หลี่ว์เยวี่ยอ่อนแอเกินไปแล้ว?
หลายคนคิดว่าหลัวเลี่ยพูดไร้สาระ เพราะวิชาสาปโรคาที่หลี่ว์เยวี่ยใช้นั้น ถึงเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ในระดับหยินหยางหรือระดับแก่น์ก็ยังต้องเกรงกลัว ดังนั้นนอกจากผู้าุโระดับสูงแล้ว ใครจะกล้าดูแคลนหลี่ว์เยวี่ยได้อีก
แต่เมื่อมองไปตรงซากปรักหักพังที่หลัวเลี่ยทำอีกครั้ง พวกเขาก็คงต้องยอมรับว่าหลัวเลี่ยมีคุณสมบัติที่จะพูดเช่นนั้นจริงๆ
เพียงฝ่ามือเดียวก็ะเิทุกสิ่งได้แล้ว!
นี่คือความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
คำพูดของหลัวเลี่ยทำให้สีหน้าของไป๋หลี่ชางซีดลงในทันใด ไม่เพียงแต่ไป๋หลี่ชางจะรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาล้มเหลวในการกอบกู้ชื่อเสียงของหอการค้าฟ้านเทียน ซ้ำยังถูกเอาคืนอย่างเจ็บแสบ เื่นี้ทำให้เขายากที่จะยอมรับได้
ซู่ๆ...
ในขณะที่ทุกคนกำลังใอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเงาดำของกลุ่มคนสิบสามคนบินเข้ามาภายในสนามประลอง
พวกเขาก็คือกลุ่มอินทรีดำสิบสามคนที่เป็คนของอ๋องชวนหลงแห่งแคว้นเป่ยสุ่ย
ภารกิจของหน่วยอินทรีดำทั้งสิบสามคนคือการฆ่าหลัวเลี่ย ดังนั้นหากหลัวเลี่ยไม่ตายพวกเขาก็จะไม่หยุด พวกเขาจะไล่ล่าตามฆ่าหลัวเลี่ยตลอดไปจนกว่าพวกเขาจะตาย
“จริงสิ ตามสัญญาของพวกเรา คือตอนนี้หากการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้นจบลงแล้ว เราก็สามารถลงมือกับหลัวเลี่ยได้” เลี่ยหงหยุนกล่าวขึ้นมาเสียงดัง
เพราะก่อนหน้านี้หลิวจื่ออั๋งขอร้องไม่ให้ทุกคนเคลื่อนไหวภายในระยะเวลาที่มีการจัดประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้น
ตอนนี้การประลองสิ้นสุด และเงื่อนไขดังกล่าวก็สิ้นสุดแล้ว เช่นนั้นแน่นอนว่าพวกเขาสามารถเคลื่อนไหวได้
เลี่ยหงหยุนรีบนำกลุ่มนักดาบทั้งเจ็ดของนางออกมาทันที
ด้วยเหตุนี้ นักดาบทั้งเจ็ดคน และอินทรีดำทั้งสิบสามคน จึงมาล้อมหลัวเลี่ยในเวลาเดียวกัน
“จับมันทั้งเป็ ข้า้าจะฟันมันให้ค่อยๆ ทรมานไปทีละนิด!” เลี่ยหงหยุนกัดฟันเอ่ย
หลัวเลี่ยมองอย่างเฉยเมย
เลี่ยหงหยุนที่เป็ได้แค่ผู้ชมในตอนแรก ในที่สุดตอนนี้นางก็ได้แสดงถึงทักษะของนางแล้ว
“หยุด!”
ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้าุโจากตำหนักเซียหยางก็ดังขึ้น
เสียงของเขาทำให้นักดาบทั้งเจ็ดและกลุ่มอินทรีดำทั้งสิบสามคนที่กำลังจะเคลื่อนไหวหยุดชะงักชั่วคราว และไม่กล้าเคลื่อนไหวต่อ แม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวความตาย แต่พวกเขาก็ยังต้องดูแลเ้านายและคนในครอบครัวของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าผู้าุโคนนี้ทรงพลังและน่ากลัวมาก
ผู้าุโของตำหนักเซียหยางกล่าวว่า “หลัวเลี่ย เมื่อครู่นี้วิชายุทธ์ที่เ้าใช้ต่อสู้ คงจะเป็วิชามหาหลุนิที่ท่านบรรพชนข่งเซวียนเป็ผู้สร้างขึ้นสินะ”
“ใช่” หลัวเลี่ยพยักหน้า
ผู้าุโของตำหนักเซียหยางรู้สึกตื่นเต้นทันที เขากล่าวว่า “ฮ่าๆ มันน่าทึ่งมาก เ้าอายุยังน้อย แต่กลับเข้าใจวิชามหาหลุนิจนถึงระดับถ่องแท้ ทั้งยังมีกระดูกวิถียุทธ์ เข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน หนำซ้ำเ้ายังใช้แค่ฝ่ามือเดียวในการเอาชนะหลี่ว์เยวี่ย เ้าช่างเรียกได้ว่าเป็อัจฉริยะโดยแท้ ข้า ไม่สิ ข้าในฐานะตัวแทนของหัวหน้าตำหนักเซียหยาง อยากจะเชิญเ้าเข้าร่วมเป็ศิษย์”
ใบหน้าที่ซีดเซียวของไป๋หลี่ชางค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีเขียวอย่างรวดเร็ว
ตำหนักเซียหยางทำเช่นนี้ เท่ากับเป็การไม่ไว้หน้าหอการค้าฟ้านเทียนที่้ากำจัดหลัวเลี่ย
ผู้าุโของแคว้นเฉียนเฮ่อกล่าวว่า “ตำหนักเซียหยางจะมีอะไรน่าสนใจ หลัวเลี่ย หากเ้าเข้าร่วมกับแคว้นเฉียนเฮ่อของข้า ข้าจะเปิดพื้นที่พิเศษของเฉียนเฮ่อให้เ้าเข้าไปฝึกวิชายุทธ์ สถานที่นี้เป็สถานที่ที่ต้องเป็ผู้าุโเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้เชียวนะ”
ใบหน้าของไป๋หลี่ชางยังคงค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีเขียว
“ตำหนักเซียหยางและแคว้นเฉียนเฮ่อจะเทียบกับเผ่าัของข้าได้อย่างไร หลัวเลี่ย การที่เ้าสามารถฝึกวิชามหาหลุนิได้ถึงระดับถ่องแท้เช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเ้ามีโอกาสที่จะค้นพบชีวิตนิรันดร์เป็แน่ ด้วยความสามารถที่พิเศษระดับนี้ เ้าจะไปอยู่กับกองกำลังระดับแคว้นแคว้นหนึ่งได้อย่างไร หากเ้าเข้าร่วมกับเผ่าั ข้ายินดีที่จะยกองค์หญิงแห่งเผ่าัให้เ้า” ผู้มีวรยุทธ์ระดับสูงจากเผ่าักล่าว
ใบหน้าของไป๋หลี่ชางเปลี่ยนเป็สีเขียวอย่างสมบูรณ์แล้ว
ตอนนี้ตำหนักเซียหยาง แคว้นเฉียนเฮ่อ และเผ่าั กำลังทะเลาะกันเพื่อแย่งตัวหลัวเลี่ย
ก่อนหน้านี้แม้ว่าพวกผู้าุโทั้งสามจะได้เห็นความสามารถของหลัวเลี่ยแล้ว แต่ความสามารถที่ผ่านมาก็ยังห่างไกลกับการที่จะให้พวกเขาออกหน้าเป็ศัตรูกับหอการค้าฟ้านเทียน แต่เมื่อวิชามหาหลุนิได้ปรากฏออกมา ก็ทำให้พวกเขายอมเสี่ยงเพื่อหลัวเลี่ย
วิชามหาหลุนิถูกสร้างขึ้นโดยท่านข่งเซวียน และที่สำคัญกว่านั้น ข่งเซวียนเคยกล่าวไว้ว่าทักษะการต่อสู้นี้ต้องใช้ความเข้าใจอย่างสูง หากไม่มีความเข้าใจในการไปสู่สภาวะอายุที่เป็นิรันดร์ ก็จะไม่สามารถฝึกฝนไปถึงระดับถ่องแท้ได้
การไปสู่สภาวะอายุที่เป็นิรันดร์หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ?
เื่นี้แม้แต่หอการค้าฟ้านเทียน หอเซียวเหยา ตำหนักเซียหยาง แคว้นเฉียนเฮ่อ และกองกำลังอื่นๆ ในปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมีอายุยืนยาวเป็นิรันดร์?
คนคนหนึ่งเมื่อมีศักยภาพในการบรรลุคุณสมบัติอายุยืนยาวแล้ว ก็หมายความว่าเขาจะสามารถนำพากองกำลังที่เขาอยู่ให้ก้าวไปในระดับที่สูงขึ้นได้ เมื่อเป็เช่นนี้ใครจะไม่สนใจผู้ที่มีคุณสมบัติแบบนี้กันเล่า?
ความสามารถเช่นนี้คุ้มค่าพอให้พวกเขาเสี่ยง
การทะเลาะวิวาทของพวกเขา ทำให้กลุ่มเจ็ดนักดาบและกลุ่มอินทรีสิบสามคนอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกเขาจ้องมองอย่างว่างเปล่าและไม่กล้าเคลื่อนไหว
เลี่ยหงหยุนเองก็กำลังจะกระอักเือีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตนมีโอกาสแก้แค้นหลัวเลี่ยที่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่กลับลงมือไม่ได้ และทำได้แค่มองเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้เลี่ยหงหยุนคลั่งมากยิ่งขึ้น และใบหน้าที่แก่ชราของไป๋หลี่ชางก็ยิ่งเขียวคล้ำมากขึ้นเมื่อเขาได้ยินประโยคถัดไป
“หลัวเลี่ย หากเ้ายินยอมเข้าร่วมกับหอการค้าฟ้านเทียน เพียงแค่เ้าเข้าร่วม เ้าจะมีสิทธิ์ขึ้นเป็ผู้นำคนถัดไปของหอการค้าฟ้านเทียนทันที!”
