วันนี้คือวันขึ้นสิบหกค่ำ แสงจันทร์จึงส่องสว่างกว่าวันใด
ท้องฟ้าใสกระจ่าง ไร้ซึ่งเมฆบดบัง
พระจันทร์กลมเกลี้ยงลอยเด่น ดูราวกับโคมไฟที่ส่องสว่างเหนือหลังคาเรือน
เมื่อการประชุมใหญ่ของหมู่บ้านจบลง นายท่านสามก็ยังจัดการประชุมย่อยอีกรอบหนึ่ง
สถานที่จัดการประชุมย่อยอยู่ด้านหลังเรือนของนายท่านสาม
หลังเรือนของนายท่านสามด้านหนึ่งติดกับหน้าผาสูง สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ทั้งยังสะดวกที่จะเก็บความลับ
ราชครูเองก็ถูกเชิญให้ไปร่วมประชุมเช่นกัน
ราชครูถือสมุดทะเบียนภูมิลำเนาที่เพิ่งได้รับมาก้าวเดินไปทางหลังเรือนของนายท่านสามพร้อมกับความรู้สึกซับซ้อนในใจ
พักนี้เขามักจะรู้สึกว่าตนได้กลายเป็อาจารย์ของูเาลูกนี้แล้วจริงๆ
เพราะบัดนี้มืออีกข้างหนึ่งของเขานั้นกำลังจูงมือเล็กๆ ของเด็กหญิงที่ะโโลดเต้นมาพร้อมตน
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทั้งที่เขานั้นลงโทษเ้าเด็กปีศาจให้คัดอักษรแทบทุกวัน ทว่านางก็ยังคงวนเวียนอยู่รอบกายเขาทุกวี่วัน ทั้งยังทำตัวสนิทสนมกับเขายิ่งนัก
ราชครูยกเท้าข้ามธรณีประตูไป
ทว่าเด็กหญิงยังเดินได้ไม่มั่นคงนัก จึงจับมือท่านอาจารย์ของตนแน่นแล้วะโข้ามธรณีประตูไป
ราชครูรู้สึกราวกับตนกำลังหิ้วเด็กหญิงข้ามธรณีประตู
“ท่านอาจารย์ ท่านมีนามว่าฟางฟางจริงหรือ ต่อไปหากข้าไปต่อยตีกับใครแล้วต้องบอกเขาว่าอาจารย์ข้าชื่อฟางฟาง ข้ารู้สึกว่าช่างฟังดูไม่น่าเกรงขามเอาเสียเลย” เด็กหญิงกล่าวออกมาพร้อมกับะโโหยงเหย็งไม่หยุด
ราชครู “...”
“ชื่อของคนเรานั้นเป็สิ่งที่บิดามารดามอบให้ เช่นเดียวกันกับเ้าที่รังเกียจว่าชื่อตนเองนั้นเขียนยาก แต่เ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนได้เพราะพี่ชายของเ้า”
ราชครูกล่าวเหตุผลให้เด็กหญิงฟังอย่างจนใจ
“เอาเถิด ข้าว่าชื่อของท่านอาจารย์ไพเราะมาก” เฉินโย่วเมื่อะโข้ามธรณีประตูมาแล้วก็ยังจูงมืออาจารย์ของตนะโโลดเต้นไปทางด้านหลังเรือน
“ท่านอาจารย์ ไฉนคืนนี้ดวงจันทร์จึงสว่างถึงเพียงนี้เล่า แล้วเหตุใดดวงจันทร์จึงเปลี่ยนเป็ใหญ่บ้างเล็กบ้างได้ด้วย แล้วทำไมกลางวันจึงไม่มีดวงจันทร์ แล้วๆ บนดวงจันทร์นั้นมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ ท่านอาจารย์ท่านเคยไปเยือนดวงจันทร์หรือยัง” เฉินโย่วนั้นมีความคิดใหม่ๆ หลั่งไหลมาไม่หยุด จึงได้เริ่มต้นกล่าวหัวข้อสนทนาใหม่ๆ ขึ้น
ยังดีที่เขานั้นไม่สนิทกับจ้งเยียน ลูกศิษย์ของตนเท่าไรนัก ทั้งลูกศิษย์ของเขาก็ไม่เคยถามคำถามประหลาดเช่นนี้
“เอ่อ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์นั้นอยู่เหนือผืนฟ้า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์นั้นสลับกันทำหน้าที่ ให้หยินและหยางมากันที่ดวงจันทร์ การที่มันเว้าแหว่งนั้นมีเหตุผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของเวลา อาจารย์เองก็ไม่เคยขึ้นไปเช่นกัน จึงไม่รู้ว่า้านั้นมีสิ่งใดบ้าง ทว่าจากเท่าที่ตามองเห็นได้นั้น ก็เห็นว่าบนดวงจันทร์เหมือนจะมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง ทว่าความจริงเป็เช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้” ราชครูนั้นจำต้องเค้นหาความรู้ที่มีอยู่ของตนออกมา จึงจะสามารถตอบคำถามนี้ได้
