เมื่อกลับถึงที่พำนัก
ฉินอวี่ก็สร้างค่ายกลขึ้นมาสองสามชุด และเริ่มการฝึกฝนอีกครั้ง
เวลาบีบคั้นเข้ามา ฉินอวี่มีเวลาเพียงสองปีสามเดือนที่จะต้องเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สองให้ได้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เขาเข้าถึงสิบอันดับแรก
ขั้นปราณเสถียรเป็การศึกษาเื่ของการเพิ่มพลังปราณให้เข้าถึงขีดสุด และฉินอวี่ก็แน่ใจว่าเขาจะต้องก้าวสู่ขั้นเทียนชุ่ยได้ในระยะเวลาสองปีสามเดือนอย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สองได้หรือไม่
ยิ่งระดับการฝึกฝนสูงขึ้น ความรวดเร็วในการยกระดับขึ้นไปก็จะยิ่งช้า และในระดับขั้นเทียนชุ่ยสามชั้นนั้นจะต้องทำให้พลังปราณและเืลมทั่วทั้งร่างมีความแข็งแกร่งจากพลังของฟ้าดิน ระยะเวลาสองปีไม่ใช่ปัญหาสำหรับการเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง เพราะฉินอวี่มีพลังอสุนีลึกลับและเพลิงแอ่งธรณีคอยช่วยยกระดับพลังปราณให้เข้าสู่ระดับสูงสุดได้ ซึ่งนั่นนับเป็ก้าวแรกสู่ระดับขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่หนึ่ง
แต่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สองนั้นเป็การศึกษาการหลอมเืลมด้วยพลังของฟ้าดิน และจำเป็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการหลอมเืลมด้วยพลังฟ้าดิน นอกจากนี้ยังต้องใช้เืของอสูรร้ายเข้าช่วยเพิ่มพลังของเืลมในร่างกายอีกด้วย
เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สอง เืลมในร่างกายจำนวนหนึ่งก็ย่อมมีพลังแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งนี่เป็สาเหตุว่าเหตุใดหยดเืปีศาจนั่นจึงถูกเพลิงอสุนีบาตระงับเอาไว้ได้
“ทางที่ดีที่สุดจะต้องเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่หนึ่งให้ได้ในระยะเวลาปีครึ่ง สำนักยุทธ์ว่านจ้งตั้งอยู่ในแดนแสนภูผา ในูเาใหญ่โตนี้จะต้องมีอสูรร้ายอาศัยอยู่แน่นอน ถึงเวลานั้น ก็ค่อยเข้าไปฝึกอยู่ในแดนแสนภูผาเพื่อหาประสบการณ์ได้” ฉินอวี่พึมพำ
เป็เพราะเมื่อเก้าเดือนก่อน หลังจากฉินอวี่ได้ศึกษาร่างป้องกันอสุนีลึกลับก็ถูกคัดเลือกให้เป็กุมารโอสถของเลี่ยเอ๋า จึงยังไม่มีเวลาได้ทำการศึกษาคู่มือแก่นพลัง และหนึ่งเดือนจากนี้ไปจะมีการประกาศเื่ผู้ดูแลหอตำรา ฉินอวี่จึงตั้งใจว่าจะใช้เวลาหนึ่งเดือนนี้ในการศึกษาคู่มือแก่นพลัง
สายฟ้าสามารถแบ่งแยกออกไปได้หลายประเภท ระดับต่ำที่สุดคืออสุนีลึกลับ เหนืออสุนีลึกลับขึ้นไปคืออสุนีคำราม ในคู่มือแก่นพลังได้กล่าวไว้ว่าวิชานี้จะช่วยชำระล้างและบีบอัดอสุนีลึกลับ ยกระดับอสุนีลึกลับขึ้นสู่อสุนีคำราม ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังของมันได้อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การบีบอัดและการชำระล้างที่จะเกิดขึ้นนี้ ทำให้ฉินอวี่พูดไม่ออก เพราะมันคือการใช้อสุนีลึกลับโจมตีใส่กันและกัน
“ด้วยแก่นพลังและการได้รับพรจาก์ ทำให้ได้ร่างอสุนีลึกลับ แต่ก็เป็อสุนีลึกลับที่ยังอ่อนแอ ดังนั้น จึงต้องทดลองใช้วิธีการต่างๆ ช่วยเปลี่ยนแปลงอสุนีลึกลับ และด้วยการโจมตีของอสุนีลึกลับต่ออสุนีลึกลับจะช่วยให้เกิดความบริสุทธิ์มากขึ้น ร้อยครั้งเพื่อความบริสุทธิ์ พันครั้งเพื่อจุดสูงสุด หลอมเหลวกันอีกหลายพันครั้งจนแปลงเป็อสุนีคำรามได้สำเร็จ แต่สิ่งต้องห้ามเด็ดขาด คือการเปลี่ยนแปลงนับหมื่นจนว่างเปล่า เพียงแต่ หากเดาไม่ผิด หากใช้อสุนีคำรามโจมตีอสุนีคำราม และทำเช่นนั้นนับหมื่นครั้ง จะต้องเปลี่ยนแปลงเป็อสุนี์ได้ วิธีการนี้ ถูกเรียกว่า วิชาแปลงอสุนีคำราม!”
