“แน่นอนอยู่แล้ว หากว่าฝูเซิงไม่ดี ข้าก็คงไม่คิดจะยกบุตรสาวให้แต่งกับเขา”
“ได้ๆ ถือว่าท่านตาดีมีแววก็แล้วกัน พอใจหรือยังเล่า”
สองสามีภรรยาสนทนากันอย่างมีความสุข รู้สึกเบาใจลงไปทั้งคู่ ที่เรือนหลัง เฉินเยว่เซียนค่อยๆ ปลดผ้าคลุมหน้าออก ปรากฏให้เห็นใบหน้าขาวสะอาดแลดูสุขุม
ชุนสี่สาวใช้ข้างกายส่งเสียงดีใจออกมาไม่หยุด “คุณหนู ชายหนุ่มคนนี้เป็คนดียิ่งนัก ข้าแสร้งทำเป็อ่อนแอน่าสงสาร เขาก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่อยากให้ข้าทำงานหนักเพราะเป็สตรี อีกทั้งเขายังดูแข็งแรงมาก ตะกร้าหนักขนาดนั้น กลับยกขึ้นมาได้ด้วยมือเดียว ดูแล้วก็...อืม ไม่น่าจะเป็คนอายุสั้นเ้าค่ะ”
เฉินเยว่เซียนก้มหน้าลง ทำให้ชุนสี่เห็นไม่ชัดว่าสีหน้าของนางเป็อย่างไร เป็นานถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ผ้าที่ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ส่งกลับมา ก็เอาออกมาตัดเถอะ ข้าจะทำชุดใหม่ให้ท่านพ่อท่านแม่ แล้วก็อีกประเดี๋ยวไปแจ้งท่านพ่อว่า ถึงเวลาควรจัดการบัญชีร้านได้แล้ว”
“หา...” ชุนสี่มีสีหน้าประหลาดใจ ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะสอบถามลักษณะนิสัยใจคอของท่านเขยในอนาคตหรอกหรือ เหตุใดคุณหนูถึงได้ยุ่งเื่งานอยู่อีก แต่คุณหนูเป็คนมีความคิดเป็ของตนเองเสมอมา นางจึงไม่กล้าถามอะไร รีบตอบรับว่า “เ้าค่ะ คุณหนู”
ข้างหน้าต่างมีตำราสองสามเล่มวางอยู่ สายลมร้อนแสนซุกซนพัดให้เปิดขึ้นเบาๆ ปรากฏให้เห็นแผนที่ขุนเขาด้านใน เห็นได้ชัดว่าคือตำราบันทึกการเดินทางที่ไม่ควรวางอยู่ในห้องของสตรีแม้แต่น้อย...
อากาศเดือนสี่ราวกับอารมณ์ของเด็กน้อยก็ไม่ปาน แปรเปลี่ยนรวดเร็วง่ายดาย
ยามเช้าตอนออกจาบ้านพระอาทิตย์ยังสว่างสดใส จู่ๆ ไม่รู้ว่าเมฆครึ้มจากที่ไหนมาบดบัง จากนั้นฝนก็เทลงมาตลอดทางกลับบ้านของพี่ใหญ่ลู่
ฝนในฤดูใบไม้ผลิล้ำค่าดั่งน้ำมัน ประโยคนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย หลังปีใหม่ฝนตกลงมาแค่ครั้งเดียวตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ พวกชาวนารอฝนกันมาอย่างยาวนาน
ยามนี้สมปรารถนาแล้ว ต่างก็ตื่นเต้นดีใจกันเป็อย่างมาก
ระหว่างทางเห็นคนสวมเสื้อคลุมทำจากฟาง บางคนถึงกับไม่ได้สวมเสื้อฟางไว้ด้วยซ้ำก็ออกมาเงยหน้ารับน้ำฝนกัน
