ความทรงจำของคังเหว่ยหยุดอยู่ที่ตอนถูกรถชน
ตอนนั้นมีรถคันหนึ่งพุ่งตรงมา เขาใจนตัวแข็งทื่อ เป็เซี่ยเสี่ยวหลานที่แย่งพวงมาลัยไปจากเขา หลังจากนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่น คังเหว่ยรู้สึกได้ว่าศีรษะของตนถูกกระแทกอย่างแรง
กระจกหน้ารถแตกละเอียด
หลังจากนั้นเกิดเื่อะไรขึ้นบ้างเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอนตื่นขึ้นเนื่องจากมายาชาหมดฤทธิ์ เขารู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงจนไม่สามารถขยับตัวได้ คังเหว่ยนึกว่าตนเพิ่งถูกลากออกจากซากรถ เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตนได้รับการผ่าตัดจนเสร็จสิ้นแล้ว
เขาทำได้เพียงฝืนลืมตาขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พยายามเพ่งสายตาอยู่นาน ก่อนจะเห็นว่ามีคนยืนอยู่ปลายเตียงจำนวนมาก
“แม่ น้ากวน...”
ทำไมเขาถึงเห็นแม่กับน้ากวนกัน?
ทั้งสองคนควรอยู่ปักกิ่งมิใช่หรือ
เหล่าทีมแพทย์ในชุดกาวน์สีขาวต่างพากันยืนล้อมคังเหว่ยเพื่อทำการตรวจร่างกายให้เขา
เซี่ยอวิ๋นกุมมือลูกชายแน่น “แม่อยู่นี่ แม่อยู่นี่แล้วลูก ไม่ต้องเป็ห่วงนะ ให้หมอตรวจร่างกายก่อนเถิด”
“ใช่ พวกเราอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว!”
หากคังเหว่ยยังไม่ยอมฟื้น เซี่ยอวิ๋นคงแตกสลายแน่นอน
“ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาล ก่อนหน้านี้พวกเราทำการยื้อชีวิตคุณไว้ได้ ร่างกายของคุณไม่มีอะไรผิดปกติ อีกไม่นานก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวครับ”
หมอพูดปลอบใจคังเหว่ย และอธิบายอาการของเขาให้ฟังอย่างคร่าวๆ คนไข้ที่าเ็จากอุบัติเหตุมักจะสูญเสียความทรงจำไปชั่วคราว บางคนอาจจะลืมไปด้วยซ้ำว่าตนเคยผ่านเื่อะไรมาบ้างแล้วก็จะรู้สึกตื่นตระหนก
คังเหว่ยไม่เพียงแต่ปวดศีรษะเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ของร่างกายเขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงขยับแม้แต่น้อย
คอของเขาแห้งเป็ผุยผง พยาบาลจึงใช้สำลีก้านจุ่มน้ำมาแตะที่ริมฝีปาก ก่อนที่คังเหว่ยจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“...เสี่ยวหลาน พี่สะใภ้เสี่ยวหลานล่ะ?”
“เธอปลอดภัยดี แค่าเ็เล็กน้อยเท่านั้น”
คังเหว่ยรู้สึกโล่งอกมากทีเดียว
โชคดีที่เซี่ยเสี่ยวหลานปลอดภัย มิเช่นนั้นต่อให้เขารอดชีวิตไปได้แล้วเขาจะอธิบายกับพี่เฉิงจื่อว่าอย่างไรกัน?
ไม่ใช่แค่เพราะเขาสนิทกับโจวเฉิงเท่านั้น แต่หลังรู้จักกันมาปีกว่า เซี่ยเสี่ยวหลานก็กลายเป็ดั่งเพื่อนสนิทของคังเหว่ยเช่นกัน ครั้งนี้เขาขับรถพาเซี่ยเสี่ยวหลานไปเจออุบัติเหตุ ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็รู้สึกผิดอยู่ดี
คังเหว่ยอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าประตูห้องถูกคนผลักเข้ามา เป็คังเหลียนิที่เดินเข้าห้องมาพร้อมกับไอเย็นะเืรอบกาย
เซี่ยเสี่ยวหลานที่ขณะนี้หน้าบวมช้ำไปหมดก็เดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องด้วยเช่นกัน ทว่าตอนนี้คังเหว่ยไม่กล้าพูดคุยหรือทักทายเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้คังเหลียนิมักจะยิ้มให้เขาเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่คังเหว่ยรู้สึกตลอดเวลาว่ารอยยิ้มนั้นช่างเสแสร้งเหลือเกิน
พอวันนี้คังเหลียนิไม่ยิ้มให้เขาดั่งเดิม คังเหว่ยกลับยิ่งรู้สึกไม่ชิน
เสียงของคังเหว่ยเบาหวิวยิ่งกว่าเสียงยุง เขาเอ่ยทักทายคังเหลียนิว่า ‘อารอง’
หลังเดินเข้ามาใกล้คังเหลียนิถึงพบว่าคังเหว่ยช่างน่าสงสารเหลือเกิน หากไม่ได้ยินเสียง คังเหลียนิคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือหลานชายของเขา โชคดีที่ผู้าุโอีกสองท่านไม่ได้ตามมาด้วย โดยเฉพาะย่าคัง หากเธอเห็นสภาพของคังเหว่ยในตอนนี้คงล้มป่วยเป็แน่