เมื่อมองจากอักษรที่อยู่้าก็พอจะเข้าใจได้ ว่าการใช้อสุนีลึกลับโจมตีอสุนีลึกลับสามารถทำให้อสุนีลึกลับยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้น หากทำพันครั้งก็จะทำให้อสุนีลึกลับบริสุทธิ์ถึงขีดสุด และการหลอมรวมอันทรงพลังนี้จะช่วยให้เปลี่ยนไปเป็อสุนีคำรามได้! ส่วนการเปลี่ยนแปลงนับหมื่นสู่ความว่างเปล่านั้น น่าจะเป็การกระทำหมื่นครั้ง ซึ่งมีผลให้อสุนีลึกลับต้องสลายไป เพียงแต่ หากใช้อสุนีคำรามโจมตีอสุนีคำรามก็จะสามารถโจมตีหมื่นครั้งได้ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะสามารถเปลี่ยนเป็สายฟ้าที่สูงขึ้นได้หรือไม่
“การโจมตีกันและกันพันครั้ง หมื่นครั้ง เอ่อ... แก่นพลังนี่มัน...” ฉินอวี่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก และไม่รู้ว่าจะวิจารณ์วิชาแก่นพลังนี้อย่างไรดี หากใช้สิ่งนี้... ก็อาจพูดได้ว่าเขาได้ใช้วิธีการโบราณมายกระดับอสุนีลึกลับ แต่... มันก็สามารถทำให้เขาประสบความสำเร็จได้จริงๆ
ในตอนนั้น ระหว่างทางที่เขาเดินทางมาสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ฉินอวี่ได้ทำการรวบรวมอสุนีลึกลับจำนวนยี่สิบสี่สายเอาไว้ในจุดตันเถียนของเขา และผ่านการบำรุงหล่อเลี้ยงโดยเมล็ดพันธุ์คืนชีพมาหลายเดือนแล้ว สายฟ้าทั้งยี่สิบสี่สายมีขนาดความหนาประมาณนิ้วก้อย แต่มีพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี่จึงตัดสินใจใช้สายฟ้าทั้งยี่สิบสี่สายนี้ทำตามขั้นตอนของคู่มือแก่นพลัง เพื่อการยกระดับอสุนีลึกลับขึ้นเป็อสุนีคำราม
ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็ใช้มือข้างหนึ่งต่อการควบคุมอสุนีลึกลับหนึ่งสาย และนำสายฟ้าทั้งสองโจมตีกันและกัน
“เปรี้ยง!” เสียงฟ้าผ่าดังะเิขึ้นมา ทั่วทั้งห้องเกิดแสงสว่างจ้าเหมือนแดดยามกลางวัน ฉินอวี่ตกตะลึงและรีบเรียกอสุนีลึกลับกลับคืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงวางค่ายกลปิดกั้นเสียงไว้ในห้อง ก่อนจะเริ่มการทดลองต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไปความถี่ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ฉินอวี่ค้นพบสิ่งที่น่าใว่าวิธีนี้ได้ผลเป็อย่างดี หลังอสุนีลึกลับที่มีความหนาเท่านิ้วก้อยอยู่แต่เดิม ได้ผ่านการปะทะกันถึงหนึ่งร้อยครั้ง มันก็มีความหนาเพียงครึ่งนิ้วก้อย และมีพลังที่เพิ่มมากขึ้น
หลังจากยืนยันได้ว่าวิธีนี้ได้ผล ฉินอวี่ก็เพิ่มพลังเข้าไปทันที
เพียงพริบตาเดียว ่เวลาการประกาศตำแหน่งผู้ดูแลหอตำราก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ในวันนี้ ฉินอวี่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง หรี่ตาทั้งสองลง และกำลังประหลาดใจกับอสุนีคำรามที่ส่องแสงสว่างบาดตาซึ่งมีขนาดเท่าเส้นผมในมือของเขา อสุนีคำรามนี้มีความบริสุทธิ์กว่าอสุนีลึกลับกว่าร้อยเท่า ยิ่งกว่านั้นมันยังมีพลังปราณแห่งการทำลายล้างแฝงอยู่ด้วย
อสุนีคำราม! นี่คืออสุนีคำราม!
