ซ่างกวานม่อิคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะสู้กลับ เพราะเยว่เฟิงเกอที่เขารู้จักไม่เป็วรยุทธ์
เหตุใดแต่งให้จั้นอ๋องไปแค่ปีกว่า ถึงกับเป็วรยุทธ์ขึ้นมาแล้ว?
ซ่างกวานม่อิหลบการโจมตีของเยว่เฟิงเกอ เตะเท้าใส่นาง
เยว่เฟิงเกอยกเท้าขึ้นเตะเท้าของซ่างกวานม่อิกลับไป
ซ่างกวานม่อิเห็นว่าเยว่เฟิงเกอต่อสู้ได้คล่องเคล่วเพียงนี้ มิหนำซ้ำวรยุทธ์ของนางยังไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาอีกด้วย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกได้ในเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งปี ความสามารถนี้ของนางทำให้ซ่างกวานม่อิเริ่มสงสัยในตัวเยว่เฟิงเกอ
เนื่องจากคนทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่เดียวก็เริ่มสู้กัน คนที่ล้อมอยู่โดยรอบจึงพากันถอยร่นไปด้วยเกรงจะโดนลูกหลง
“เ้าเป็ใครกันแน่? ” เยว่เฟิงเกอไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ
ั้แ่ที่นางเข้าไปในโรงน้ำชา ชายคนนั้นก็ติดตามนางมาตลอด ทั้งยังตั้งใจเข้ามาใกล้ชิดนางด้วย
จนถึงตอนนี้ที่เขาปลอมตัวเป็ม่อหลิงหาน คงไม่เพียงอยากทำลายชื่อเสียงของม่อหลิงหาน แต่คงอยากจะลงมือกับนางด้วยกระมัง
คิดในใจเช่นนี้ เยว่เฟิงเกอก็ยิ่งลงมือกับซ่างกวานม่อิหนักขึ้น
ซ่างกวานม่อิเองก็ไม่มีใจอ่อน ยามที่โต้กลับเยว่เฟิงเกอ ฝ่ามือของเขาก็ยิ่งรุนแรงถึงขนาดดูดลมหอบใหญ่ไปด้วย
เพียงดูก็รู้ว่า หากเยว่เฟิงเกอถูกฝ่ามือของเขาเข้าจะเจ็บหนักแค่ไหน
เดิมซ่างกวานม่อิไม่เห็นเยว่เฟิงเกออยู่ในสายตา เหตุที่เขามาแคว้นเป่ยชวนในครั้งนี้ก็เพื่อมาแก้แค้นนาง
หากไม่ใช่เพราะนาง มู่เหยียนเฉินก็คงไม่เข้าไปฝึกฝนในเมืองหิมะลุ่มหลง
สถานที่แห่งนั้นสำหรับชาวแคว้นเสวี่ยอวี้อย่างพวกเขาแล้วเป็ดังนรกบนดิน ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์ควรจะเข้าไป
แต่เพื่อประโยคเดียวของเยว่เฟิงเกอ มู่เหยียนเฉินถึงขนาดก้าวเข้าไปในเมืองหิมะลุ่มหลงโดยไม่ลังเล
ซ่างกวานม่อิยังจำได้อย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้เยว่เฟิงเกอมักจะตามติดอยู่ด้านหลังมู่เหยียนเฉินเสมอ ไม่ว่าคนไปที่ใด นางก็จะตามไปที่นั่น
ตอนนั้นมู่เหยียนเฉินไม่ชอบเยว่เฟิงเกอ ถึงแม้นางจะสูงศักดิ์เป็ถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ แต่กลับมีนิสัยเอาแต่ใจ ทั้งยังชอบตามติดผู้อื่นไม่ว่างเว้น ทำให้มู่เหยียนเฉินรู้สึกรำคาญยิ่งนัก
ตอนหลังมู่เหยียนเฉินเดินทางไปยังยอดเขาหิมะฉีเหลียนที่อยู่สูงที่สุดในแคว้นเสวี่ยอวี้ เขาตั้งใจจะไปต่อกรกับหมีที่นั่นเพื่อเพิ่มระดับให้ตนเอง
สุดท้ายตอนที่มู่เหยียนเฉินกำลังจะชนะศึกนั้น กลับได้ยินเสียงร้องทรมานของเยว่เฟิงเกอ
เขาคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะตามติดเหมือนหางจนมาถึงยอดเขาหิมะนี้
และเพราะเสียงร้องน่าอนาถนั้นที่ทำเอามู่เหยียนเฉินเกือบจะโดนหมีทำร้ายจนตาย...