พอได้ยินเสียงแ่เบาของหลานชาย คังเหลียนิก็ยิ่งปวดใจ
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า อาจะให้หมอเอายาแก้ปวดมาให้”
ยาแก้ปวดไม่สามารถใช้ส่งเดชได้ แม้คังเหว่ยจะรู้สึกปวดมากเพียงใดก็ตาม แต่หมอก็ต้องควบคุมปริมาณยาเอาไว้ในปริมาณที่เหมาะสม
หมอที่นี่ไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้ใช้ยาแก้ปวด แต่ปริมาณการใช้ยาจะต้องผ่านการประเมินอาการอย่างละเอียดเท่านั้น
คังเหว่ยรู้สึกเหมือนตัวเองหัวกระแทกจนเพี้ยน ทำไมเขาถึงได้ยินน้ำเสียงอันน่าะเืใจออกจากปากของอารองกัน นี่เป็ไปได้หรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เทคโนโลยียังไม่ล้ำสมัยมากพอ คังเหว่ยคงสงสัยด้วยซ้ำว่าอารองเป็หุ่นยนต์ที่สามารถยิ้มได้
เขาอยากบอกเหลือเกินว่าไม่เจ็บ แต่แค่อ้าปากก็ต้องร้องโอดครวญออกมา
ให้ตายเถอะ จะไม่เจ็บได้อย่างไรกัน!
ตอนศีรษะกระแทกอย่างรุนแรง คังเหว่ยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องไม่รอดอย่างแน่นอน นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังรอดชีวิตมาได้ เขารู้สึกโกรธมาก โกรธจนอยากบีบคนขับรถคันนั้นให้แหลกคามือเหลือเกิน!
ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าก็คือคังเหลียนิเหมือนอ่านใจคังเหว่ยออก เขาโน้มตัวลงมาช่วยจัดผ้าห่มให้ พลางเอ่ยเสียงต่ำ
“พักรักษาตัวให้สบายใจก่อนเถิด ไว้หลานหายดีเมื่อไรเราค่อยจัดการเื่นี้ ใครก็ตามที่ไม่เห็นค่าชีวิตของหลาน ตระกูลคังจะไม่มีวันให้อภัยแน่นอน”
พยาบาลที่กำลังถือก้านสำลีคือผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุด หลังเธอได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อดที่จะตัวสั่นไม่ได้
เฮ้อ เื่นี้ไม่เกี่ยวกับพยาบาลอย่างพวกเธอ ผู้ก่อเหตุคือนักธุรกิจฮ่องกง ผู้าเ็เป็ทายาทข้าราชการระดับสูง แม้แต่นายกเทศมนตรียังเดินทางมาเยี่ยมด้วยตัวเองเช่นนี้ พยาบาลอย่างเธอต้องจำใจทำเป็ไม่ได้ยิน ปิดหูปิดตาทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้คือทางออกที่ดีที่สุด
คังเหว่ยประคองสติอยู่ได้ไม่นานนัก หลังได้พูดคุยกับญาติแล้ว หมอก็บอกว่าเขาต้องได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
คังเหว่ยขยับนิ้วทักทายเซี่ยเสี่ยวหลานเล็กน้อย หน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานบวมมาก ข้อมือเองก็มีผ้าพันแผลเช่นกัน โชคดีที่เธอยังสามารถยืนได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นคงไม่ได้าเ็ร้ายแรงอะไรสินะ เห็นดังนั้นคังเหว่ยจึงรู้สึกวางใจขึ้น
การฟื้นคืนสติของคังเหว่ยเปรียบเสมือนการฉีดยาเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกคน
การวินิจฉัยของหมอนั้นถูกต้อง การผ่าตัดของคังเหว่ยประสบความสำเร็จไปได้อย่างดีเยี่ยม ประสาทรับรู้ทั้งหลายของเขาไม่มีปัญหา รวมถึงสมองก็ไม่ถูกกระทบกระเทือนจนได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
ตอนนี้สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือการพักฟื้นหลังการผ่าตัด และระมัดระวังไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อน เพราะถึงอย่างไรการผ่าตัดสมองก็ถือเป็การผ่าตัดใหญ่ อีกทั้ง่ปี 1985 อุปกรณ์ทางการแพทย์ก็มีจำกัดด้วย
กวนฮุ่ยเอ๋อช่วยพยุงตัวเซี่ยอวิ๋นเดินมาที่โถงทางเดิน ก่อนที่เธอจะไล่เซี่ยเสี่ยวหลานให้ไปพักผ่อนอย่างกลุ้มใจ
“เื่รถชนเธอบอกแม่เธอแล้วหรือยัง”
เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายหน้า “ไว้กลับซางตูแผลที่หน้าก็คงใกล้หายดีแล้ว ถึงตอนนั้นฉันค่อยบอกจะดีกว่าค่ะ”
