เป็ประโยคที่ฟังดูมิมีกระไร แต่กลับทำให้หว่านฉือตกอยู่ในสถานการณ์น่าอายได้
นางเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังแล้วมองไปทางหรงซิว
แววตาของบุรุษหนุ่มเยือกเย็นเพียงแค่เห็นข้างไปมองอวิ๋นอี้ราวกับว่ามิได้สนใจสายตาของนางเลย
หว่านฉือรู้สึกอ้างว้างในใจหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเก็บความรู้สึกไว้ตอนที่กำลังจะแก้ตัวว่าเป็เพียงแค่ความบังเอิญจริงๆ ก็มีเสียงสูงดังออกมาจากทางนอกประตู “ยังต้องถามอีกหรือเพคะ! เป็ความบังเอิญปลอมๆ น่ะสิ”
นางขมวดคิ้วรู้สึกว่าเสียงนั้นมีความคุ้นหู ยังไม่ทันคิดออกว่าเ้าของเสียงเป็ผู้ใดก็เห็นหน้าของซูเมี่ยวเออร์โผล่เข้ามา
สีหน้าของหว่านฉือยิ่งแย่ลงในทันใด อีกฝ่ายกลับตั้งใจยิ้มให้นางรอยยิ้มนั้นยิ่งมองก็ยิ่งขัดหูขัดตาทำให้นางรำคาญใจมาก
“วันนั้นที่อยู่ในพระราชวังข้าได้ยินมาน่ะเพคะ ท่านพี่หว่านฉือรู้ว่าท่านพี่ซิวจะเดินทางไกล นางคิดว่าท่านพี่จะต้องพานางออกมาด้วยแน่” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็อุดปากยิ้ม “จากนั้นข้าก็แอบรู้มาว่าท่านพี่ซิวออกเดินทางแต่มิได้พานางมาด้วย ข้ายังตลกอยู่เลยเพคะ”
“ซูเมี่ยวเออร์!เ้าพูดไร้สาระ!” หว่านฉือคิดที่ใดกันว่าปากของนางจะมิมีหูรูดเช่นนี้ทำเอานางหน้าแดงไปเสียหมด โกรธจนจ้องนางตาเขม็ง
“ข้าเปล่านะเพคะ!” ซูเมี่ยวเออร์ชูคอขึ้นเอามือเท้าสะเอวข้างหนึ่งอีกมือหนึ่งจับจมูก “ข้าเดานะว่าท่านพี่หว่านฉือต้องกลัวที่จะเสียหน้า ถึงได้ตามมาสร้างเื่บังเอิญ”
น้ำตาของหว่านฉือสั่งได้จริงๆ นางมุ่ยปากมองหรงซิว “ฝ่าาเพคะข้าเพียงคิดว่าอยู่ที่จวนนั้นน่าเบื่อ จึงอยากออกมาเที่ยวเล่นบ้าง แน่นอนว่า...ข้าก็คิดว่าอยากจะเจอท่าน”
“ตามมาเช่นนี้แล้ว มีกระไรทำให้ไม่กล้ายอมรับอีกหรือเพคะ!” ซูเมี่ยวเออร์รำคาญท่าทีปลอมเปลือกของนางมาก น้ำเสียงยิ่งพูดด้วยความไม่พอใจ “ท่านพี่ดีไปหมดเสียทุกอย่าง เพียงแต่ว่าท่านปลอมเปลือกมาก คนเขาเห็นก็รำคาญนะเพคะ”
อวิ๋นอี้ที่ดูความโกลาหลอยู่นานจู่ๆ มุมปากก็กระตุกขึ้นในใจนางบอกว่านางทั้งสองก็ปลอมพอๆ กันไม่จำเป็ต้องห้าสิบก้าวหัวเราะหนึ่งร้อยก้าวเลยจริงๆ [1]
“น้องเมี่ยวเออร์เ้าไปโกรธผู้ใดมา พี่มิเห็นจะฟังเื่ที่เ้าพูดรู้เื่เลย...” หว่านฉือยังหน้าด้านแสดงต่อนางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปลายตาแล้วเดินไปด้านหน้าหรงซิว “ฝ่าาเพคะ หว่านฉือมาถึงที่นี่แล้วให้ข้าไปกับท่านด้วยเถิดนะเพคะ ท่านต้องทำงานราชการข้าจะได้อยู่เป็เพื่อนพูดคุยกับท่านพี่พระชายา นางจะได้ไม่เบื่อเกินไป”
อย่าเป็เช่นนี้สิ!
