บัดนี้ทั้งสองตระกูลยังขาดแค่การประกาศออกไปว่าจะแต่งโม่เสวี่ยฉงเป็ภรรยาที่มีศักดิ์เสมอภรรยาเอก แต่เนื่องจากยังไม่มีการคัดเลือกฮูหยินซื่อจื่อให้ซือหม่าหลิงอวิ๋น และเกรงว่าจะมีผลกระทบกับการแต่งภรรยาเอกของเขา ดังนั้นจึงยังไม่ประกาศเื่นี้ออกไป แต่โม่ฮว่าเหวินย่อมรู้แจ้งแก่ใจ
ทั้งสองจวนต่างปรึกษาหารือลุล่วงไปด้วยดี ปรกติก็ไปมาหาสู่อย่างอบอุ่นเป็ที่รู้กันไปทั่วเมืองหลวง เื่ของโม่เสวี่ยฉงในป่าเหมยก็ถูกกลบเงียบไปนานแล้ว เหลือเพียงเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นกะทันหันในวันนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างอิจฉาซือหม่าหลิงอวิ๋นที่ได้แต่งธิดาของผู้ตรวจการพระนครมาเป็อนุภรรยา
เื่ที่เปิดเผยให้สาธารณะรับรู้เช่นนี้ หากโม่เสวี่ยฉงเกิดบิดพลิ้วยกเลิกงานแต่ง ผู้ที่เสียหน้าอย่างยิ่งใหญ่ย่อมเป็จวนเจิ้นกั๋วโหว
หากแม้แต่อนุภรรยาคนหนึ่งยังไม่อาจรักษาไว้ได้ จวนเจิ้นกั๋วโหวคงไม่ต้องแต่งภรรยาเอกกันแล้ว
เื่นี้สาวใช้ของจวนโม่คนหนึ่งเข้ามาแจ้งข่าว เดิมทีฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวก็มิได้ใส่ใจ แต่พอมาใคร่ครวญภายหลังก็รู้สึกผิดปรกติ อารามร้อนใจจึงส่งคนไปตามซือหม่าหลิงอวิ๋นกลับมา จวนโม่ไม่มีฮูหยินใหญ่ โหวฮูหยินอย่างนางไม่ควรลดตัวไปเยี่ยมเยียนอนุภรรยาเ่าั้ แต่จวนเจิ้นกั๋วโหวก็มีบุรุษเพียงคนเดียวคือซือหม่าหลิงอวิ๋นที่สามารถไปจวนโม่เพื่อดูว่าเกิดเื่อะไรขึ้น และเหตุใดจึงส่งข่าวมาเยี่ยงนั้น
“เดี๋ยวเ้าไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้วพักผ่อนสักครู่ก่อนเถิด จวนโม่คิดจะถอนหมั้นก็มิได้ง่ายดายปานนั้น บัดนี้คนรู้กันไปทั่วเมืองหลวง แม้คุณหนูสี่ไม่พอใจแล้วจะทำอย่างไรได้” เห็นบุตรชายกลับมาในสภาพทุลักทุเล หน้าตามอมแมม เสื้อผ้ามีแต่ฝุ่นดิน ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวก็ยิ่งไม่พอใจโม่เสวี่ยฉงั้แ่ยังมิได้พบหน้า ่ฉลองวันตรุษยังมิวายก่อเื่ หากไม่เห็นแก่สถานะของโม่ฮว่าเหวินนางยังคิดจะไปจวนโม่ยกเลิกการหมั้นหมายนี้ด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ
“ไม่เป็ไรหรอกท่านแม่ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลูกจะออกไปจวนโม่เลย คราก่อนใต้เท้าโม่เอ่ยปากไว้ว่าหากมีเวลาว่างให้ไปเยือนบ่อยๆ ได้” ซือหม่าหลิงอวิ๋นจำต้องระงับอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่เต็มอกไว้ก่อน แล้วปลอบประโลมมารดา