เธอปรึกษากับทังหงเอินแล้ว ทั้งคู่เห็นตรงกันว่าอย่าเพิ่งบอกหลิวเฟินจะดีกว่า
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนมีปัญหากับตระกูลจี้ เทียบกับคังเหว่ยแล้ว อาการของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็เพียงาแภายนอกเท่านั้น ไม่ได้มีอาการร้ายแรงมากมายนัก
แต่ถ้าหลิวเฟินรู้เข้าเธอคงรีบเดินทางมาเผิงเฉิงอย่างแน่นอน ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงอยากรอให้แผลของตนน่ากลัวน้อยกว่านี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
กวนฮุ่ยเอ๋อคิดในใจ เอาเซี่ยอวิ๋นสิบคนมารวมกันยังแข็งแกร่งสู้เซี่ยเสี่ยวหลานคนเดียวไม่ได้เลย
ตอนนี้คังเหว่ยฟื้นแล้ว สติของกวนฮุ่ยเอ๋อก็เริ่มกลับมาเข้าที่ เธอรู้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นบริเวณแถบชานเมืองจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย “เธอกับคังเหว่ยไปที่นั่นทำไม... ไปหาโจวเฉิงหรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มกว้าง ก็ไปหาโจวเฉิงน่ะสิคะคุณน้า
การที่คังเหว่ยฟื้นขึ้นมาแล้วไม่ได้ทำให้สติของกวนฮุ่ยเอ๋อคนเดียวที่กลับมา เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนบอกลากันโจวเฉิงเหมือนพูดว่าจะพยายามหาโอกาสมาพบเธออีกหลายครั้งให้ได้ แต่าแที่หน้าและมือของเธอคงไม่สามารถหายได้ภายในสองวันนี้น่ะสิ แต่งหน้าจะช่วยปกปิดได้ไหมนะ?
“คุณน้าคะ โจวเฉิงยังไม่รู้เื่อุบัติเหตุในครั้งนี้ ควรทำอย่างไรกันดีคะ”
—----------------------------------------------------
โจวเฉิงไม่กล้าเหลียวหลังกลับไปมอง
หากเขาหันกลับไปมอง เขาคงทำใจปล่อยเซี่ยเสี่ยวหลานกลับไปไม่ได้แน่นอน
โจวเฉิงเดินตามหลังครูฝึกมาติดๆ โจวเฉิงลองอธิบายเหตุผลกับเขา บอกว่ากว่าตนจะมีแฟนสักคนนั้นไม่ง่ายสักนิด จึงอยากเจอหน้ากันให้บ่อยขึ้น
ครูฝึกมองใบหน้าที่แม้จะถูกแดดเผาจนดำคล้ำ แต่ก็ยังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยนของคนหนุ่ม พลางคิดถึงคู่ครองของโจวเฉิงแล้วรู้สึกว่า โจวเฉิงช่างตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเก่งเสียจริงๆ โจวเฉิงเพิ่งอายุ 22 ปี ก็สามารถจัดการปัญหาใหญ่ของชีวิตได้แล้ว ในขณะที่หนุ่มโสดในกองทัพมีมากมายขนาดนั้น บางคนถูกหน่วยงานเร่งให้แต่งงานจนต้องกลับบ้านเกิดไปดูตัวเสียด้วยซ้ำ... แบบนั้นต่างหากที่เรียกว่าไม่ง่าย!
โจวเฉิงไม่สนใจ เขาตั้งใจแล้วว่าจะตามตื้อครูฝึกคนนี้ให้จงได้
หากเขาไม่ใช่คนที่เซี่ยเสี่ยวหลานใช้เส้นสายหามา ครูฝึกคนนี้ก็คงเป็คนรู้จักของตระกูลโจว มิเช่นนั้นคงไม่ยอมให้เขาได้คุยกับเซี่ยเสี่ยวหลานเช่นนี้แน่นอน
ศักดิ์ศรีของ ‘รองหัวหน้าโจว’ อะไรนั่น โจวเฉิงไม่้าอีกต่อไป ครูฝึกทำหน้านิ่งไม่สนใจเขา โจวเฉิงเดินตามหลังมาติดๆ หลังเซี่ยเสี่ยวหลานออกจากค่ายไปได้สี่สิบกว่านาที จู่ๆ โจวเฉิงก็รู้สึกใจสั่นวูบขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เขากุมหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก ครูฝึกเห็นดังนั้นก็นึกว่าเขากำลังเล่นละคร แต่พอเห็นหน้าผากของโจวเฉิงชื้นไปด้วยเหงื่อ ครูฝึกจึงรีบประคองตัวโจวเฉิงไว้
“โจวเฉิง อย่ามาใช้ไม้นี้นะ!”
โจวเฉิงไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะพูด เมื่อครู่เขายังตื้อคนอื่นไม่เลิก ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกทรมานไปทั้งตัว
ความรู้สึกนี้คงอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่โจวเฉิงกลับรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลย
ตกดึกนักศึกษาทหารภายในค่ายต่างพากันดับไฟเข้านอนกันหมดแล้ว มีเพียงโจวเฉิงที่นอนตาค้างตลอดทั้งคืน!