“อ้อ” เฉินโย่วน้อยกล่าวขึ้น
ในที่สุดเด็กหญิงก็เงียบลงครู่หนึ่ง ราชครูพลันถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง
ไม่ทันไรเด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้นถามอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ ทำไมจึงมีลมเล่า แล้วทำไมพระอาทิตย์จึงค่อยๆ ลอยขึ้นมา แล้วเหตุใดสัตว์จึงต้องตายเล่า แล้วเหตุใดเมื่อมือขาดแล้วจึงต่อกลับไปไม่ได้เล่า”
แม่นางหลัวที่เดินตามหลังอยู่นั้นแทบจะทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงหลุดขำพรืดออกมา
แม้ว่าจะเป็ราชครู แต่ก็ไม่อาจเข้าใจเื่มากมายถึงเพียงนั้น โลกนี้เดิมทีก็มีปริศนามากมายที่ยังไม่ถูกไขกระจ่าง
“อาโย่ว เ้าถามท่านอาจารย์มากมายถึงเพียงนี้ ท่านกล่าวไปเ้าเองก็จำไม่ได้ ฉะนั้นเ้าต้องตั้งใจเรียน รอเ้าเรียนให้มากขึ้นแล้ว เ้าย่อมจะเข้าใจเื่พวกนี้เอง” เสียงกังวานของแม่นางหลัวพลันกล่าวขึ้น
ราชครูถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในใจคิดว่าแม่นางหลัวช่างเป็คนดีจริงๆ
เฉินโย่วพยักหน้าสองสามครั้ง เป็สัญญาณว่าเข้าใจแล้ว
จากนั้นจึงปล่อยมือท่านอาจารย์แล้วไปคลอเคลียเล่นข้างกายแม่นางหลัวแทน
มือใหญ่ของราชครูไม่มีมือน้อยคอยกุมไว้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันตา ทว่ายามมองเ้าเด็กปีศาจที่ยิ้มจนหน้าบานราวกับดอกไม้ ปากนั้นขยับพูดเป็ต่อยหอยให้แม่นางหลัวฟัง คนทั้งสองคุยไปหัวเราะไป ราชครูพลันรู้สึกว่าข้างกายตนนั้นแสนจะอ้างว้างขึ้นมา
นายท่านสามเรียกทุกคนมาประชุม บัดนี้ใกล้จะเริ่มกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญแล้ว
แม่นางหลัวนั่งลงด้านข้างโดยอุ้มเฉินโย่วให้นั่งลงบนตักตนแล้วจึงตั้งใจฟัง
นายท่านสามเรียกทุกคนมารวมตัวกันลับๆ โดยจัดแจงให้ทุกคนมาเจอกันที่ด้านหลังเรือนของเขา
การสนทนาใต้แสงจันทร์ เพราะดวงจันทร์กระจ่างจึงต้องสนทนาเื่ดีๆ
ใบหน้าคมสันของนายท่านสามพราวไปด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้เป็วันดีอย่างยิ่งของหมู่บ้านไป๋กู่ของเรา ข้ามีเื่ดีสามเื่จะมาแจ้งทุกคน เื่แรกคือหมู่บ้านไป๋กู่ของเรานั้นได้สถาปนาอย่างเป็ทางการแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่ได้ขึ้นทะเบียนภูมิลำเนา ทั้งยังได้รับการยอมรับจากทางการ นับแต่นี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจกล่าวหาว่าพวกเราเป็โจรได้อีก เื่ที่สองคือท่านนายอำเภอตกลงจะเสนอรายชื่ออาสวินให้มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบของสำนักเชิน เดิมทีนั้นท่านนายอำเภอได้หมายตาอาลู่ไว้ แต่อาลู่ยกสิทธิ์ของตนให้อาสวินแทน เหมือนดังที่สุภาษิตกล่าวไว้ว่าความสมัครสมานของพี่น้องนั้นคือพลัง ดังนั้นต่อไปไม่ว่าทุกคนจะอยู่ที่ใดก็ต้องคอยช่วยเหลือกัน” นายท่านสามเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็กวาดสายตามองทุกคน