โม่เสวี่ยฉงเป็บุตรสาวที่ไร้ความโดดเด่นที่สุดในบรรดาธิดาทั้งสามของสกุลโม่ ซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่เคยคิดจะชายตามองอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดกลับต้องตบแต่งนางเข้าจวน ท่านแม่ยังมีความประสงค์ให้นางแต่งเข้ามามีฐานะเทียบเท่าภรรยาเอก เดิมทีเขาก็รู้สึกอกไหม้ไส้ขมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่ออวิ๋นอี้ชิวกล่อมสองสามประโยคจึงตัดสินใจไปเจียงหนาน ด้วยคิดว่าหากไม่ต้องเจอหน้าใจก็คงไม่กลัดกลุ้ม
นึกไม่ถึงว่าขนาดนี้นางยังวุ่นวายไม่เลิก คิดอยากจะเป็บ้านเอกของตนเองจริงๆ หรืออย่างไร นางช่างกล้าฝันเฟื่อง หากจำเป็ต้องทำเช่นนั้น ไม่สู้แต่งโม่เสวี่ยิ่เข้ามาไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็สวยอ่อนหวานและดูมีระดับกว่า ไหนเลยจะมีโอกาสมาถึงบุตรอนุภรรยาที่ไม่มีอะไรสะดุดตาเลยแม้แต่น้อยเช่นนาง
“ตามใจเ้า หลังจากพูดคุยกับใต้เท้าโม่ชัดเจนแล้วก็รีบกลับมาเร็วหน่อย แม่เตรียมไก่ตุ๋นไป่เหอ[1] ที่เ้าโปรดปรานที่สุดไว้ ตั้งไฟตุ๋นบนเตามาสามชั่วยามแล้ว” บุตรชายของนางมีความเป็ผู้ใหญ่ รู้รุกรู้ถอยและมีเหตุผล เป็ความภาคภูมิใจของจวนเจิ้นกั๋วโหว โม่เสวี่ยฉงทำให้บุตรชายสุดที่รักของนางต้องรีบเดินทางกลับมาจนเหงื่อโชกทั้งที่อากาศหนาวจัด แล้วไยนางจะไม่นึกชิงชังสตรีที่น่ารังเกียจเยี่ยงนั้นเล่า
หลังจากอำลามารดากลับมาที่ห้องของตนเอง ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อย เตรียมของขวัญสี่อย่างแล้วรีบไปจวนโม่ทันที แม้อีกฝ่ายจะส่งข่าวมาแบบนั้น แต่เขาก็ไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย
ทว่าทันทีที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นย่างเท้าเข้าประตูใหญ่จวนโม่ ก็ถูกโม่ซิ่วมาเชิญตัวไป
…
เพลงพิณเสนาะหูแว่วมาจากศาลาบนเขาหินจำลอง บางครั้งก็เหมือนเสียงกระซิบกระซาบจากบ่อน้ำพุรื่นสราญ พร่างพิรุณโปรยปราย บางคราก็ฟังดูคล้ายไข่มุกร่วงกราวบนจานหยก สถานที่อันงดงามหรูหราประดุจวังเซียนถูกโอบล้อมด้วยกระแสเสียงแห่งธารารวยระรื่น ให้ความรู้สึกเป็อิสระดั่งเมฆาลอยล่องเหนือท้องนภาอันกว้างไกล
“ติ๊ง...” ทันใดนั้นเสียงพิณพลันหยุดชะงัก
นิ้วเรียวขาวกระจ่างวางทาบนิ่งบนสายโลหะสีนิล
“เป็อย่างไรบ้าง” น้ำเสียงนุ่มชวนเคลิบเคลิ้มหลงใหลเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งถามขึ้น
“เรียนคุณชาย ทั้งจวนิกั๋วกงและผิงกั๋วกงล้วนไม่มีทั้งสิ้น ห้องหนังสือทุกห้องของทั้งสองจวน แม้กระทั่งห้องหนังสือเล็กของเรือนชั้นในก็ให้คนไปตรวจสอบหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบสิ่งของที่คุณชาย้าเลยขอรับ” บุรุษผู้หนึ่งคุกเข่ารายงานอยู่เบื้องหน้าไป๋อี้เฮ่า
“ไปตรวจสอบบุตรสาวที่ออกเรือนของทั้งสองจวนให้ละเอียด ได้ยินว่าสินเดิมของเ้าสาวมีแต่ของงดงามล้ำค่า ไม่แน่ว่าสิ่งที่เรากำลังตามหาอาจปนอยู่ในนั้นก็เป็ได้”
“ขอรับ แล้วจวนฝู่กั๋วกงกับติ้งกั๋วกงเล่า?”