บรรดาต้นกล้าก็พยายามชูช่อดื่มด่ำน้ำฝนเย็นฉ่ำกันอย่างเต็มที่
พี่ใหญ่ลู่เลี้ยวเข้าไปทางขึ้นหมู่บ้าน ระหว่างทางก็มองบรรดาต้นกล้าเขียวชอุ่มชูคอรับน้ำด้วยใบหน้ามีความสุข
เสี่ยวหมี่ออกมาเดินเล่น จึงเดินเลยไปชมบ่อน้ำขุดใหม่ คนสกุลจงยังขุดบ่อได้มีฝีมือเช่นเดียวกับบ่อแรก อิฐทุกก้อนถูกจัดเรียงอย่างเป็ระเบียบ จนเสี่ยวหมี่ต้องบอกว่าไม่จำเป็ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้
บ่อน้ำบ่อแรกสำหรับให้คนในหมู่บ้านได้ดื่มกิน แน่นอนว่าควรจะต้องสร้างให้ดีหน่อย แต่บ่อน้ำในสวนในนานั้นเพียงใช้สำหรับการชลประทานในฤดูแล้ง หากยังทำอย่างดีเหมือนกับบ่อแรก ก็จะเป็การสิ้นเปลืองแรงมากเกินไป
แต่คนสกุลจงกลับไม่ยินยอม พวกเขายังคงทำงานอย่างจริงจังและซื่อสัตย์ ทำให้เสี่ยวหมี่รู้สึกนับถือเป็อย่างมาก จึงกำชับพวกท่านป้าหลิวที่ทำอาหารว่าไม่ต้องประหยัดเสบียง จะต้องให้พวกคนสกุลจงและท่านลุงท่านอาในหมู่บ้านกินอิ่มอย่างเพียงพอ
ท่านป้าหลิวย่อมไม่คัดค้าน ในเมื่อสกุลลู่ใจกว้าง พวกนางก็ไม่จำเป็ต้องรับบทคนใจร้าย เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่นาน พวกผู้ชายต่างก็ดูกำยำกันขึ้นมาก แม้แต่พวกนางเองที่อยู่ในเพิงอาหารก็ยังอวบอ้วนขึ้นด้วยเช่นกัน
ฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงมาประมาณครึ่งชั่วยามก็เบาบางลงเหลือเพียงปรอยฝน ทำให้ทั้งหุบเขาราวกับมีหมอกขาวปกคลุมเลือนราง ดูงดงามราวกับภาพฝัน
ลู่เสี่ยวหมี่เห็นพี่ใหญ่ลู่มองบรรดาต้นกล้าพลางฉีกยิ้มโง่งมทั้งๆ ที่เปียกปอนไปทั้งร่าง นางจึงสวมหมวกใบใหญ่เข้าไปหาเขา ะโว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดยังยืนอยู่ที่นี่อีก?”
พี่ใหญ่ลู่หันไปเห็นน้องสาวของตนจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เพิ่งกลับมาจากไปส่งผักในเมืองน่ะ เ้าจะกลับบ้านหรือไม่?”
“กลับสิ”
เสี่ยวหมี่ะโขึ้นรถม้า ห้อยขาทั้งคู่ลงมา ตัวโยกคลอนไปมาราวกับเด็กน้อยที่กำลังโยกศีรษะท่องหนังสืออยู่ในห้องเรียนสกุลลู่
พี่ใหญ่ลู่กลัวว่าน้องสาวจะต้องลมหนาว จึงช่วยนางจัดหมวกใบใหญ่ บดบังร่างของนางจนมิชิด
“เข้าเมืองไปราบรื่นดีหรือไม่? ได้พบเถ้าแก่เฉินหรือยัง?”
