บทที่ 52 มู่หรงเซียวงุนงง
หลี่โม่กวาดสายตามองผู้เฒ่าชุดม่วงแวบหนึ่ง ก่อนประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า
“ศิษย์น้อยคารวะท่านเ้าจวนมู่หรงขอรับ”
มู่หรงไห่ลูบหนวดเครายิ้มแย้ม “เชิญนั่งเถิด”
“นี่คงเป็ศาสตรากระบี่เพลิงสีชาดกระมัง”
“ในอนาคตของสำนักชิงเยวียน เกรงว่าคงจะมีเซียนกระบี่เพิ่มขึ้นอีกสองคนแล้ว”
ผู้เฒ่าชุดม่วงหัวเราะเบาๆ ไม่ได้วางท่าทีเป็เ้าจวนแต่ประการใด
แม้ราชวงศ์ต้าอวี้จะปกครองใต้หล้าโดยชอบธรรม แต่หลี่โม่ก็รู้ดีว่าความเป็จริงนั้นต่างออกไป ดินแดนส่วนใหญ่ในเก้าฟ้าสิบพิภพล้วนอยู่ใต้การปกครองของสำนักต่าง ๆ คล้ายกับเ้าครองแคว้นในอดีตกาล
เขาเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์ ทราบว่าเดิมทีทุกหย่อมหญ้าใต้ฟ้าล้วนเป็ของราชวงศ์อย่างแท้จริง จนกระทั่งจักรพรรดิอู่แห่งราชวงศ์อวี้ก่อฏและให้สัญญาจะแบ่งปันการปกครองกับสำนักต่าง ๆ จึงได้รับแรงสนับสนุนจนเปลี่ยนแปลงฟ้าดินสำเร็จ ดังนั้นโดยตำแหน่งแล้ว มู่หรงไห่ก็ยังคงเป็เ้าจวนผู้มีฐานะทัดเทียมกับเ้าสำนักชิงเยวียน หลี่โม่จึงไม่กล้าเสียมารยาท
การทักทายพูดคุยผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนล่วงเลยเข้าสู่่บ่าย ที่จวนจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ในงานมีทั้งอาหารจากสัตว์ปีก สัตว์บก สัตว์น้ำ ครบครันทุกอย่าง อีกทั้งข้างกายแต่ละคนยังมีสาวงามคอยปรนนิบัติ
“เซียวเอ๋อร์ อยู่ที่สำนักชิงเยวียน ไม่มีข้าคอยดูแล มิได้เกียจคร้านใช่หรือไม่?”
มู่หรงไห่จับมือหลานชายััอย่างเงียบๆ พลันอุทานเบาๆ
“นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่วิชาบำเพ็ญกายของยอดเขาศาสตรานะ”
“ท่านปู่ดูออกด้วยหรือขอรับ”
มู่หรงเซียวหัวเราะแห้งๆ
“ศิษย์พี่หลี่มอบวิชานี้ให้ข้า ข้ายังเริ่มฝึกเลยได้มิถึงไหนเลยขอรับ”
สองปู่หลานมองมาที่เขา ท่านปู่ลังเลเล็กน้อย ขณะที่หลานชายมองมาอย่างเกรงใจและใคร่รู้
หลี่โม่ยิ้มอย่างไม่แยแส
“ให้ท่านปู่ของเ้าดูเถิด ไม่ใช่ตำราที่ยืมมาจากหอคัมภีร์ ไม่ต้องกลัวว่าจะรั่วไหลไปภายนอก”
มู่หรงเซียวจึงวางใจหยิบตำราออกมา
“‘เกราะทองคุ้มกาย’...”
มู่หรงไห่หรี่ตาลง ยิ่งอ่าน แสงในดวงตายิ่งเจิดจ้าขึ้น เขาเองก็เป็นักยุทธ์ในขอบเขตปราณญาณเทพ เมื่อมองปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็วิชาบำเพ็ญกายที่เอนเอียงไปทางพุทธะ ไม่เพียงแต่สามารถบำเพ็ญกายได้เท่านั้น แต่ยังสามารถขจัดจิตใจที่ว้าวุ่นและชำระล้างจิตใจได้อีกด้วย ให้เซียวเอ๋อร์ฝึกนั้นเหมาะสมอย่างยิ่ง อันที่จริง ่นี้เขากำลังพยายามหาวิชาการต่อสู้ประเภทเดียวกันมาตลอด แต่ก็ไม่พบอะไรเลย วิชาเกราะทองคุ้มกายนี้ เกรงว่าจะล้ำค่าอย่างยิ่งในบรรดาวิชาบำเพ็ญกายระดับสูง...