“รอก่อน ไม่ต้องรีบ หากจวนกั๋วกงทั้งสี่ตระกูลเกิดเื่พร้อมกัน ผู้ร้อนใจจะมิได้มีเพียงพวกเรา” ใบหน้างามประดุจหยกของไป๋อี้เฮ่าระบายยิ้มพราวพร่างสูงสง่า ดวงตาสงบนิ่งใสพิสุทธิ์ปานหิมะ นิ้วเรียววาดไปบนสายพิณแล้วบรรเลงท่วงทำนองแว่วหวานละมุนขึ้นอีกครา
ผู้รู้จักของสิ่งนั้นมิได้มีเพียงเขา ที่ผ่านมาเพราะยังดูเชิงกันอยู่จึงยังไม่มีผู้ใดลงมือ บัดนี้ตนเองเริ่มเคลื่อนไหว คนอื่นๆ ย่อมไม่อยู่นิ่ง แต่ของสิ่งนั้นอยู่ที่ใดจนบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว คนของตนซึ่งแฝงอยู่ในจวนกั๋วกงทั้งสี่ก็ไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน หลายปีผันผ่านทุกจวนต่างมีบุตรสาวออกเรือนไปมากมาย จึงมิอาจบอกได้ว่าของที่ทุกคนตามหาอยู่ในมือผู้ใด
ต่างฝ่ายต่างต้องอาศัยความสามารถของตนเอง ประหนึ่งคนตาบอดคลำช้างด้วยกันทั้งสิ้น
เดิมทีตนเองก็ไม่อยากลงมือก่อน แต่เพราะมีบางคนเริ่มทนรอไม่ไหว จึงต้องกวนน้ำจับปลาไปพลางๆ ถึงอย่างไรทุกฝ่ายต่างก็ตามค้นหากันอยู่ หากให้อยู่เฉยๆ ก็อาจเป็ที่ระแวงสงสัยได้
รอยยิ้มสายหนึ่งผลิบานอยู่บนมุมปาก สว่างเจิดจ้าประหนึ่งแสงตะวันเดือนสาม ดวงตาสีนิลกระจ่างบริสุทธิ์ทอประกายอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตร มองเพียงแวบเดียวก็คล้ายถูก่ชิงลมหายใจ
บุรุษรูปงามสุขุมคัมภีรภาพ คล้ายปลีกตัวออกมาจากโลกียวิสัย เหมือนมีตัวตนแต่ไร้ตัวตน ภายใต้แววตาอบอุ่นอ่อนโยนกลับซ่อนความอ้างว้างเดียวดายสุดหยั่งถึง ดวงหน้าอาบอิ่มไปด้วยรอยยิ้มสูงสง่า ทว่าเ็า... และห่างเหินอย่างยิ่ง ไม่ต่างอันใดกับเมฆาและม่านหมอกที่ปกคลุมขุนเขา คนสามัญมิอาจเข้าใกล้ชั่วนิรันดร์กาล
“พวกเราร่วมผสมโรงสร้างความปั่นป่วนอยู่ทางนี้ กวนกระแสให้ขุ่นเข้าไว้ ส่วนเื่ทางนั้นไม่ต้องไปใส่ใจ ปล่อยให้พวกเขาแผ่กิ่งก้านสาขากันไปก่อน ข้าอยู่ในแคว้นฉินยิ่งทำให้พวกเขาย่ามใจเคลื่อนไหวกันอย่างอุกอาจ ดูสภาพดินฟ้าอากาศยามนี้ ออกกำลังอุ่นร่างกายสักหน่อยคงไม่เลว” นิ้วมือของไป๋อี้เฮ่าโลดแล่นอยู่บนสายพิณ กล่าวเสียงเนิบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“ขอรับคุณชาย” องครักษ์ตอบรับด้วยสีหน้ากระจ่างใจ
