การปะทะกันเมื่อครู่ทำให้มู่เฟิงมีเืไหลออกมาจากมุมปากอีกครั้ง เวลานี้ฝูงชนที่รายล้อมอยู่โดยรอบต่างก็เงียบเสียงลงและจ้องมองไปที่มู่เฟิงด้วยความตะลึง ภายในใจของพวกเขามีความรู้สึกชื่นชมปรากฏขึ้น
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่มีวรยุทธ์เพียงระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าจะสามารถรับมือกับกระบวนท่าทั้งสามของซือถูคงได้!
ใบหน้าของซือถูคงพลันมืดครึ้มไม่น่ามอง เขาไม่เพียงไม่สามารถทำอะไรมู่เฟิงได้เท่านั้น แต่ยังได้รับความอัปยศจากการที่มู่เฟิงสามารถบีบให้เขาต้องถอยออกไปสองก้าวได้อีกด้วย
“เ้านี่สามารถรับมือกับพี่ใหญ่ซือถูได้ถึงสามกระบวนท่าจริงรึ!”
ดวงตากลมโตราวกับเมล็ดซิ่งของข่งเซวียนเอ๋อร์เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
“เพียงแค่กล่าวขอโทษข้ามันจะทำให้เ้าลำบากใจมากนักหรืออย่างไร?”
นางไม่เข้าใจในความทะนงตนของมู่เฟิง ไม่เข้าใจถึงความคิดของศิษย์ตระกูลมู่ที่ยอมตายแต่ไม่ยอมจำนนเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
ซือถูคงกำหมัดแน่น แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดอีก ตอนนี้มีผู้คนจับตามองเป็จำนวนมาก เขาจึงไม่อาจผิดคำพูดและลงมือไปมากกว่านี้ได้อีก
มู่เฟิงปรายตามองไปทางข่งเซวียนเอ๋อร์ ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างดูแคลน
“เ้าพอใจแล้วหรือยัง? แท้จริงแล้วเ้าก็เป็คนประเภทหาคนที่แข็งแกร่งกว่า เพื่อมารังแกคนที่อ่อนแอกว่าสินะ”
มู่เฟิงแสยะยิ้มอย่างเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่คิดสนใจข่งเซวียนเอ๋อร์อีก
“ข้า…”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ปากบางของนางอ้าแล้วหุบอยู่อย่างนั้นราวกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อเห็นเงาที่ทอดยาวลงมาตามแสงอาทิตย์อัสดงของเด็กหนุ่มที่กำลังเดินจากไปแล้ว ข่งเซวียนเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกขมขื่นและคับแค้นใจ
“มู่เฟิง...”
ซือถูคงมองตามแผ่นหลังของมู่เฟิงด้วยแววตาเย็นะเื
หลังจากเดินออกไปแล้ว ร่างกายของมู่เฟิงก็เริ่มโอนเอน เขาจึงรีบเข้าไปพิงต้นไม้ใหญ่ด้านข้างเพื่อประคองร่างของตัวเองไม่ให้ล้ม แต่เขากลับกระอักเืออกมาทันที
เขารับรู้ได้ว่าสภาพร่างกายของตัวเองในตอนนี้กำลังย่ำแย่ แม้ว่าจะเป็เพียงแค่สามกระบวนท่าธรรมดาๆ ของซือถูคง แต่เขาก็ยังต้องใช้พละกำลังทั้งหมดของตนเพื่อรับมือกับมัน อีกทั้งยังได้รับาเ็ภายในไม่น้อย
“ความแข็งแกร่ง...ดูเหมือนว่าข้าจะยังอ่อนแอเกินไป”
มู่เฟิงพึมพำก่อนจะยิ้มเย้ยหยันกับตัวเอง จากนั้นเขาก็กลืนยารักษาอาการาเ็ลงไป และประคองร่างเดินกลับไปที่เรือนพักอย่างเชื่องช้า
หลังจากกลับมาถึงห้องพักของตนแล้ว มู่เฟิงก็เริ่มการรักษาอาการาเ็ทันที โดยอาการาเ็นี้ต้องใช้เวลารักษาถึงสองวัน กว่าเืที่คั่งอยู่ภายในกายจะได้รับการชำระออกไปจนหมด เมื่อหายจากอาการาเ็แล้ว มู่เฟิงก็ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนและการบ่มเพาะวรยุทธ์อีกครั้ง
ณ น้ำตกที่อยู่ด้านข้างภายในเขตของสำนักศึกษา ทุกๆ วันมู่เฟิงล้วนใช้เวลาฝึกฝนอยู่ใต้น้ำตก เขายังคงใช้พลังปราณร้อยลูกปัดเพื่อฝึกการควบคุมและฝึกร้อยกระบี่หวนคืน
ในขณะเดียวกัน เขาก็ฝึกฝนก้าวปทุมเพลิงไปด้วย เขากำลังพัฒนาตัวเองขึ้นทีละน้อย ส่วนทักษะดาบ ทักษะหอกมู่เฟิงก็ไม่ได้ละเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังแบ่งเวลาเพื่อฝึกสลักลายเส้นด้วย
ด้านการสลักลายเส้น มู่เฟิงมุ่งเน้นไปทางโอสถและเครื่องรางเป็หลัก เพราะเครื่องรางเป็สิ่งที่ช่วยสนับสนุนการโจมตีได้เป็อย่างดี มู่เฟิงอาศัยพลังของมันช่วยให้สามารถรอดพ้นจากความตายมาได้หลายครั้งแล้ว
ตอนกลางคืน ในยามที่กำลังหลบใหล เขาก็ทำการบ่มเพาะวรยุทธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตัวเอง
วันเวลายังคงหมุนเวียนผ่านไป เพียงชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ภายในป่าลึกบนเทือกเขาเทียนอวิ่น เงาร่างสองร่างกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ความเร็วของพวกเขานั้นรวดเร็วเป็อย่างมาก
พรึ่บ!
ลำแสงอันแหลมคมสายหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านอากาศมาทางมู่เฟิง เด็กหนุ่มะโไปทางต้นไม้สูงต้นหนึ่ง ใต้ฝ่าเท้าของเขามีเปลวเพลิงปะทุออกมา ทำให้ร่างกายของเขาพุ่งทะยานขึ้นสูงกว่าสิบเมตรด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด ทำให้สามารถหลบหลีกการโจมตีเมื่อครู่ได้อย่างง่ายดาย
วานรกรงเล็บมีดระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าแผดเสียงคำราม ก่อนจะพุ่งตัวออกจากต้นไม้เพื่อะโไปหามู่เฟิงที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ
กรงเล็บมีดอันคมกริบตวัดไปทางมู่เฟิงราวกับ้าจะฉีกกระชากร่างของเขา แต่มู่เฟิงกลับไม่มีท่าทีใดๆ ราวกับว่าเขาจะตั้งรับแรงเล็บโดยตรง
ดวงตาของวานรกรงเล็บมีดส่องประกายดุดัน ประหนึ่งว่ามันได้เห็นมู่เฟิงถูกฉีกร่างอยู่กลางอากาศแล้ว
มุมปากของมู่เฟิงยกโค้ง ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็พลันปะทุออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขาอีกครั้ง พลังฟ้าดินธาตุไฟที่รายล้อมอยู่รอบตัวต่างก็มารวมตัวกันที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
คาดไม่ถึงว่าร่างกายของเขาจะสามารถเคลื่อนไหวกลางอากาศได้อย่างว่องไว เขาะโออกไปไกลหลายเมตร ทำให้สามารถหลบการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว
ก้าวปทุมเพลิงระดับสัมฤทธิ์!
เขาฝึกฝนก้าวปทุมเพลิงจนสามารถบรรลุถึงระดับสัมฤทธิ์ได้ภายในเวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น
กรงเล็บอันดุดันของวานรจึงพุ่งออกไปกระแทกต้นไม้ใหญ่จนหักโค่นแทน
ขณะเดียวกัน บนฝ่ามือของมู่เฟิงก็พลันมีพลังปราณสีขาวกำลังรวมตัวกัน พวกมันคือเส้นไหมจำนวนมากกว่าหกสิบเส้น สายพลังเ่าั้กำลังถักทอและสอดผสานกลายเป็โครงสร้างของลายเส้น เพียงสอง่ลมหายใจ กระบี่สีขาวจากลายเส้นพลังปราณก็ถูกควบแน่นขึ้นบนฝ่ามือ
“ไป!”
เพียงมู่เฟิงโบกมือครั้งเดียว กระบี่ลายเส้นเล่มนั้นก็พุ่งทะยานเข้าหาวานรกรงเล็บมีดทันที
การเคลื่อนไหวของกระบี่รวดเร็วจนน่าใ กระทั่งวานรกรงเล็บมีดยังไม่อาจหลบหลีกได้ทัน คมกระบี่พุ่งทะลวงตัดผ่านร่างของมันพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ
ฉัวะ!
ร่างขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ของวานรถูกกระบี่ผ่าจนขาดเป็สองส่วน เืสีสดสาดกระเซ็นไปตามต้นไม้ใหญ่ ในขณะที่ร่างของมันร่วงลงบนพื้นพร้อมกับลมหายใจที่ถูกพรากไป
มู่เฟิงโบกมืออีกครั้ง กระบี่ลายเส้นเล่มนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังจากที่มันห่างออกไปราวสามสิบเมตร กระบี่ก็หลุดออกจากการควบคุมก่อนที่พลังของมันจะสลายไป
เด็กหนุ่มร่อนตัวลงบนพื้น รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวของเขา จากนั้นเขาก็เดินไปเอาผลึกอสูรของวานรกรงเล็บมีดมา
หลังจากทำการฝึกฝนมากว่าครึ่งเดือน เขาก็สามารถแบ่งสายพลังปราณออกเป็ห้าสิบสายได้แล้ว และสามารถสร้างกระบี่ลายเส้นออกมาได้ภายในสอง่ลมหายใจ ด้วยเวลานี้เพียงเท่านี้เขาจึงสามารถใช้วิธีการเช่นนี้ในการต่อสู้ได้
“โฮก…!”