ในตอนที่ซ่างกวานม่อิตามขึ้นไปบนเขาหิมะก็เห็นว่ามู่เหยียนเฉินตกอยู่ในสภาพเือาบนอง หายใจรวยรินแล้ว และที่ห่างออกไปไม่ไกลมีเยว่เฟิงเกอนอนแน่นิ่งอยู่
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง หลังจากครั้งนั้นนางก็ป่วยหนักอยู่นาน
เนื่องจากความรู้สึกผิดในใจ ตอนหลังมู่เหยียนเฉินจึงไปเยี่ยมนางบ่อยๆ หวังว่านางจะหายดีโดยเร็ว
เมื่อไปบ่อยครั้งเข้า ในที่สุดมู่เหยียนเฉินก็ค้นพบว่าเยว่เฟิงเกอไม่เพียงหน้าตางดงาม แต่ยังมีจิตใจดีงามมากอีกด้วย
ถึงแม้ปกตินางจะเอาแต่ใจ แต่นางก็ไม่เคยทำร้ายใคร
นางดื้อรั้นเอาแต่ใจเพียงแค่ภายนอก แต่ในจิตใจที่แท้แล้วกลับมีเมตตามาก
ม่อเหยียนเฉินค่อยๆ ตกหลุมรักเยว่เฟิงเกอ ขณะที่นางกลับเปลี่ยนเป็เ็าต่อเขา
ซ่างกวานม่อิเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนมู่เหยียนเฉิน
หากไม่ใช่เพราะเยว่เฟิงเกอ รอยแผลเป็จากการโดนหมีกัดหลายแห่งคงไม่ถูกทิ้งไว้บนร่างของมู่เหยียนเฉินเช่นนั้น
ตอนหลังเยว่เฟิงเกอก็หนักข้อขึ้นถึงขั้นหลงรักจั้นอ๋องม่อหลิงหานแห่งแคว้นเป่ยชวน
นางทิ้งมู่เหยียนเฉิน และตัดสินใจแน่วแน่ที่แต่งงานไปยังแคว้นเป่ยชวน
และก่อนนางจะจากไป ประโยคสุดท้ายที่กล่าวกับม่อเหยียนเฉินก็คือ “เ้าปกป้องข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ เ้าเป็แค่คนไร้ประโยชน์”
ดังนั้น เพื่อให้เยว่เฟิงเกอได้รู้ว่าตัวเขามู่เหยียนเฉินหาใช่คนไร้ประโยชน์ เขาเองก็สามารถปกป้องนางได้ จึงเลือกเดินทางไปยังเมืองหิมะลุ่มหลงเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์
ั้แ่ที่คนไปที่เมืองหิมะลุ่มหลงจนตอนนี้ก็จะสองเดือนแล้ว
ในฐานะสหายรักของมู่เหยียนเฉิน ซ่างกวานม่อิโทษว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็ความผิดของเยว่เฟิงเกอ
เขาออกจากแคว้นเสวี่ยอวี้มาที่แคว้นเป่ยชวนนี้ก็เพื่อจะแก้แค้นเยว่เฟิงเกอ
ครั้งก่อนที่ภัตตาคารนั่นก็เป็เขาที่ยุยงให้หลิ่วซานเหนียงวางยา เดิมอยากจะวางยาพิษเยว่เฟิงเกอให้ตาย มิคาดนางจะรู้ตัว ทั้งยังทำให้หลิ่วซานเหนียงต้องโดนโทษตายไปด้วย
ครั้งนี้ซ่างกวานม่อิได้พบเยว่เฟิงเกอที่แต่งกายเป็ชายอีกครั้ง แน่นอนเขาไม่มีทางพลาดโอกาสนี้