ทุกคนตกตะลึงกับประโยคนี้
แม้แต่หลิวจื่ออั๋ง หัวหน้าเผ่าั และคนอื่นๆ ก็นิ่งงันแข็งค้างมองไปที่ผู้พูด
หอการค้าฟ้านเทียนผลิตศิษย์ที่มีความสามารถออกมามากมาย และปัจจุบันในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ คนที่โดดเด่นที่สุดมีจำนวนเจ็ดคน แต่ละคนมีความโดดเด่น และพวกเขายังเป็คู่แข่งในตำแหน่งผู้นำคนถัดไปอีกด้วย
แต่ตอนนี้กลับมีคนบอกว่า เพียงหลัวเลี่ยยินยอมเข้าร่วม เขาจะสามารถเป็ผู้นำคนถัดไปได้เลย ดังนั้นทุกคนจึงใมาก
“ผู้ ผู้าุโใหญ่” เมื่อไป๋หลี่ชางได้ยินประโยคนี้ เขาก็หันกลับไปมองด้วยความโกรธและอยากจะะโ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้พูด เขาก็ถึงกับพูดติดอ่าง
คนที่พูดประโยคนี้คือ เหยียนอู่ซู่ ซึ่งเป็ผู้าุโใหญ่ของหอการค้าฟ้านเทียน และยังเป็ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากหัวหน้าหอการค้าฟ้านเทียนอีกด้วย
เมื่อเลี่ยหงหยุนได้ยินเสียงของไป๋หลี่ชาง นางก็โมโหอีกครั้ง
กลุ่มอินทรีดำทั้งสิบสามคนล่าถอยไป
ผู้ชมทั้งหมดยังคงใ และไม่มีใครเชื่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้
“ผู้าุโใหญ่ ท่านพูดจริงหรือ” ไป๋หลี่ชางพูดออกมาด้วยความยากลำบาก
เหยียนอู่ซู่พูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย “เื่ใหญ่เช่นนี้ ข้าจะพูดเล่นได้หรือ”
ไป๋หลี่ชางะโ “ทำไมกัน? หรือเป็เพราะเด็กนั่นใช้ตราราชันข่งเชวี่ยหรือขอรับ”
เหยียนอู่ซู่ส่ายหน้า “ไป๋หลี่เอ๋ย เ้ากำลังถูกไฟแค้นครอบงำอยู่ เื่บางเื่หากข้าไม่พูดตอนนี้ผู้คนก็รู้อยู่ดี เช่นนั้นข้าขอถามเ้าตรงๆ เ้าคิดให้ดีๆ นะ หลัวเลี่ยเริ่มเรียนวิชามหาหลุนิเมื่อไร”
ไป๋หลี่ชางใอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มคิดอย่างรอบคอบ แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
หลิวจื่ออั๋งซึ่งตอบสนองอย่างรวดเร็วโพล่งออกมา “เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน ตอนที่หลัวเลี่ยมอบหยาดจันทร์นิรวานให้ไป๋หลี่ชางจัดประมูล เขาเห็นแท่นศิลาที่บันทึกคัมภีร์มหาหลุนิซึ่งตั้งอยู่ในหอการค้าฟ้านเทียนสาขาแคว้นจินหลาน” หลิวจื่ออั๋งมองไปที่หลัวเลี่ยอย่างยากจะเชื่อ เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “หลัวเลี่ย เ้าใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ ในการฝึกฝนวิชามหาหลุนิจนถึงระดับถ่องแท้หรือ?!”
ทุกคนแทบจะหยุดหายใจเพราะคำพูดของหลิวจื่ออั๋ง หัวใจของพวกเขาคล้ายหยุดเต้นไปแล้ว
วิชายุทธ์นี้คือวิชามหาหลุนิเชียวนะ!
นอกจากนี้วิชายุทธ์นี้ยังเป็วิชายุทธ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่มีพลังอยู่ในระดับทลายยุทธ์ ดังนั้นจึงค่อนข้างแตกต่างจากวิชายุทธ์ทั่วไป และ้าความเข้าใจอย่างมาก ซึ่งแม้แต่คนในตระกูลของข่งเซวียนก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับถ่องแท้ได้
แต่หลัวเลี่ยกลับทำสำเร็จภายในเวลาเพียงเดือนเดียว
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามและการจ้องมองจากทุกคน หลัวเลี่ยจึงได้แต่โกหก เขาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะถ้าบอกไปว่าเขาใช้เวลาฝึกฝนไม่ถึงหนึ่งวันเท่านั้น ทุกคนคงได้ใตายเป็แน่ ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงโกหกไปอย่างใจดีว่า “ใช่แล้ว ข้าใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ในการฝึกฝนวิชานี้”
เซ็งแซ่!
ทุกคนต่างตกตะลึง
และใบหน้าชราของไป๋หลี่ชางก็เปลี่ยนเป็สีเขียวอีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้