เสี่ยวหมี่ยื่นมือออกไปดึงกิ่งไม้ข้างทางอย่างสนุกสนาน พลางเอ่ยถามพี่ใหญ่
พี่ใหญ่ลู่ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยว่า “อืม เถ้าแก่เฉินมีเื่ด่วน จึงให้ข้าเอาผักไปส่งที่บ้าน”
“อา ตาเฒ่าคนนี้มีความสามารถในการทำการค้ายิ่งนัก ไม่รู้ว่าวันนี้ตั้งใจจะหาเงินจากกระเป๋าคนรวยคนไหนอีก”
เสี่ยวหมี่ไม่สังเกตเห็นสักนิดว่าพี่ใหญ่ของนางมีสีหน้าแปลกๆ นางสนทนาเื่สัพเพเหระภายในบ้านกับเขาไปตลอดทาง
สองพี่น้องกลับมาถึงบ้านอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายเสี่ยวหมี่เพิ่งะโลงจากรถม้า ก็ได้ยินด้านหลังมีคนวิ่งตามมา ะโว่า “แม่นางลู่ แม่นางลู่”
เสี่ยวหมี่หันไปมอง ที่แท้เป็ผู้ดูแลร้านของเถ้าแก่เฉิน ยามปกติเขาได้รับความไว้วางใจจากเถ้าแก่เฉินเป็อย่างมาก อีกทั้ง่นี้เขาคนนี้ก็แวะเวียนมาเก็บผักที่สกุลลู่บ่อยๆ ชาวบ้านที่เฝ้าอยู่หน้าปากทางเข้าจำเขาได้จึงไม่ได้ห้ามปราม ปล่อยให้เขาเข้ามา
ลู่เสี่ยวหมี่รีบขึ้นหน้าไปหา ยิ้มแย้มกล่าวว่า “พ่อบ้านเสี่ยวหลิว เหตุใดท่านถึงไล่ตามมากันเ้าคะ พี่ใหญ่ข้าเพิ่งจะกลับมาจากในเมืองเอง”
พ่อบ้านเสี่ยวหลิวคนนั้นหอบหายใจ แล้วจึงหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาจากตะกร้าที่สะพายอยู่บนหลัง
“เหล่านี้เป็ผ้าที่คุณชายใหญ่ของเราส่งมาให้จากเมืองหลวงเพื่อให้คุณหนูของเราตัดชุดใหม่ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ เถ้าแก่ของเราเห็นว่าเนื้อผ้าดีมาก จึงให้ข้าแยกไว้พับหนึ่งเพื่อฝากคุณชายใหญ่กลับมาให้แม่นางลู่ แต่ข้ากลับลืมเสียสนิทเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานที่ร้าน ถึงได้ต้องวิ่งตามมาเช่นนี้ขอรับ ไม่เช่นนั้นหากเถ้าแก่ของเรารู้เข้า เกรงว่าคงจะบ่นข้าไปอีกนานเลยขอรับ”
เสี่ยวหมี่รับห่อผ้านั้นมาเปิดดู เห็นว่าเป็ผ้าไหมสีสันลวดลายสะดุดตา นางััถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่ปากก็ยังตอบรับว่า “ได้ ลำบากพ่อบ้านเสี่ยวหลิวแล้ว เมื่อกลับไปแล้วก็ฝากขอบคุณเถ้าแก่เฉินแทนข้าด้วยนะเ้าคะ”
“แม่นางลู่เกรงใจแล้วขอรับ คุณหนูของเราชอบสีนี้มาก แต่ฮูหยินของพวกเราบอกว่ามันเรียบเกินไป คุณหนูของเรายังไม่ได้หมั้นหมาย ควรจะสวมสีสันสดใสมากกว่านี้”
พ่อบ้านเสี่ยวหลิวกล่าวเสริมอย่างยิ้มแย้มอีกสองสามประโยค แล้วจึงขอตัวลากลับ
เสี่ยวหมี่กอดห่อผ้านั้นกลับเข้าบ้าน เห็นพี่ชายของนางกำลังเดินไปปลดอานม้า จึงเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ เมื่อครู่ตอนที่ท่านไปบ้านสกุลเฉิน ได้พบใครบ้างหรือ?”