อาลู่ เสี่ยวอู่และอาสวินต่างก็พยักหน้าอย่างจริงจัง
ใบหน้าของราชครูพลันเต็มไปด้วยความงุนงง เื่เสนอรายชื่อสอบเข้าสำนักเชินนี่มันอะไรกัน
เื่ใหญ่ถึงเพียงนี้ก็สามารถปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ
แม้เมื่อก่อนอาจารย์ใหญ่ของสำนักเชินจะเคยเชิญให้เขาไปสอนที่สำนักเชินเสียตั้งหลายครา แต่น้ำใจเ่าั้ก็ล้วนแต่โดนเขาปฏิเสธอยู่ร่ำไป
ความจริงแล้วเหตุผลนั้นเป็เพราะเขารู้สึกเกียจคร้านเท่านั้น
ทว่าในใจเขาก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าสำนักเชินเมื่อเทียบกับสำนักอื่นๆ ในแคว้นแล้วก็นับว่าไม่เลว
ทั้งเปิดสอนวิชาหลายแขนง ไม่แบ่งชนชั้นในการศึกษา เพียงแต่อาจารย์ในสำนักนั้นคร่ำครึไปสักหน่อย แต่รวมๆ แล้วก็นับว่าเป็สำนักที่ดี
ในมุมมองของราชครูนั้น เด็กทั้งสามสี่คนตรงหน้าเขานี้ล้วนแต่สามารถเข้าสำนักเชินได้
สติปัญญาของอาสวินนั้นไม่ต้องพูดถึง เขานับว่าเก่งกาจด้านการศึกษาเล่าเรียนนัก
ส่วนอาลู่นับว่าหลักแหลมอยู่สักหน่อย เื่ความฉลาดไม่เป็รองใคร ราชครูเคยเห็นเขาเขียนกฎหมายที่ตัวเองท่องอยู่คราหนึ่ง เมื่อตรวจดูก็พบว่าไม่ผิดแม้แต่ตัวอักษรเดียว
เสี่ยวอู่ในด้านการเรียนนั้นก็นับว่าหัวทึบอยู่สักหน่อย ทว่าเรี่ยวแรงกลับไม่อาจดูเบา สำนักเชินก็มีเื่การคัดเลือกร่างกายที่เป็เลิศเช่นกัน
กระทั่งเฉินโย่ว ราชครูแทบอยากจะโยนนางเข้าไปในสำนักเชิน ให้พวกอาจารย์คร่ำครึเ่าั้ได้โดนเ้าเด็กปีศาจนี่ทรมานสักครั้ง
คำถามพวกนั้นของนางหากเอาไปถามเหล่าอาจารย์ในสำนักเชินรับรองว่าพวกนั้นจะต้องกลัดกลุ้มจนสิ้นชีพอย่างแน่นอน
หากว่าเขายังเป็ราชครูอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเื่เสนอรายชื่อเข้าสอบสำนักเชิน ขอเพียงแค่เขาเอ่ยปาก เ้าเด็กพวกนี้ไม่จำเป็ต้องสอบอันใดอีก เพียงแค่เข้าไปเรียนในสำนักเชินเป็พอ
แต่เมื่อมองไปทางเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งนั้น บัดนี้กำลังนั่งจับมือกันและกัน ริมฝีปากของราชครูที่ขยับไปขยับมาอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ จะกล่าวบางอย่างก็พลันหุบลง สุดท้ายจึงไม่ได้กล่าวอันใดออกมา
“เื่ที่สามนั้นเกี่ยวข้องกับดินของแคว้นจิง”
นายท่านสามระหว่างพูดก็ชี้ไปทางอาวุธที่มัดรวมกันไว้ข้างกาย เขาไม่ได้หันไปมองแม่นางหลัว แต่ก็ััได้ว่านางนั่งอยู่ตรงนั้น ดังนั้นใบหน้าคมสันของชายหนุ่มจึงเปี่ยมไปด้วยพลัง ยื่นมือออกไปยกอาวุธเ่าั้เตรียมพร้อมจะเอามาวางบนโต๊ะ
ทว่าเมื่อก้มลงไปก็พลันต้องร้อง “โอ้” ขึ้นมาเบาๆ เพราะว่าเขายกอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น
ช่างหนักเหลือเกิน
เสี่ยวอู่ที่อยู่ด้านข้างจึงรีบเข้าไปช่วยอย่างรู้งาน เด็กหนุ่มยกอาวุธเ่าั้ขึ้นมาอย่างง่ายดาย แล้ววางมันลงบนโต๊ะตรงหน้า
นายท่านสาม “...”