สถานการณ์แคว้นเยี่ยน่นี้มิอาจใช้คำว่า ‘เคลื่อนไหว’ มาบรรยายได้แล้ว เพราะการต่อสู้มีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง แต่รัชทายาทเพียรแต่ทำเหมือนไม่รู้ว่าคนเ่าั้กำลังคิด่ชิงบัลลังก์ของเขาอยู่ สนใจแต่รอชมเื่สนุกอยู่ข้างๆ แล้วจะมิให้องครักษ์อย่างเขาถอยออกมาทั้งเหงื่อเย็นไหลท่วมศีรษะได้อย่างไร โชคดีที่ตนเองอยู่รับใช้เ้านายพระองค์นี้มานาน และเลื่อมใสในความสามารถอย่างลึกซึ้ง การที่ไม่ทรงเข้าร่วมย่อมมีเหตุผลส่วนตัว พวกตนเพียงติดตามนายไปจนตัวตายก็พอ
เสียงพิณครวญแว่วลอยไปไกลอย่างไร้ทุกข์กังวล สูงส่งสง่างามเทียมจันทร์กระจ่างฟ้า
นอกเหนือจากไป๋อี้เฮ่า โม่เสวี่ยถงก็ดีดพิณอยู่เช่นกัน แต่เนื่องจากจิตใจว้าวุ่นสับสนทำให้ท่วงทำนองของนางไม่อาจเทียบกับไป๋อี้เฮ่าได้เลย มิใช่เพราะฝีมือของนางอ่อนด้อย ชาติก่อนโม่เสวี่ยถงเก็บตัวอยู่ในจวน ยามเหงาก็มีเสียงพิณเป็เพื่อนปลอบประโลมจิตใจ ต่อมาเมื่อแต่งงานไปกับซือหม่าหลิงอวิ๋น เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ในห้อง ทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะฝึกฝนและศึกษาจากตำราที่มารดาทิ้งไว้ให้ ด้วยเหตุนี้นางจึงแตกฉานในเชิงพิณไม่น้อย
แต่วันนี้นางไม่อาจควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งได้ นิ้วมือที่มิได้ผสานใจยามกรีดกรายไปบนสายพิณจึงเกิดเป็ท่วงทำนองสับสนดั่งสายน้ำที่ซ่านเซ็น
“คุณหนูเ้าคะ เมื่อครู่คุณหนูหลันให้คนส่งผลไม้สดมาให้ บ่าวเพิ่งเอาไปล้างมา คุณหนูดูสิเ้าคะว่าอยากรับประทานหรือไม่” โม่เยี่ยยกจานผลไม้ที่น้ำยังเกาะพราวอยู่เดินเข้ามา ผลไม้สดในฤดูกาลนี้มิได้หาง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองหลวงซึ่งอยู่ทางเหนือที่มีอากาศเย็นจัดเช่นนี้
“ข้าไม่อยากกิน พวกเ้าเอาไปแบ่งกันเถอะ” โม่เสวี่ยถงกล่าวเสียงเรียบ มิได้ละมือออกจากสายพิณ
“น้ำใจจากคุณหนูหลัน พวกบ่าวไม่กล้าอาจเอื้อมหรอกเ้าค่ะ ได้ยินว่าผลไม้มีไม่มาก จึงส่งมาให้พวกเราจานหนึ่ง เหล่าไท่ไท่ คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่ต่างก็ได้รับคนละจาน แต่คนอื่นๆ แม้แต่อี๋เหนียงทั้งสองก็ไม่ได้รับเ้าค่ะ” โม่เยี่ยยิ้มน้อยๆ พลางวางจานผลไม้ไว้ข้างชุดน้ำชาที่อยู่เบื้องหน้าของโม่เสวี่ยถง
