จพระสันตะปาปามิต่างกับเข็มเหล็กกล้าลนไฟจนแดงฉานทิ่มแทงเข้ามากลางอกของตน เ็ปทรมานทว่ามิอาจทำสิ่งใดได้ รอยยิ้มเสแสร้งของอีกฝ่ายได้กลายเป็ฝันร้าย สามารถทำให้ตนสะดุ้งตื่นจากหลับฝันได้ในทุกค่ำคืน
สมเด็จพระสันตะปาปาคลี่ยิ้มพลางปิดประตู เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นแ่เบาดังมาจากในห้องพลันเผยสีหน้าพึงพอใจ ครั้นมองไป้ย่าที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม น้ำเสียงของสมเด็จพระสันตะปาปาเจือความไม่แยแสอย่างยิ่ง
“นี่จึงจะเป็อาวุธต่อกรกับเขาได้ดีที่สุด เ้ายังลงมือเบาเกินไป หากยึดตามความเร็วเท่านี้ กระทั่งเ้าได้ไปพบเทพแห่งแสงก็ยังมิอาจกล่อมเกลาเขาจนสำเร็จ”
ไป้ย่าถึงกับเหงื่อเย็นผุดเต็มแผ่นหลัง รีบพยักหน้ารับความผิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเดินก้มหน้าตามสมเด็จพระสันตะปาปาออกไปจากทางเดินยาว
....
หมีเอ่อร์ร้องไห้จนหลับไป
ระหว่างใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การกักบริเวณตลอดหลายเดือนนี้ มีเพียงการนอนกับพิธีกราบไหว้เทพเท่านั้นที่ตนจะได้อยู่อย่างสงบสุขสักหน่อย อย่างแรกทำให้ตนได้ฝันถึงท่านพี่ ได้กลับไปยัง่เวลาไร้ความทุกข์ไร้เื่กังวลยามอยู่ในสวน อย่างหลังคือทำให้ตนได้พบสหายเพียงผู้เดียวในพิธีกรรมอันยาวนาน
การรู้จักกันของหมีเอ่อร์กับเยวียเฮ่อเอ่อร์มิใช่เื่น่าประหลาดใจ ในดินแดนลวงโลกเช่นนี้ ผู้มีใจเป็อื่นทั้งสองคนมิต่างกับดอกผักบุ้งกลางพุ่มหญ้า แน่นอนว่าจะต้องยึดเกาะกันเอาไว้ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่อยู่ในสันตะสำนัก เยวียเฮ่อเอ่อร์ได้พบเจอกับวิธี ‘กล่อมเกลา’ สารพัด และรู้ถึงความโเี้เื้ัสันตะสำนักอันรุ่งโรจน์ และรักษาท่าทางใกล้เพียงเบื้องหน้าทว่าใจออกห่างมาโดยตลอด
เพียงแต่หลังจากได้เห็นหมีเอ่อร์ผู้เป็ดังกระดาษขาวต้องสูญเสียญาติไป อีกทั้งยังถูกบังคับให้เลื่อมใสเทพที่เป็อาชญากรสังหารคน เยวียเฮ่อเอ่อร์พลันอดทนมิไหวเสียแล้ว
ตนนับถือท่านพ่อผู้เป็ทหารม้ามาั้แ่เด็ก พัฒนาการยึดมั่นในปณิธานที่แข็งแกร่งเหนือบรรดาผู้คนได้ฝึกสำเร็จั้แ่ยามติดตามเหล่าทหารวิ่งเต้นไปทั่ว ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเป็ดังน้ำมันกับเกลือมิเข้ากัน บาทหลวงเ้าแผนการรู้ว่ามิอาจกำราบเขาอย่างสิ้นเชิง กระนั้นก็ยังมิอาจหมางเมินพร์ในการควบคุมพลังธาตุที่ตนมีต่อธาตุแสงจึงมอบสมญานามพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองให้แก่ตน นับได้ว่าเป็การฝืนลากตนเข้าร่วมกลุ่ม มีให้กิน มีให้ดื่ม มีผู้เลี้ยงดู มีแต่ได้มิขาดทุน เยวียเฮ่อเอ่อร์จึงแสร้งทำตัวเป็เด็กธรรมดามาโดยตลอด
แต่ทว่าหมีเอ่อร์ถูกพี่ชายทั้งสองคนคอยปกป้องมาั้แ่เด็ก เกรงว่ากระทั่งาเ็ก็ยังมิเคย เช่นนั้นจะทนต้านทานการ ‘กล่อมเกลา’ เ่าั้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองไม่อยากเห็นหมีเอ่อร์เสียใจจนเดินซ้ำรอยเดิม ดังนั้นจึงเป็ฝ่ายก้าวออกมารับบทผู้ปกป้อง ในสายตาคนนอก พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองมิเพียงแต่เป็ฝ่ายเริ่มเข้าหากิจการภายในสันตะสำนัก ทว่ายังมีไมตรีที่ดีต่อพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามที่เพิ่งมาใหม่ นับได้ว่าเป็การประชาสัมพันธ์เชิงบวกที่แม้ปรารถนาก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้น กระนั้นเยวียเฮ่อเอ่อร์กลับรู้ว่าตนเป็เพียงข้าราชบริพารที่สนิทก็มิใช่ห่างเหินก็มิเชิงสำหรับสมเด็จพระสันตะปาปา วาจามิได้มีน้ำหนักแม้แต่น้อย อย่างมากที่สุดก็เพียงปกป้องหมีเอ่อร์ในด้านที่พอจะทำได้