“ในนี้มีอาวุธของแคว้นจิงอยู่ชิ้นหนึ่ง ส่วนชิ้นอื่นล้วนเป็อาวุธธรรมดา เสี่ยวอู่ เ้าลองดูว่าเ้าสามารถแยกออกหรือไม่”
นายท่านสามเพิ่งจะกล่าวจบก็เห็นมืออ้วนๆ ของเสี่ยวอู่ยื่นออกไปเลือกหยิบตะบองด้ามดำๆ ด้ามหนึ่งออกมา
นายท่านสามที่คิดจะโอ้อวดความสามารถของตนต่อหน้าแม่นางหลัวอีกหน่อย ทว่าเขายังไม่ทันได้ยกมุมปากขึ้นยิ้มแสดงความภาคภูมิ มุมปากที่กำลังจะยกขึ้นนั้นพลันต้องแข็งค้างไปแล้ว
“เ้ารู้ได้อย่างไร” นายท่านสามถามขึ้นด้วยความสงสัย อาวุธกองนี้มีทั้งดีทั้งร้ายปะปนกัน ทว่าเ้าตะบองสีดำนี่หน้าตาธรรมดา ทั้งไม่ได้ดึงดูดสายตาแม้แต่น้อย
เสี่ยวอู่ยกมือขึ้นเกาศีรษะก่อนจะตอบ “วันนี้ยามลงจากเขา ข้าเห็นภิกษุรูปหนึ่งถือไว้ด้ามหนึ่งเช่นกัน ดูแล้วช่างร้ายกาจนัก มองไปก็คล้ายกับเ้าด้ามนี้ อีกทั้งข้าดูๆ ไปแล้วก็คิดว่าไม่อาจสู้ชนะเขาได้แน่”
คนที่สามารถทำให้เสี่ยวอู่พูดว่าไม่อาจชนะได้ นายท่านสามได้ยินก็พลันนิ่งอึ้ง
เ้าเสี่ยวอู่คนนี้ั้แ่เริ่มต่อยตีมาก็ไม่เคยแพ้ใคร ยามต่อยตีก็สู้ยิบตาไม่ห่วงชีวิต ต่อยตีอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังมีแรงเยอะมาโดยกำเนิด
ไม่เหมือนอาลู่ที่มักจะสุภาพเรียบร้อย อีกฝ่ายเพียงได้เห็นใบหน้ายิ้มๆ ของเขา ยังไม่ทันรู้ตัวชีวิตก็หาไม่เสียแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันนายท่านสามกลับนึกชื่นชมเสี่ยวอู่มากกว่า
“เช่นนั้นเ้าลองใช้ไม้นี่ทดสอบอาวุธชิ้นอื่นดู” เื่ภิกษุรูปนั้นนายท่านสามคิดว่าจะเก็บไว้ถามภายหลัง บัดนี้เื่ตรงหน้าสำคัญกว่า
เสี่ยวอู่ใช้ตะบองในมือเคาะลงไปกับพื้นครั้งหนึ่ง มีที่วางอยู่บนพื้นหินก็พลันม้วนงอทันที
ต่อมาจึงลองใช้ตะบองด้ามอื่นมาเคาะตะบองด้ามนี้ดู ทว่าเ้าตะบองนี้กลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เห็นเพียงแค่ประกายไฟเล็กๆ ที่ปะทุขึ้นมา
เสี่ยวอู่ร่างกายกำยำล่ำสัน ยามที่กำลังทดสอบอาวุธเหล่านี้เขาก็ทำได้งดงามน่ามองนัก
นายท่านสามกลัวว่าท่านอาจารย์จะไม่คุ้นชิน จึงได้ลากเขามานั่งข้างตนเอง แล้วจึงชวนคุยเื่ฟ้าดินพร้อมด้วยรอยยิ้มเป็มิตร
อาลู่เองก็กระตือรือร้นอยากจะลองเช่นกัน
“เสี่ยวอู่ เ้าลองใช้มีดของข้าดู” ในปีนั้นเขาเก็บหีบที่ใส่ร่างน้องสาวขึ้นมาก็พบว่ามีมีดเล่มนี้ติดมาด้วย อีกทั้งมีดเล่มนี้ยังแหลมคมนัก เขาเองก็ยังไม่รู้ว่ามันทำจากวัสดุอะไร บางทีอาจเป็อาวุธจากแคว้นจิงก็เป็ได้
“มาเลย” เสี่ยวอู่เดิมทีก็นึกริษยามีดเล่มนี้ของพี่ชายอยู่แล้ว ทว่ากลับไม่เคยอยาก เขานั้นชื่นชอบอาวุธชิ้นใหญ่มากกว่า
ใต้แสงจันทร์กระจ่าง อาลู่ล้วงมีดเล่มนั้นออกมา ด้านนอกใช้ผ้าเนื้อหยาบห่อเป็ฝัก ยามเมื่อมีดออกจากฝักก็สะท้อนแสงวาบคราหนึ่ง
ในขณะเดียวกันที่นายท่านสามกำลังสนทนากับราชครูอยู่ ทันใดนั้นลำคอก็พลันตีบตันราวกับใครมาบีบไว้ แม้ปากจะยังอ้าค้าง แต่กลับกล่าวอะไรไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