พี่ใหญ่ลู่ยังไม่หยุดงานในมือ ปากก็ตอบกลับมาว่า “ตอนแรกเถ้าแก่เฉินไม่อยู่บ้าน ข้าได้พบฮูหยินเฉิน อืม...แล้วยังมีสาวใช้อีกคนหนึ่ง ตอนหลังเถ้าแก่เฉินกลับมาแล้ว ก็รั้งให้ข้าอยู่รับประทานอาหารที่บ้านอีกหนึ่งมื้อ”
“อ้อ เข้าใจแล้ว” เสี่ยวหมี่พยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก จากนั้นก็เดินกลับไปยังเรือนหลัง
สองสามวันมานี้เสี่ยวเอ๋อกินอิ่มนอนหลับ และเปลี่ยนยาที่ปากแผลสม่ำเสมอ ทั้งยังดื่มยาไม่ได้ขาด อาการของนางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อวาน ท่านป้าเจียงช่วยเก็บกวาดเรือนพักฝั่งตะวันตกจนเรียบร้อย ทั้งนำผ้าห่มผ้าปูออกมาตากแดด วันนี้จึงย้ายเสี่ยวเอ๋อเข้าไปอยู่เรือนฝั่งนั้นแทน
หลังฝนตกแดดเพิ่งเริ่มกลับมาออกอีกครั้ง ไม่รู้ว่าพี่รองลู่ไปจับกระต่ายมาจากไหนครอกหนึ่ง กำลังปล่อยให้มันวิ่งเล่นรอบตัวเสี่ยวเอ๋อ มีทั้งสีขาว สีเทา สีขาวสลับดำ มองแล้วน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
เสี่ยวเอ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ทุกครั้งที่พวกกระต่ายทำจมูกฟุดฟิดที่ชายกระโปรง นางก็มักจะส่งเสียงหัวเราะออกมา คิดจะยกเท้าหลบแต่ก็กลัวจะะเืถึงาแ สุดท้ายทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่หัวเราะ
พี่รองลู่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มราวกับคนโง่ ลู่เสี่ยวหมี่อยากจะเปิดกะโหลกพี่รองของนางออกมาดูจริงๆ อยากรู้นักว่าด้านในนั้นมีอะไรอยู่
ปกติสมองทึบจะตาย ซาลาเปาลูกเดียวยังแย่งกับเกาเหรินแทบตายกันไปข้าง ยามนี้กลับฉลาดขึ้นมา ถึงกับรู้วิธีเอาใจสตรีแล้ว
นางที่ยามปกติเป็ห่วงเป็ใยเขาสารพัด เทียบไม่ได้กับรอยยิ้มเดียวของสาวงาม
เสี่ยวหมี่พยายามข่มความริษยาในใจลงไป
แน่นอนว่าลู่อู่ย่อมไม่ทันสังเกตเห็นว่าน้องหญิงของเขากำลังไม่พอใจอยู่ เขายิ้มโง่งมทักทายว่า “เสี่ยวหมี่ เ้ากลับมาแล้วหรือ ข้าจับกระต่ายมา เ้าเลือกเอาไปเล่นสักตัวสิ”
กระต่ายป่าวิ่งเล่นทั่วลานบ้าน มีสักแปดเก้าตัวเห็นจะได้ กลับคิดจะแบ่งให้น้องสาวแท้ๆ แค่ตัวเดียว นี่มันอะไรกัน
กลับเป็เสี่ยวเอ๋อที่หน้าแดงน้อยๆ นางเสริมออกมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าแค่เห็นว่าน่าสนุกดี แต่จริงๆ แล้วเลี้ยงไม่เป็หรอก ยกให้...แม่นางลู่ไปทั้งหมดเลยดีกว่าเ้าค่ะ”
เสี่ยวหมี่ลอบกลอกตา สองคนนี้เข้ากันได้ดีจริงๆ ทำให้นางกลายเป็แม่สามีใจร้ายไปเสียได้
“พวกท่านเล่นกันไปเถอะ ข้ากำลังยุ่ง”
เสี่ยวหมี่คร้านจะสนใจพวกเขา นางเดินกลับเข้าห้องไป เมื่อเปิดห่อผ้าหยิบผ้าพับนั้นออกมาดู มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะพิเศษตรงไหน นางจึงค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าเถ้าแก่เฉินคงมีใจอยากจะแต่งบุตรสาวเข้ามาในสกุลลู่