อวิ๋นอี้รีบส่ายหน้านางยิ้มให้แล้วตบหลังมือของหว่านฉือ “น้องหว่านฉือช่างใส่ใจจริงๆ ทว่าพี่ชอบอยู่คนเดียวมาก สุขภาพเ้าไม่ค่อยดี เ้ากลับจวนไปเถิดนะ”
พูดจบซูเมี่ยวเออร์ก็หัวเราะขึ้นมา “หากให้ข้าพูดท่านพี่หว่านฉือกลับเมืองหลวงไปเถิดเพคะ ร่างกายของท่านออดๆ แอดๆ หากเกิดเื่กระไรขึ้น ภาระจะมาตกอยู่ที่พระชายาเสียหมด จะเป็การให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวนะเพคะ!”
“น้องเมี่ยวเออร์ข้าไม่รู้ว่าข้าทำสิ่งใดให้เ้ามิพอใจ เ้าถึงพูดร้ายกับข้าเช่นนี้!” สิ่งที่หว่านฉือถนัดที่สุดก็คือการบีบน้ำตา บทจะไหลก็ไหลราวกับเื่เล่นเสียเช่นนั้น
“ข้าพูดร้ายกับท่านที่ใดกันเพคะ? เมี่ยวเออร์ก็เพียงแค่พูดการคาดเดาท่านพี่จะคิดเล็กคิดน้อยทำไมกัน! หรือว่าท่านพี่เป็เช่นนั้นจริงๆ?”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองประชันฝีปากกันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ควบคุมตอนนี้เกรงว่าจะเกิดการตบตีกันแน่
บุรุษหนวดม้วนมองดูทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างลำบากใจในใจก็คิดได้คร่าวๆ แล้วว่าจะคิดค่าเสียหายจากหรงซิวเท่าไหร่
สายตาของเขามองไปหาคนสองคนที่สายตาเคร่งขรึมทั้งคู่
อวิ๋นอี้ยืนกอดอกราวกับไม่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ ในแววตาแฝงไปด้วยความคาดหวังอย่างตื่นเต้น และพระเอกของเื่นี้หรงซิวกลับขมวดคิ้วแน่นดูราวกับทั้งหมดความอดทนและโกรธจัด
“พอได้แล้ว!”
จู่ๆ เสียงของบุรุษหนุ่มก็ดังขึ้น ทำให้สตรีสาวที่เถียงกันอยู่ทั้งสองมองมาอย่างพร้อมเพรียง
“ฝ่าา...” หว่านฉือเม้มปากดูทั้งเขินอายทั้งกลัว
สายตาของหรงซิวเหลือบไปทางใบหน้าของพวกนาง “เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งพวกเ้ากลับไป”
“ข้าไม่กลับ!”
“ข้าก็ไม่กลับ!”
ทั้งสองคนพูดเหมือนกัน
ซูเมี่ยวเออร์พูดก่อนว่า “ท่านพี่ซิว! ข้าบังเอิญมาเจอท่านพี่จริงๆ นี่เพคะ! พวกเราก็แค่ไปทางเดินกันมีกฎที่ใดที่ให้ท่านใช้ทางเส้นนี้ได้ผู้เดียวหรือเพคะ? อย่างไรข้าจะไม่กลับไป ท่านพาข้ากลับไปข้าก็จะมาอีก!”
สีหน้าของหรงซิวยังคงเป็เช่นเดิมไม่เห็นสีหน้าผิดปกติใดๆ
มีแม่เสือสาวซูเมี่ยวเออร์พูดก่อนแล้ว ในตอนที่หว่านฉือเอ่ยปากพูดเหตุผลของตนเองบ้าง “หว่านฉือเพียงแค่อยากออกมาพักผ่อน...เวลาของข้าไม่มากนัก เพียงแค่อยากจะออกไปข้างนอกบ้าง”
เวลาไม่มากนี่มันท่าไม้ตายเลยนะ
แม้ว่าจะมองดูนางเติบโตมาพร้อมกัน หรงซิวก็เอ่ยปากปฏิเสธคำขอของนางมิได้
อวิ๋นอี้หรี่ตาลงมองไปที่หว่านฉืออย่างเยือกเย็นแล้วก็ตัดสินใจ “ฝ่าาเพคะ ในเมื่อเราบังเอิญมาเจอกันแล้ว เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิดเพคะ จู่ๆ ข้าก็คิดว่ามีน้องสองคนไปด้วย ระหว่างทางนี้น่าจะมีเื่สนุกมากมายเอาเป็เช่นนี้ก็แล้วกันเพคะ ตอนนี้ข้าก็เหนื่อยล้ามากแล้ว พวกเราไปหาห้องพักผ่อนกันก่อนเถิดเพคะ!”