“เสี่ยวหลี่ วิชาฝึกฝนนี้ล้ำค่า ไม่ควรถ่ายทอดให้ผู้อื่นโดยง่าย...”
“ข้ากับมู่หรงเซียวคบหากันดั่งมิตรแท้ เกราะทองคุ้มกายเล่มนี้เหมาะกับเขาพอดี ถือเป็การหาผู้สืบทอดให้วิชาการต่อสู้ชุดนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นคงจะสูญหายไปเป็แน่”
หลี่โม่เห็นความลังเลของมู่หรงไห่ ไม่ว่าจะเป็สำนักใหญ่หรือเล็ก ล้วนให้ความสำคัญกับวิชาการต่อสู้ของตนเองอย่างยิ่ง และห้ามมิให้ถ่ายทอดออกไปภายนอกโดยเด็ดขาด การแอบเรียนรู้วิชาการต่อสู้ หากถูกเ้าของจับได้ ผู้คนก็มีสิทธิ์บุกไปสังหารได้อย่างสมเหตุสมผล อย่างน้อยที่สุดก็ต้องถูกทำลายวิชา
มู่หรงไห่เป็ห่วงที่มาของวิชาการต่อสู้ แต่เมื่อได้ยินหลี่โม่กล่าวเช่นนั้น คิ้วของมู่หรงไห่ก็คลายออก เขาไม่เคยได้ยินว่ามีสำนักใหญ่ใดในยุทธภพที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยวิชาบำเพ็ญกายระดับสูงเช่นนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้คือ ศิษย์สายตรงหลี่ผู้นี้คงจะเข้าใจเซียวเอ๋อร์เป็อย่างดี... รวมถึงเื่ที่มาของวิชานี้ด้วย
“ศิษย์สายตรงหลี่มีวาสนาไม่น้อย หรือได้พบพานกับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ถ่ายทอดวิชาให้กันแน่?”
เ้าจวนที่ไม่ได้พูดมานาน พลันเอ่ยถามขึ้น
“ก็ประมาณนั้นขอรับ”
หลี่โม่พยักหน้าเบาๆ
“บุญคุณแห่งการถ่ายทอดวิชา ตระกูลมู่หรงของข้าจะจดจำไว้”
มู่หรงไห่เผยรอยยิ้มที่ดูเป็มิตร
“ในเมื่อเสี่ยวหลี่มาถึงเมืองจื่อหยางแล้ว ก็พักอยู่ที่นี่หลายวันหน่อยเถิด ให้พวกเราได้ทำหน้าที่เ้าบ้านอย่างเต็มที่”
กล่าวพลางมองไปยังหลานชายของตน พร้อมกำชับว่า
“เซียวเอ๋อร์ ต่อไปให้ถือว่าเสี่ยวหลี่เป็พี่ชาย รู้หรือไม่?”
ศิษย์สายตรงหลี่ผู้อยู่ตรงหน้า ไม่เพียงแต่มีพร์ดีงาม แต่การวางตัวในสังคมก็เหมาะสมอย่างยิ่ง ในอนาคตย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน คนเช่นนี้ ตราบใดที่ไม่เกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้น ย่อมต้องเป็หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของสำนักชิงเยวียน หรืออาจถึงขั้นเป็เ้าสำนักก็เป็ได้ แม้จะปราศจากเื่การถ่ายทอดวิชา เขาก็จำเป็ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้
มู่หรงเซียวพยักหน้าหงึกๆ ราวกับไก่จิกข้าว ยังต้องให้ท่านปู่เตือนอีกหรือ?
“เ้ากับเซียวเอ๋อร์ลงจากเขา น่าจะมาทำภารกิจของสำนักใช่หรือไม่?”
“ใช่ขอรับท่านปู่ ข้าจะไปหาหญ้าโลหิตสิบต้น ส่วนศิษย์พี่หลี่จะไปตามจับคนร้ายชุยเผิง”
“ชุยเผิง...”