แม้จะเป็เด็กเช่นเดียวกัน ทว่าจิตใจของเยวียเฮ่อเอ่อร์โตกว่าหมีเอ่อร์มากอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีความเป็ผู้ใหญ่ หากมิใช่เพราะคำเกลี้ยกล่อมของเยวียเฮ่อเอ่อร์ ด้วยนิสัยของหมีเอ่อร์ เขาคงเลือกจะไปหาพี่ชายที่คุกเสียแต่ต้นแล้ว
“ข้ารู้ว่ายามนี้เ้าทุกข์ทรมานมาก หากแต่เ้าจะต้องคิดให้กระจ่าง หากเ้ายอมแพ้ทั้งเช่นนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับผิดต่อคำสั่งเสียพี่ชายของเ้า”
เยวียเฮ่อเอ่อร์มองหมีเอ่อร์ที่น้ำตาอาบใบหน้า น้ำเสียงยังคงเข้มแข็งดังเดิม เพียงแต่คำว่า ‘ยังคงเหมือนเดิม’ นี้ แน่นอนว่ามีเพียงยามอยู่ต่อหน้าหมีเอ่อร์เท่านั้น
“แต่ ข้า ข้า...” หมีเอ่อร์สูดจมูกเอ่ยคำว่า ‘ข้า’ อยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังมิอาจเอ่ยหนึ่งประโยคสมบูรณ์ออกมา
“หากเ้าอยากตายถึงเพียงนั้น จำไว้ว่าให้บอกข้าสักคำ ข้าจะเก็บศพให้เ้า” เยวียเฮ่อเอ่อร์ใบหน้าขึงตึง “ต่อให้เ้าลงนรกจริงๆ ก็ใช่ว่าจะได้พบพี่ชายของเ้าเสมอไป กระทั่งด่านของสันตะสำนักเ้ายังผ่านไปมิได้ เช่นนั้นจะสามารถฝ่านรกไปหาเขาเจอได้อย่างไร”
หนึ่งมีดนี้แทงทะลุหัวใจของหมีเอ่อร์เสียแล้ว ทำเอาเ้าเด็กขี้แยร้องไห้จ้า ใบหน้าของเยวียเฮ่อเอ่อร์ดำทะมึนไม่สะทกสะท้าน ทว่าภายในใจกลับมิรู้ว่าจะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่ตนอยากจะยุให้เขาเกิดความรู้สึกอยากมีชีวิตรอด เหตุใดจึงคล้ายจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามเสียแล้ว...
เยวียเฮ่อเอ่อร์ผู้น่าสงสารไม่เคยคิดมาก่อนว่า มิใช่ทุกคนจะเกิดมาในครอบครัวทหาร ยิ่งไม่มีทางล้วนแต่เข้มแข็งตรงไปตรงมาเช่นทหารเสียหมด วิธีการปลุกกำลังใจของเหล่าทหารที่ได้เรียนรู้จากท่านพ่อ ไม่รู้ว่าเมื่อนำมาใช้กับหมีเอ่อร์จะเหมาะหรือไม่เหมาะ
โชคดีที่หลังหมีเอ่อร์ร้องไห้จนเหนื่อยก็มิได้พยายามหาทางตายอีก เพียงปาดน้ำตาซบอยู่บนอกของเยวียเฮ่อเอ่อร์โดยมิเอ่ยสิ่งใด
เยวียเฮ่อเอ่อร์ถอนหายใจ ตนกดไหล่หมีเอ่อร์เอาไว้ “าาปีศาจจะต้องเคยบอกเ้าแน่นอนว่าให้เ้าพยายามมีชีวิตต่อไปแล้วกลายเป็ผู้แข็งแกร่ง หากความสามารถมิพออย่ารนหาที่ตาย ใช่หรือไม่?”
หมีเอ่อร์พยักหน้าอีกครั้งทั้งน้ำตา
“ลองคิดดูว่าเ้ายังติดค้างคำสั่งเสียของาาปีศาจอีกมากเพียงใด ยังมิอาจทำเื่นี้สำเร็จ เ้ากล้าไปพบหน้าเขาเช่นนั้นหรือ? ไม่ว่าภายหน้าสันตะสำนักจะทำสิ่งใดกับเ้า อย่าได้คิดจะรนหาที่ตายเป็อันดับแรก เข้าใจหรือไม่?”
หมีเอ่อร์ส่ายหน้า ตามด้วยพยักหน้าอีกครา เยวียเฮ่อเอ่อร์ยกยิ้มเสียแล้ว ตนลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของหมีเอ่อร์เบาๆ
เสียงระฆังของสันตะสำนักดังขึ้น หมีเอ่อร์ที่หางตายังมีหยดน้ำตาเกาะอยู่สะดุ้งตื่น เด็กน้อยนอนอยู่บนเตียง ลูบไล้ถุงผ้าใบเล็กในกระเป๋าอย่างทะนุถนอม
นี่คือแรงขับเคลื่อนเดียวที่ทำให้ตนยืนหยัดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปกระมัง
ในนั้นใส่สิ่งของไว้สามอย่าง อัญมณีฝังกระบี่ของพี่ใหญ่ เหรียญที่พี่รองทิ้งเอาไว้ รวมไปถึงลูกกวาดที่เยวียเฮ่อเอ่อร์แอบให้ตน