ส่วนคนที่เขาสนใจนั้น เสี่ยวหมี่ไม่ต้องคิดก็เดาได้ว่า นอกจากพี่ใหญ่ลู่แล้วไม่มีทางเป็คนอื่นไปได้
พี่สามลู่ไม่ค่อยอยู่บ้าน ส่วนสภาพพี่รองลู่เป็เช่นนั้น ไม่มีบิดาคนใดอยากได้เป็ลูกเขยหรอก มีเพียงพี่ใหญ่ลู่ที่สุขุมพูดน้อย แต่ก็ขยันขันแข็งและพึ่งพาได้ อีกทั้งยามปกติยังสนิทสนมกับเถ้าแก่เฉินเป็อย่างดี
เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว ถึงแม้สกุลเฉินจะเป็พ่อค้า แต่เถ้าแก่เฉินก็เฉลียวฉลาดมีเหตุผล บุตรชายคนโตอย่างเฉินซิ่นเองก็ไม่เลว อย่างน้อยเขาก็เป็คนซื่อสัตย์มีน้ำใจ ส่วนสกุลลู่ พี่สามลู่นั้นอนาคตจะต้องสอบรับราชการเป็ขุนนางแน่นอน ส่วนพี่รองลู่...ไม่ออกไปสร้างปัญหาก็นับว่าดีมากแล้ว มีเพียงพี่ใหญ่ลู่ที่จะต้องเป็ผู้รับ่ต่อดูแลครอบครัว ดูแลน้องๆ และกตัญญูต่อบิดายามแก่ชรา
หากว่าคุณหนูสกุลเฉินนิสัยไม่เลว มีความสามารถ เช่นนั้นก็นับว่าเหมาะอย่างยิ่งที่จะมาเป็ผู้ช่วยพี่ใหญ่ดูแลสกุลลู่ในอนาคต
คิดได้ดังนี้เสี่ยวหมี่ก็นั่งไม่ติดอีก นางเปลี่ยนอาภรณ์ชุดหนึ่งอย่างง่ายๆ แล้วเดินไปที่เรือนหน้า พวกเด็กๆ เพิ่งเรียนเสร็จ บิดาลู่กำลังนั่งพักเหนื่อยดื่มชาอยู่
เสี่ยวหมี่เข้าไปปรึกษากับบิดาเื่ภายในบ้าน ยามปกตินางก็ไม่เคยอ้อมค้อม เมื่อเล่าเื่ทั้งหมดให้บิดาฟังแล้ว จึงลองหยั่งเชิงว่า “ท่านพ่อ ถึงแม้สกุลเฉินจะเป็พ่อค้า แต่ยามปกติก็เห็นแล้วว่าเถ้าแก่เฉินคนนี้ไม่เลวเลย คิดว่าบุตรสาวที่บ้านเขาเองก็คงได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีั้แ่เด็กเช่นกัน ท่านว่า...”
บิดาลู่โบกมือน้อยๆ มองบุตรสาวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“เสี่ยวหมี่ ลำบากเ้าแล้ว มารดาเ้าจากไปเร็ว ความอยู่รอดของคนในบ้านเดิมทีก็ต้องลำบากเ้ามากพอแล้ว ยามนี้ยังต้องมาลำบากเื่งานมงคลของพี่ใหญ่เ้าอีก ที่จริงแล้วหากพูดให้ชัดๆ ก็เป็เพราะพ่อไม่ได้เื่เอง”
บิดาลู่ถอนใจ กล่าวว่า “เื่มงคลของพวกพี่ชายเ้า ขอแค่เ้าเห็นด้วยก็ตกลงไปตามนั้นเถอะ พ่อไม่มีความเห็นและไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่หากเ้าไม่ชอบแม่นางคนนั้น ต่อให้พี่ชายเ้าชอบแค่ไหน ก็จะตกลงไม่ได้เด็ดขาด”
เสี่ยวหมี่ได้ยินเช่นนี้ก็ปวดใจเล็กน้อย จู่ๆ นางก็รู้สึกแปลกใจที่่้ได้รับความเชื่อใจและความรักจากบิดามากขนาดนี้ นางคิดจะเอ่ยปากออดอ้อนก็รู้สึกเขินอาย จึงได้แต่ยิ้มกล่าวว่า “เ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะเลือกลูกสะใภ้ที่กตัญญูและรู้ความมาให้ท่านอย่างแน่นอน”
สองพ่อลูกสนทนาสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง เสี่ยวหมี่นับว่าวางใจแล้ว จึงหมุนกายกลับไปทำกับข้าว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้