มู่หรงไห่ลูบเครา พลางครุ่นคิด ผู้เฒ่าชุดม่วงดูเหมือนจะมีภาพจำของคนผู้นี้ดี
“คนผู้นี้เคยเป็ศิษย์ของสำนักจินหยาง ต่อมาได้ทรยศสำนักและกลายเป็โจรชั่วที่กระทำผิดอย่างอุกอาจ หลังจากหลบหนีมายังแคว้นจื่อหยาง เคยสังหารเ้าหน้าที่ราชการไปหลายคน ดังนั้นเื่นี้จึงถูกส่งขึ้นมายังสำนักชิงเยวียน”
ในฐานะเ้าจวน เขาดูแลแค่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น ส่วนเื่ของผู้ฝึกยุทธ์ สำนักชิงเยวียนจะเป็ผู้จัดการทั้งหมด
“เฒ่าผู้นี้จะให้คนไปสืบดูเสียหน่อย หากศิษย์สายตรงหลี่้าความช่วยเหลือใดอีก ก็สามารถบอกได้เต็มที่”
มู่หรงไห่กล่าวอย่างไม่นึกกังวล สำหรับเขาแล้ว การตามหาโจรชั่วขอบเขตปราณภายในคนหนึ่ง ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไร
หลี่โม่ไม่เล่นตัว
“ศิษย์น้อยมีเื่ส่วนตัวเื่หนึ่งอยากเรียนให้ทราบขอรับ”
“พูดมาได้เลย”
“ครอบครัวศิษย์น้อยมีคำสอนว่า ทุกปีต้องทำบุญสร้างกุศลหนึ่งครั้ง ดังนั้นจึงอยากจะขอยืมคนจากท่านเ้าจวนสักหน่อย เพื่อเปิดโรงทานแจกข้าวแจกน้ำในเมือง...”
การกระทำของเขาในครั้งนี้ แน่นอนว่าเพื่อช่วยยัยก้อนน้ำแข็งตามหาคน หากคนที่ตามหาเป็ขอทานน้อย วิธีที่ดีที่สุดก็คือการแจกจ่ายอาหาร ดังที่ยัยก้อนน้ำแข็งกล่าว ผู้ที่นางตามหาน่าจะอยู่ในสภาพยากลำบาก เมื่อทราบข่าวแล้ว ย่อมต้องปรากฏตัว ถึงตอนนั้นเขาก็เพียงเปิดเนตรทิพย์ลิขิตฟ้า นั่งรอให้เป้าหมายเข้ามาติดกับเอง ทั้งยังถือเป็การสร้างบุญกุศลด้วย แม้จะไม่ได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ แต่อย่างน้อยต้องได้กำไรเป็แน่!
“เสี่ยวหลี่มีจิตใจเมตตาเช่นนี้ หายากนัก”
“มาเถิด! ยกสุรามา! เฒ่าผู้นี้จะดื่มกับเสี่ยวหลี่ให้เต็มที่!”
มู่หรงไห่ตบโต๊ะเสียงดัง ราวกับได้พบสหายรู้ใจ บรรยากาศในงานเลี้ยงยิ่งอบอุ่นและคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
“หลี่เสี่ยวโหย่ว เฒ่าผู้นี้ขอคารวะท่านหนึ่งจอก!”
“ดื่ม!”
เ้าจวนยังกล่าว “มาอีกหนึ่งจอก!”
“ยินดีขอรับ!”
ท่านปู่หัวเราะ
“ฮ่ะๆ ๆ ดื่มเก่งยิ่งนัก”
“ท่านพี่พูดอะไรเช่นนั้น”
มองดูทั้งผู้เฒ่าและผู้เยาว์ดื่มกินพลางพูดคุยอย่างมีความสุข
มู่หรงเซียวงุนงงอยู่ในใจว่า "นี่ นี่มันไม่ถูกต้อง!"
เ้าจวนลุกขึ้นอำลา แล้วเดินออกไปข้างนอก ขณะเดินออกไปนอกประตู สายตาของเขาก็เหลือบมองหลี่โม่แวบหนึ่ง พลางหรี่ตาลง
การสืบทอดที่ทำให้เกิดแสงแห่งหงส์์ในวันนั้น ไม่ได้อยู่ที่ตัวคนผู้นี้...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้