คิ้วเรียวทั้งสองของโม่เสวี่ยถงมุ่นเล็กน้อย ไม่แม้แต่จะชำเลืองผลไม้จานนั้น แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะเล่นพิณอีกแล้ว นางรู้สึกวุ่นวายใจ เดิมทีตั้งใจจะใช้เสียงพิณช่วยปลอบประโลม ปรกติยามที่ตนเองรู้สึกหงุดหงิด เพียงแค่ดีดพิณจิตใจก็สงบลงได้ แต่วันนี้ไม่ว่าอย่างไรจิตใจก็ไม่สงบนิ่ง
มือเล็กกดทาบลงไปบนสายพิณ สายตาเลื่อนไปที่จานผลไม้สด “เอาผลไม้ออกไป หากพวกเ้าอยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็โยนทิ้งไป”
“โม่เยี่ยยกออกไปก่อน คุณหนูท้องไส้ไม่ค่อยดี อากาศหนาวเย็นเยี่ยงนี้กินอะไรต้องระวัง หากไม่สดใหม่ อาจไม่สบายได้” โม่หลันสังเกตสีหน้าของโม่เสวี่ยถงอยู่ด้านข้างก็รีบเข้ามากำชับกับโม่เยี่ย
โม่เยี่ยเห็นโม่หลันกล่าวมีเหตุผลจึงยกจานผลไม้ออกไป นางเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าสุขภาพของคุณหนูเป็อย่างไร เมื่อนึกถึงร่างกายที่อ่อนแอของผู้เป็นายก็เห็นคล้อยตามว่าต้องระมัดระวังเื่อาหารการกิน
โม่อวี้อุ้มปิ่นโตอาหารใบใหญ่กลับเข้ามา ตัวยังไม่ทันพ้นประตูก็ได้ยินเสียงบ่นอุบว่าหนาวจนมือจะแข็งอยู่แล้ว โม่หลันยิ้มหัว ในขณะรับปิ่นโตมาก็พูดกระเซ้าเย้าแหย่ “วันนี้มีกับข้าวเพิ่มหรือไร ไฉนจึงใส่ปิ่นโตใบใหญ่ขนาดนี้ ทุกทีเห็นใส่ปิ่นโตไม้หนานมู่มานี่หน่า แต่ว่าปิ่นโตไม้ไผ่ก็ให้บรรยากาศไปอีกแบบ น้ำหนักเบาใส่ของได้เยอะกว่า ความจริงน่าจะถือมาสบายๆ เหตุใดเ้าจึงทำราวกับว่าทั้งหนาวทั้งหนักเยี่ยงนั้นเล่า”
“คุณหนูหลันผู้นั้นเป็คนจัดการน่ะสิ นางเห็นปิ่นโตอาหารของพวกเราแล้วก็ติว่าเทอะทะและหนักเกินไป ใส่อาหารก็ได้ไม่เยอะ บางครั้งหากจะเพิ่มอาหารก็ต้องใช้ถึงสองปิ่นโต ไม่สะดวกต่อการใช้งาน จึงส่งปิ่นโตใบใหม่มาให้พวกเราเรือนละหนึ่งชุด ทั้งสวยทั้งสะดวกสบาย ใช้งานได้ดียิ่ง” โม่อวี้รับเตาอุ่นมือจากโม่เยี่ยมาอุ้มไว้ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เป็ของจากหลันซินหยูอีกแล้วหรือ... โม่เสวี่ยถงนิ่วหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกตเห็น นับั้แ่คุณหนูหลันผู้นี้เข้ามาอยู่ในจวนก็เที่ยวตีสนิทกับผู้คนภายในเรือนต่างๆ มิได้หยุดหย่อน ดูจากปฏิกิริยาของโม่อวี้ก็รู้ได้ว่าผลลัพธ์ไม่เลว หญิงสาวที่ยังมิได้ออกเรือน แต่สามารถจัดการงานเรือนได้คล่องแคล่วราวกับเป็สตรีที่แต่งงานแล้ว โม่เสวี่ยถงพลันรู้สึกว่าความวิตกกังวลของตนเองเป็เื่น่าขันยิ่ง
