ตกเย็น ทั่วเมืองเยี่ยนจิงอาบแสงอาทิตย์ขณะลับขอบฟ้า
หลังคาบสุดท้ายใน่บ่ายของโรงเรียนมัธยมปลายเยี่ยนจบลง เหล่านักเรียนต่างเดินออกนอกโรงเรียนไม่ขาดสายเพื่อกลับบ้านหรือกินข้าวมื้อเย็น แต่แทบทั้งหมดกลับมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือหัวข้อบทสนทนา
“ได้ยินเื่นี้หรือยัง เหมือนว่าสาวสวยอันดับหนึ่งของมหาลัยเยี่ยนจะหมั้นกับรุ่นพี่มัธยมปลายปีสามคนหนึ่งของเราที่ชื่อเย่เฟิง!”
“ก็ต้องได้ยินแล้วสิ ความจริงเย่เฟิงเป็ใครกันแน่ คุณหนูใหญ่ตระกูลหลินชอบเขาจริงเหรอ?”
“ฉันได้ยินมาว่าถึงไม่ชอบ ครอบครัวก็บังคับให้หมั้นอยู่ดี”
“พวกแกรู้แค่ผายลมน่ะสิ พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันมานานแล้ว”
“ว้าว จริงเหรอ?”
บทสนทนาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ กระจายเป็วงกว้างและเป็ไปในทำนองเดียวกัน
ซูเมิ่งหานเดินไปหน้าประตูโรงเรียน รูปร่างงดงามของเธอดึงดูดความสนใจจากนักเรียนจำนวนมากในฐานะสาวสวยอันดับหนึ่งของโรงเรียนมัธยมปลายเยี่ยน ไม่ว่าใบหน้าบริสุทธิ์ผุดผ่องและรูปร่างงดงามปรากฏที่ไหนก็ดูเป็ภาพอันสวยงามไปทุกที่
“เฮ้ เื่ลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมเธอไม่ลองถามเสี่ยวมี่เฟิงดูล่ะ” เมื่อโอวบีไล่ตามทันจึงโพล่งถามประโยคหนึ่งก่อนหอบหายใจ ใบหน้ากลัดกลุ้ม
“ไม่จำเป็ ฉันเชื่อใจเขา” ใบหน้าซูเมิ่งหานเปื้อนยิ้มราวกับไม่ใส่ใจข่าวลือและคำนินทาที่แพร่สะพัดทั่วโรงเรียน
“เชื่อใจกับผีน่ะสิ! วันนี้มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยี่ยนมาตามหาเขาให้วุ่นเลย นับดูแล้วมากกว่าเจ็ดสิบกลุ่มเลยด้วยซ้ำ ผู้ชายมากกว่าร้อยคนที่มาหาเื่เขา!” โอวบีก่นด่าอีกประโยค “เ้าหมอนั่นอุตส่าห์ปกปิดความลับได้ดีขนาดนี้ แต่ในมุมของฉัน ตอนนี้เขาอาจกำลังซ่อนตัวหรือลี้ภัยไปแล้ว! เธอดูสิ ไหนจะไอ้อ้วนพุงพลุ้ย นักกีฬาซูโม่ กลุ่มนักมวยอีก ถูกชกทีมันไม่ตลกเลยนะ...”
“ไม่มีทางเป็อย่างนั้นแน่” ซูเมิ่งหานยังคงพูดอย่างดื้อรั้น ดวงตาคู่สวยส่องประกายแน่วแน่
“เฮ้ ฉันจะบอกเธอว่า...” โอวบี้าให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ด้วยการใช้เหตุผลโน้มน้าวใจ แต่พอจะก้าวไปหากลับถูกชายหนุ่มสี่คนจากแก๊งอสรพิษ์ขวางเอาไว้ จึงทำได้เพียงมองตาปริบๆ ดูซูเมิ่งหานเดินจากไป
หญิงสาวไม่ได้หันกลับไปมอง เธอเดินไปขึ้นรถของแก๊งอสรพิษ์ จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไป ั้แ่อยู่โรงเรียนนี้มา เธอไม่เคยไว้หน้าชายหนุ่มคนไหน นี่เป็เพราะเย่เฟิง การคุยกับโอวบีสองประโยคนับเป็เื่ที่หาได้ยากแล้ว
แต่ในสายตาของโอวบี ซูเมิ่งหานคนนี้ดื้อรั้นเกินไปไหม? เื่ใหญ่ขนาดนี้ นึกไม่ถึงเลยว่ายังจะเชื่อใจเย่เฟิงอยู่อีก ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ!