เดิมเขาคิดจะลงมือกับเยว่เฟิงเกอั้แ่ในโรงน้ำชา แต่นางกลับระแวดระวังตัวเหลือเกิน ดื่มชาไปถ้วยเดียวก็จากไปทันที
ตอนนั้นซ่างกวานม่อิเห็นว่าแผนของตนล้มเหลวแล้ว เมื่อนึกไปถึงว่าเยว่เฟิงเกอออกมาจากจวนคนเดียว ทั้งยังปลอมตัวเป็ชายด้วย ก็แสดงว่านางไม่ได้อยากให้ใครรู้ว่าตนออกมาจากจวน ยิ่งกว่านั้น ข้างกายนางไม่มีจั้นอ๋องติดตามมาด้วย เขาย่อมสามารถปลอมตัวเป็จั้นอ๋องม่อหลิงหานได้ เพราะการทำเช่นนี้ไม่เพียงได้ทำลายชื่อเสียงจั้นอ๋อง ยังสามารถเข้าใกล้ตัวเยว่เฟิงเกอและหาโอกาสลงมือกับนางได้อีกด้วย
คิดไม่ถึงจะถูกนางมองออกอีก
และตอนนี้เยว่เฟิงเกอยังแสดงวรยุทธ์ของนางให้ได้เห็นอีก ทำให้ซ่างกวานม่อิไม่อาจไม่รู้สึกสงสัยในตัวเยว่เฟิงเกอได้
สตรีที่ปลอมเป็ชายตรงหน้านี้ใช่เยว่เฟิงเกอแน่หรือ?
ยามนี้คนทั้งสองยังคงสู้กันอย่างไม่รู้แพ้รู้ชนะ
หลังจากซ่างกวานม่อิประมือกับเยว่เฟิงเกอไปสองร้อยกว่ากระบวน ก็เริ่มรู้สึกล้าขึ้นมาแล้ว
แต่เยว่เฟิงเกอกลับไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งสู้ก็ยิ่งว่องไว
ส่วนชิงจื่อ เมื่อต้องมองพระชายาของตนสู้กับชายหล่อเหลาราวเทพเซียนคนนั้นก็รู้สึกราวหัวใจถูกบีบรัด
มุมปากเยว่เฟิงเกอยังคงมีรอยยิ้ม สายตาเ็าหาใดเปรียบ “ข้าไม่สนว่าเ้าเป็ใคร เมื่ออยู่ในมือข้าแล้ว เ้าก็อย่าได้คิดจากไปเป็ๆ เลย”
ซ่างกวานม่อิรู้สึกตกตะลึงในใจ เขาในตอนนี้เริ่มหอบหายใจแล้ว แต่เสียงของเยว่เฟิงเกอกลับยังดูไม่เหนื่อยหอบสักนิด
ซ่างกวานม่อิรู้สึกว่าหากยังเป็เช่นนี้ต่อไป ไม่ใช่ถูกเยว่เฟิงเกอตีตาย ก็คงเหนื่อยตาย
เขาออกกระบวนท่าหลอกเยว่เฟิงเกอขณะเดียวกันก็ถีบเท้าทะยานกายขึ้นไปบนหลังคา
เมื่อเหยียบกระเบื้อง้าได้แล้วก็หนีหายไป
“จะหนีไปไหน” เยว่เฟิงเกอเห็นว่าซ่างกวานม่อิใช้วิชาตัวเบาหนีไปแล้ว ก็ะโขึ้นไปบนหลังคาไล่ตามอีกฝ่ายไป
“คุณชาย...” ชิงจื่อเห็นว่าพระชายาของนางตามชายคนนั้นไปแล้ว นางก็ถึงกับร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่จะทำอย่างไรได้ตัวนางไม่เป็วรยุทธ์ จะให้ไล่ตามไปได้อย่างไร
คนที่ล้อมอยู่เห็นว่าคนทั้งสองหายไปแล้วก็พากันแยกย้าย