นี่คือข้อแตกต่างของสตรีที่เกิดในตระกูลสูงกับหญิงสาวจากครอบครัวธรรมดาสามัญ แน่นอนว่าหญิงที่เกิดในครอบครัวเล็กๆ ย่อมมีโอกาสได้ัักับผู้คนมากมายมาั้แ่เยาว์วัย จึงสามารถเข้ากับผู้คนได้อย่างอบอุ่น แต่มิได้มีท่าทางสุภาพเรียบร้อยดูสุขุมแบบสตรีในสกุลใหญ่ ซึ่งปรกติแล้วจะไม่ออกไปปรากฏตัวหรือเผยใบหน้าให้ใครเห็น แต่ข้อจำกัดในเื่นี้ของคุณหนูจากสกุลเล็กมีน้อยกว่ามาก
หลันซินหยูเป็คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน มาอยู่จวนโม่ก็ควรจะสงบเสงี่ยมรักษาธรรมเนียมของกุลสตรี ได้รับคำเชิญจากคนในจวนก่อนจึงค่อยออกไปพบปะผู้คน มิใช่ทำตัวเ้ากี้เ้าการ ไร้ระเบียบมารยาท แต่เมื่อชาติที่แล้วทั้งที่ตนเองรั้งตำแหน่งภรรยาเอกก็ยังถูกสตรีเช่นนี้ข่มเหงโดยที่ทำสิ่งใดไม่ได้เลย โม่เสวี่ยถงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไฉนครานั้นตนเองจึงโง่งมนัก แม้แต่สตรีแบบนี้ยังสู้ไม่ได้
อาจเป็เพราะชาติที่แล้วถูกสตรีผู้นั้นสร้างความกดดันอย่างหนัก เมื่อเห็นนางส่งผลไม้มาให้จึงรู้สึกขวางหูขวางตา ยิ่งเห็นปิ่นโตของนางก็ยิ่งรู้สึกรำคาญใจ เสมือนว่าหลันซินหยูเป็หินก้อนใหญ่ที่กดทับหัวใจของตนเองอยู่
สตรีที่อยู่กับโม่เสวี่ยิ่และซือหม่าหลิงอวิ๋นมาได้นานขนาดนี้ ย่อมเป็คนที่รับมือยากแน่นอน นางไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไปเป็บ้านเล็กของซือหม่าหลิงอวิ๋น แต่กังวลถึงบิดาของตนเองมากกว่า หลันซินหยูเข้ามาอยู่ในจวนแบบนี้ อย่างไรก็ต้องได้พบกับท่านพ่ออยู่บ่อยครั้ง ยามนั้นท่านแม่ยังป่วยหนัก ท่านพ่อย่อมไม่มีอารมณ์จะสนใจผู้ใดทั้งสิ้น แต่ตอนนี้เล่า?
……………………………………………………………………………………………………...
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ไก่ตุ๋นไป่เหอ หรือไก่ตุ๋นกับดอกลิลลี่ เป็เมนูอาหารจีนชนิดหนึ่ง กลีบดอกลิลลี่สามารถนำมาทำขนมหรืออาหารได้ ดอกแห้งยังมีสรรพคุณเป็ยา ล้างพิษ บำรุงม้าม มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร ชะลอความชรา