แล้วสาวสวยอันดับหนึ่งของมหาลัยเยี่ยนอย่างหลินซือฉิงล่ะ... หญิงสาวที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถจะชอบคนอย่างเย่เฟิงจริงเหรอ?
โอวบีได้แต่สงสัย เว้นแต่ว่าจริงๆ แล้วเย่เฟิงเป็จอมยุทธ์ในตำนาน แต่จอมยุทธ์ไม่มีทางเข้ามาข้องเกี่ยวกับโลกนอกยุทธภพอยู่แล้ว แล้วจะหมั้นกับหญิงสาวจากตระกูลใหญ่ที่กุมอำนาจเอาไว้ได้อย่างไร?
เขาหยิบมือถือออกมาเพื่อโทรหาเย่เฟิงอีกครั้ง และโทรไม่ติดตามคาด จึงทำได้เพียงกลับบ้านอย่างกระฟัดกระเฟียดเท่านั้น
……......
เวลานี้เย่เฟิงหอบหิ้วร่างไร้เรี่ยวแรงของหลงหว่านเอ๋อร์วิ่งพุ่งไปข้างหน้า
ตามแผนที่ที่จูไป่เหนี่ยวทิ้งไว้ให้ ยิ่งเข้าใกล้สุสานโบราณ หนทางข้างหน้าก็ยิ่งรกร้าง จนเขาต้องขจัดสิ่งกีดขวางต่างๆ ให้พ้นทาง ในที่สุดก็ใกล้ถึงจุดหมายซึ่งเป็ทางเข้าสุสานโบราณ
“ปะ... ปล่อยฉันเถอะ ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว...” หลงหว่านเอ๋อร์พิงอกของเขา ใบหน้าสวยกำลังหอบหายใจ มือทั้งสองข้างกอดเย่เฟิงไว้หลวมๆ เธอใกล้จะยับยั้งพิษในร่างไว้ไม่ไหวแล้ว หากมันปะทุขึ้นมา คงมีแต่์ที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“พ่อของเธอกำลังไล่ตามมา ฉันปล่อยเธอไม่เท่ากับรนหาที่ตายเหรอ?” เย่เฟิงพูดเสียงเบาด้วยความไม่พอใจ เขาไม่ไยดีเธอแต่แรกอยู่แล้ว
ชายหนุ่มนึกรังเกียจการกระทำของศิษย์สำนักหมัดเทวาคู่นั้น แค่้าผู้หญิงสักคนไม่เห็นจำเป็ต้องทำตัวต่ำช้าถึงเพียงนี้ การกอดร่างบางเอาไว้ส่งผลให้เขาเกิดความปรารถนาอย่างไร้ทางเลี่ยง ก็ใครใช้ให้หลงหว่านเอ๋อร์มีร่างกายนุ่มนิ่มจนน่าััไปหมดทั้งตัวกันล่ะ
ตอนอาศัยอยู่ในโลกเทวะ เขาติดตามท่านอาจารย์มาตลอดจึงไม่เคยใกล้ชิดกับหญิงใด เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่ที่เมืองนี้กลับมีโอกาสเกี่ยวข้องกับสาวสวยอย่างซูเมิ่งหานและหลงหว่านเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย
ก่อนหน้านี้เย่เฟิงชอบความใสซื่อบริสุทธิ์และความจิตใจดีของซูเมิ่งหาน แต่ไม่รู้สึกอะไรกับหลงหว่านเอ๋อร์เลย ทว่าตอนนี้ร่างหอมในอ้อมกอดกลับทำให้เขาเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมา...