ภายในป่าลึกที่ห่างออกไปมีเสียงคำรามดังขึ้น งูเจียวสีขาวร่างั์ที่มีความยาวมากกว่ายี่สิบเมตรกำลังบินมาทางเขาพร้อมกับร่างของพยัคฆ์เหลือง
เสี่ยวเทียนวางร่างของร่างพยัคฆ์เหลืองลง ก่อนจะเลียแก้มของมู่เฟิงอย่างออดอ้อน สายตาของมันมองไปทางมู่เฟิงอย่างมีความหวัง
“เ้าตัวตะกละน้อย”
มู่เฟิงยิ้มบางพลางเคาะหัวของเสี่ยวเทียนเบาๆ ก่อนจะให้มันนำร่างของพยัคฆ์เหลืองไปที่ริมแม่น้ำ จากนั้นเขาก็ทำการลอกหนัง คว้านอวัยวะภายในออก ทำความสะอาด จุดไฟและย่างเนื้อ เพียงไม่นาน กลิ่นหอมก็ลอยอบอวลขึ้นในอากาศและลอยออกไปไกล เนื้อพยัคฆ์ถูกย่างจนกลายเป็สีเหลืองทองและเริ่มมีน้ำมันหยดลงมา
เสี่ยวเทียนมองเนื้อพยัคฆ์จนน้ำลายไหลหยดลงบนพื้น ั้แ่ที่เริ่มกินอาหารปรุงสุก เสี่ยวเทียนก็ไม่เป็หวัดอีกเลย
มู่เฟิงฉีกขาพยัคฆ์ตัวใหญ่ตัวนั้นและโยนไปให้เสี่ยวเทียน เสี่ยวเทียนอ้าปากงับก่อนจะกลืนลงไปในอึกเดียวโดยไม่สนใจว่ามันจะชิ้นใหญ่หรือว่าจะลวกปากหรือไม่
จากนั้นมู่เฟิงก็ใช้กริชหั่นเนื้อให้เล็กลง ในขณะที่เขากำลังกิน เด็กหนุ่มก็ยังคงศึกษาภาพลายเส้นร้อยกระบี่หวนคืนไปด้วย
ตอนนั้นเองกลิ่นหอมอบอวลสายหนึ่งก็พลันลอยมาเตะจมูกของมู่เฟิง
“กลิ่นหอมดีจัง”
ร่างงามของสตรีนางหนึ่งในชุดคลุมกันหิมะเดินออกมาจากป่าอย่างใจเย็น รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันงดงามของนาง
“อ๊ะ เทพธิดาซินเหยา”
หลังจากมู่เฟิงเงยหน้าขึ้นก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นผู้มาใหม่ เขารีบลุกขึ้นและทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มทันที
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็เย่วซินเหยาที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ในครั้งก่อน
เย่วซินเหยาเดินเข้ามาและนั่งลงข้างกองไฟ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไม เ้าคิดจะกินของอร่อยคนเดียวอย่างนั้นหรือ?”
ภายใต้แสงอันอบอุ่นของเปลวไฟ ยิ่งขับให้รอยยิ้มของหญิงงามมีเสน่ห์มากขึ้น
“ฮ่าๆ จะเป็ไปได้อย่างไร ข้ากลัวว่าเนื้อย่างนี่จะไม่ถูกปากของเทพธิดาซินเหยาต่างหาก”
มู่เฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม เขารีบใช้กริชหั่นเนื้อพยัคฆ์ให้กลายเป็ชิ้นเล็กๆ ก่อนจะวางลงบนจานหยก แล้วส่งมอบให้กับเย่วซินเหยา
เย่วซินเหยากล่าวขอบคุณ และเริ่มรับประทานมันด้วยท่าทางที่ยังคงความสง่างามเอาไว้
“อืม รสชาติไม่เลว”
เย่วซินเหยาเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เสี่ยวเทียนกำลังจ้องมองเย่วซินเหยาด้วยความหวาดกลัว มันก้มศีรษะลงและครางเสียงต่ำๆ ออกมาเบาหวิว
“ทำให้เทพธิดาซินเหยาต้องขบขันแล้ว คิดไม่ถึงว่าข้าจะมีโอกาสได้พบท่านอีก ขอบคุณเทพธิดาซินเหยาที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ในครั้งก่อน”
มู่เฟิงโค้งคำนับเย่วซินเหยาเพื่อเป็การขอบคุณอีกครั้ง
“เ้าสุภาพเกินไปแล้ว การได้พบกันอีกครั้งก็นับว่าเป็โชคชะตา”
เย่วซินเหยายิ้มบางก่อนจะทานเนื้อในจานต่อ ส่วนมู่เฟิงที่ไม่รู้จะพูดอะไรจึงนั่งลงและกินเงียบๆ แสงจากกองไฟเริ่มริบหรี่ลง ในขณะที่แสงของดวงจันทร์ยังคงส่องสว่างอยู่บนฟ้า บรรยากาศพลันอึดอัดขึ้นมาชั่วขณะ
“ั้แ่เล็ก เ้าก็ไม่เคยเห็นมารดาของเ้ามาก่อนเลยหรือ?”