แสงสว่างสีขาวส่องเข้ามาด้านในในตอนที่ส่องเข้ามาระหว่างช่องหน้าต่างก็ถูกตัดเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หรงซิวถูกแดดส่องลงมาที่ไหล่ มองดูนางอย่างคิดสงสัยอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยปากพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นฟังฮูหยินก็แล้วกัน”
“ฝ่าาดีที่สุดเลยเพคะ” อวิ๋นอี้ขยิบตาให้เขาอย่างออดอ้อน ทว่ารอยยิ้มของนางมิได้ชัดเจนนัก
แสดงกันจนเหนื่อยหมดแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาสิ้นสุดเสียที บุรุษหนวดม้วนวางใจลงได้มองดูสถานการณ์แล้วก็เข้าใจขึ้นมาว่าถึงเวลาที่ตนเองต้องทำงานแล้ว
เขาเคลียร์คอแล้วพูดอย่างเคารพกับกลุ่มคน “เช่นนั้นฝ่าา พระชายาพ่ะย่ะค่ะ พวกเราไปที่ห้องกันก่อนดีหรือไม่?”
“ไปเถิดนำทางไป”
คิดถึงสถานะของหรงซิวแล้ว บุรุษหนวดม้วนก็จิตใจแจ่มใสหาห้องที่ดีที่สุดให้กับเขา
เขาเชิญทั้งสองคนเข้าไปด้านในแล้วลงไปจัดการอาหารเที่ยง
อวิ๋นอี้นวดเอวที่ปวดนั่งลงบนเบาะ จากนั้นบุรุษหนุ่มก็ตามเข้ามามือหนึ่งเข้ามาบีบไหล่นางทันใด“ข้าบีบให้ เ้านั่งลงเถิด”
นางชะงักเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมาแล้วพูดอย่างได้ใจ “ฝ่าายังจำเื่ที่สัญญากับข้าได้หรือไม่เพคะ?”
“อื้ม” หรงซิวออกแรงขึ้นเล็กน้อยแล้วจับกระดูกไหล่ของนาง “คิดไม่ถึงเลยว่านางจะมา”
“เช่นนั้นยังเป็วัวเป็ม้าให้ข้าอยู่หรือไม่เพคะ?” อวิ๋นอี้ปรับน้ำเสียงหยอกเย้าเขา “สัญญาเป็สัญญาหรือไม่นะ?”
“เป็สิ” หรงซิวตบแผ่นหลังของนาง “เ้านอนลงเถิด นอนลงจะสบายกว่า”
อวิ๋นอี้เชื่อฟังแล้วนอนลงบนเตียงนอนกางแขนกางขาอย่างสบาย “แล้วเมื่อใดจะให้ข้าขี่ฝ่าาเล่าเพคะ?”
“รอให้ถึงที่นั่นแล้วข้าจะให้เ้าขี่ทุกคืนเลย” หรงซิวพูดอย่าจริงจังไม่รู้ว่าเขาคิดกระไรอยู่ แล้วก็หัวเราะขึ้น “ข้าเป็วัวเป็ม้าให้เ้าให้ข้าทานหญ้าหรือไม่?” [2]
“......” อวิ๋นอี้ชะงักอยู่นานกว่าจะเข้าใจในความหมายแล้วก็ยกเท้าเตะเขาเบาๆ “ฝ่าาร้ายจริงๆ!”
เท้าของนางตกลง ถูกหรงซิวกอดไว้ทั้งสองโวยวายกันอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ทับลงมา พร้อมกับจับคางนางไว้ นางมองเขาอย่างจริงจัง “เ้าอยากให้ไปเจียงหนานด้วยจริงๆ หรือ?”
“ไปสิ” อวิ๋นอี้ขยิบตาอย่างมีความสุข “พวกนางอยากจะแย่งฝ่าากัน เช่นนั้นก็มาดูกันว่าจะมีความสามารถนั้นหรือไม่”
“เ้ามีความมั่นใจก็ดี” หรงซิวไม่อยากเข้าไปยุ่งเื่ของสตรีของนาง แต่ก็ยังไม่วางใจ “หากมีปัญหาให้บอกข้าทันทีนะ”
อยู่ในศาลาพักม้ากว่าหลายชั่วยามในตอนที่พระอาทิตย์ค่อยๆ ย้ายไปทางประจิมกลุ่มคนก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง
ซูเมี่ยวเออร์กับหว่านฉือมีกลุ่มคนของตนเองกระนั้นพวกนางจึงไปพร้อมกับพวกหรงซิว
ระหว่างทางทั้งเร่งรีบทั้งเหนื่อยล้ามิได้หยุดเลยทั้งเช้าทั้งกลางคืน ในตอนที่มีเวลาพักผ่อนทุกคนก็มิมีกะจิตกะใจไปทะเลาะประชันปากกัน ทำให้สตรีทั้งสามคนอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
ออกเดินทางจากเมืองหลวงมาจวนจะสิบวันแล้ว ในที่สุดก็มาถึงเจียงหนานหลางโจว
เชิงอรรถ
[1] ห้าสิบก้าวหัวเราะหนึ่งร้อยก้าว 五十步笑百步 หมายถึง คนที่มีความบกพร่องพอๆ กันแต่หัวเราะอีกฝ่าย
[2] ให้หญ้า 给草 เป็คำพ้องเสียงของคำสแลงที่มีหมายความว่าร่วมรัก