ย่างก้าวไร้เงาถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทัศนียภาพระหว่างทางดูเลือนลางและหายไปอย่างรวดเร็ว เย่เฟิงวิ่งเป็ระยะทางกว่าสองกิโลเมตรในเวลาเพียงหนึ่งนาที เมื่อพลังงานถูกใช้จนใกล้ถึงขีดจำกัด สองขาก็เริ่มก้าวช้าลง
ทั้งร่างของหลงหว่านเอ๋อร์ร้อนผ่าว จิตใจที่เอ่อล้นด้วยความปรารถนาอย่างประหลาดทำให้เธอเขินอาย หญิงสาวรู้สึกเพียงเย่เฟิงพาตนวิ่งแต่ไม่สนใจว่ามันเร็วมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นคงต้องแปลกใจแน่นอน
ในเวลาเพียงหนึ่งนาที เย่เฟิงก็ทิ้งระยะห่างจากพ่อของเธอ
ในที่สุดหน้าผาเล็กๆ ก็ปรากฏต่อหน้าเย่เฟิง ในใจเขาเต็มไปด้วยความยินดี นั่นไม่ใช่ทางเข้าสุสานโบราณตามที่จูไป่เหนี่ยวบอกเอาไว้เหรอ
ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วขณะที่แขนข้างหนึ่งโอบเอวของหลงหว่านเอ๋อร์ไว้ ตามคำพูดของจูไป่เหนี่ยวบริเวณนี้มีเชือกหวายเส้นใหญ่ที่แข็งแรงพอให้เขายึดจับได้ จากนั้นพาหลงหว่านเอ๋อร์ปีนลงไปด้วย
แม้จะมีสองคน แต่น้ำหนักตัวหลงหว่านเอ๋อร์ไม่มากนัก เชือกหวายจึงรองรับน้ำหนักได้อย่างสบาย
หลังลงไปหลายสิบเมตรแล้ว ในที่สุดเย่เฟิงก็หยุดบนหินก้อนใหญ่ขนาดเทียบเท่ารถบรรทุกแล้วปล่อยเชือกหวาย
เย่เฟิงออกแรงดึงจนเชือกเส้นนั้นขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่าจากพ่อของเธอ นั่นไม่ใช่เื่สนุกเลย พอเห็นนิสัยของชายผู้สุขุมภูมิฐานนั้นแล้ว เย่เฟิงก็รู้ทันทีว่าฝ่ายตรงข้ามมีเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนมานานนับสิบปีทั้งยังมีความสามารถมาก หากอีกฝ่ายใช้กระบี่ แม้แต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้
เย่เฟิงหยิบห่อสีดำอันเล็กออกจากอก จากนั้นกางแผนที่เพื่อดูอันตรายระหว่างเข้าสุสานโบราณแห่งนี้
หลงหว่านเอ๋อร์พิงอกของอีกฝ่ายพลางมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังและพบว่ามีเพียงเส้นทางเดียว คือรอยแยกของหินที่สามารถทะลุเข้าไปด้านในได้ ไม่อย่างนั้นคงมีแค่ต้องะโผาเท่านั้น เมื่อมองเมฆหมอกข้างล่างนั้น หากกะโดดลงไปคงไม่มีทางรอดแน่นอน
หลังพบว่าบริเวณผาชันมีเมฆหมอกแบบเดียวกันก็เริ่มคิดหนัก เพราะทางที่มืดสนิทคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก หากเป็แบบนี้พ่อของเธอก็อาจไม่สามารถช่วยเธอได้หรือเปล่านะ?
ไม่รู้ว่าไอ้คนสวมหน้ากากนี่้าทำอะไรถึงพาเธอมาที่นี่... ขณะนั้นเองหญิงสาวเห็นเขาจดจ่อกับแผนที่ในมือก็ใจเต้นรัว
ได้เวลาลงมือ ห้ามพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด!
หลงหว่านเอ๋อร์ผู้มีพลังลมปราณระดับสิบปีะเิพลังในฉับพลัน ก่อนหมุนตัวะโออกจากอกของเย่เฟิงพร้อมฉวยแผนที่จากมืออีกฝ่าย จากนั้นวาดกระบวนท่าเทพัฟาดหางเตะ่เอวของเย่เฟิง!
ชายหนุ่มใกับการโจมตีกะทันหันของเธอ แต่โชคดีที่เขาตื่นตัวตลอดจึงตอบสนองได้ทันทีโดยเค้นกำลังเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่น้อยนิดใช้ย่างก้าวไร้เงาเพื่อหลบฝ่าเท้าพิฆาตของหลงหว่านเอ๋อร์!
เมื่อพิจารณาจากแรงเตะ หากเย่เฟิงถูกการจู่โจมนี้คงต้องปลิวออกนอกหน้าผา และมีจุดจบเหมือนลัวลี่ ลัวเหลยและคนอื่นก่อนหน้านี้เป็แน่
เมื่อเย่เฟิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้งกลับไม่พบร่างของหลงหว่านเอ๋อร์แล้ว เห็นอีกทีเธอก็วิ่งเข้ารอยแยกระหว่างหินซึ่งเป็ทางเข้าสู่สุสานโบราณ
เย่เฟิงวิ่งตามเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ ยิ่งเดินลึกเข้ามาในถ้ำก็ยิ่งมืดจนมองไม่เห็นนิ้วมือของตัวเองทั้งที่วิ่งเข้ามาเพียงครู่เดียว...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้