ทว่า ตอนที่ชิงจื่อร้อนใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรนั้น รถม้าคันหนึ่งก็เคลื่อนตัวมาจากที่ไกลๆ
ชิงจื่อยืนอยู่ห่างมาก แต่ก็เห็นว่าคนที่ขับรถม้าคือเฉียวเฟย จึงรีบวิ่งไปหารถม้าคันนั้นทันที
เฉียวเฟยเห็นชิงจื่อวิ่งมาก็รีบรวบเชือก บังคับให้ม้าหยุดทันที
“ชิงจื่อ เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ” เฉียวเฟยมองชิงจื่ออย่างไม่เข้าใจด้วยเห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังสวมอาภรณ์บุรุษอยู่
หากไม่ใช่เพราะได้ใช้เวลาอยู่ในจวนอ๋องร่วมกันมาพักหนึ่งแล้ว เกรงว่าแม้แต่เขาก็คงจะจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้านี้คือชิงจื่อ
“ท่านอ๋องอยู่บนรถม้าหรือไม่? ” ชิงจื่อวิ่งหอบมา นางไม่มีเวลาพูดเื่ของพระชายา แต่้าพบม่อหลิงหานในทันที
ม่อหลิงหานที่นั่งอยู่ด้านในได้ยินเสียงะโของชิงจื่อก็เลิกม่านออกดู
“ท่านอ๋อง รีบไปช่วยพระชายาเถิดเพคะ ทรงกำลังสู้กับชายคนหนึ่งอยู่ พวกเขาใช้วิชาตัวเบามุ่งไปทางด้านนู้นแล้วเพคะ” ชิงจื่อพูดพลางชี้ไปด้านหลัง
เมื่อม่อหลิงหานได้ยินว่าเยว่เฟิงเกอกำลังสู้กับใครบางคนอยู่ ก็รีบะโลงจากรถม้า และใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังทิศที่ชิงจื่อชี้
ทางด้านเยว่เฟิงเกอ นางไล่ตามซ่างกวานม่อิทันแล้ว ยามนี้อยู่ที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง
ต่อให้ซ่างกวานม่อิจะมีวิชาตัวเบาดีแค่ไหนก็ยังไม่อาจสลัดเยว่เฟิงเกอหลุด
ตอนนี้เขาเหนื่อยจนสองขาสั่นไหว หายใจไม่ทัน วิ่งไม่ไหวอีกแล้ว
เขานั่งลงบนพื้นทุบขาทั้งสองข้าง ไม่อยากเดินไปไหนอีกแม้แต่ก้าวเดียว
เยว่เฟิงเกอตามมาทัน ตอนนี้นางเองก็เหนื่อยหอบแล้วเช่นกัน ใบหน้าขาวนวลของนางมีสีแดงระเรื่อน้อยๆ
“วิ่งสิ เ้าวิ่งเก่งมากไม่ใช่หรือ” เยว่เฟิงเกอยืนอยู่หน้าซ่างกวานม่อิ ยิ้มเ็ามองเขา
ซ่างกวานม่อิเงยหน้าถลึงตามองเยว่เฟิงเกอ
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่า คนตรงหน้าคือเยว่เฟิงเกอไม่ผิดแน่
ความสามารถในการตามติดคนไม่ลดละเช่นนี้ นอกจากเยว่เฟิงเกอแล้ว ทั่วหล้านี้คงหาคนที่สองไม่ได้อีกแล้ว