หากว่ากันตามวิธีการโบราณของแก่นพลังนั่น ฉินอวี่ได้สร้างอสุนีคำรามขึ้นมาได้แล้วจริงๆ สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ตื่นเต้นมาก บางครั้งวิธีการที่ธรรมดาที่สุดและหยาบคายที่สุด กลับให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉินอวี่ต้องแลกมานั้นก็นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เขาต้องฟังเสียงฟ้าผ่ามานับพันครั้ง จนหูของเขาอื้ออึงเกือบจะหูหนวก และการัักันครั้งสุดท้ายของอสุนีลึกลับทำให้ฉินอวี่ต้องพบแรงกดดันที่มหาศาล จนเส้นประสาททั่วร่างเริ่มตึงเครียด เมื่อทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เขาจึงรู้สึกเหมือนกำลังจะแตกสลาย
ฉินอวี่ตั้งใจนำอสุนีคำรามเก็บไว้ในจุดตันเถียนอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงยกนิ้วเขี่ยขยี้หูทั้งสองข้าง ก่อนนั่งลงเริ่มทำสมาธิ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉินอวี่ก็เริ่มหมดแรง แต่เสียงะเิในหูของเขายังคงดังกึกก้อง เขาลองคำนวณดูเวลา จึงพบว่าวันนี้เป็วันประกาศผลตำแหน่งผู้ดูแลหอตำรา เขาจึงลุกขึ้นยืน และเปิดประตูห้อง แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องแปลกใจคือมีวงแหวนมิติถูกวางไว้อย่างเงียบๆ ที่หน้าประตู
“ใครนำมาวางไว้?” ฉินอวี่หรี่ตาลง และกวาดสายตามองโดยรอบ ตลอดหนึ่งเดือนนี้เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนวิชาสายฟ้าจึงไม่รู้สึกว่ามีคนมาหาเขา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ยกมือขวาขึ้น วงแหวนมิติก็ลอยเข้ามาในมือเขาทันที
“นี่คือ?” ดวงตาของฉินอวี่เปล่งประกาย ในวงแหวนมิติมีชุดคลุมสีดำและป้ายคำสั่งสีครามชิ้นหนึ่ง
ฉินอวี่หยิบสิ่งของทั้งสองชิ้นขึ้นมาดู เมื่อมองดูป้ายคำสั่งสีครามอย่างละเอียด เขาจึงพบว่าบนป้ายคำสั่งมีอักษร “จื๋อ” ที่หมายถึงการดูแลอยู่้าแผ่นป้าย และ้าสุดมีรูปอาคารเจ็ดชั้นอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งนั่นคือหอตำรา!
“ผ่านแล้วหรือ?” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง สายตาของเขามองไปทางหอตำรา แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็คนนำมาวางไว้ แต่สถานะของคนผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน และที่สำคัญ คนผู้นี้จะต้องจับตามองเขามานานแล้ว
ฉินอวี่ไม่คิดอะไรมาก และมองชุดคลุมสีดำอีกครั้ง จึงพบว่าชุดคลุมสีดำนี้ไม่ธรรมดา มีลวดลายเรียงตัวกันอย่างหนาแน่น ตรงตำแหน่งใบหน้ามีหน้ากากอยู่ชิ้นหนึ่ง ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และหยิบชุดคลุมสีดำขึ้นมา ก่อนจะหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมบนใบหน้า เขาจึงพบว่าพลังปราณและลมหายใจทั่วทั้งร่างถูกเสื้อคลุมสีดำปิดบังเอาไว้ เมื่อรวมกับการสวมหน้ากากแล้ว คิดว่าคงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะจำได้ว่าเป็ตนเอง
“ใครเป็คนส่งมากันแน่? เขารู้ด้วยหรือว่าข้า้าปิดบังตัวตน? หรือผู้ดูแลหอตำราต้องแต่งตัวเช่นนี้?” ฉินอวี่เริ่มสงสัยขึ้นมาในใจ และถอดเสื้อคลุมสีดำออก นำทุกสิ่งใส่กลับไปในวงแหวนมิติ ก่อนจะเดินออกไป
เมื่อฉินอวี่เดินทางมาถึงหอตำรา ทั่วทั้งหอตำราก็เต็มไปด้วยความโกลาหล
“ซวีอู๋? ซวีอู๋เป็ใครกัน?”
“ซวีอู๋นี่คือใครอีก? โผล่ออกมาจากไหน? เหตุใดบนแผ่นศิลาจึงไม่มีคนไร้ชื่อผู้นี้?”
“เอ่อ... นี่มันเื่อะไรกัน?”
“ฮ่าๆ เมื่อเดือนก่อนจางอี้เหวินมั่นใจนักมิใช่หรือว่าเขาจะต้องได้ตำแหน่งผู้ดูแล? น่าขำจริงๆ ข้าบอกแล้วอย่างไรล่ะ เ้าจางอี้เหวินนั่นไม่มีทางเป็ผู้ดูแลได้หรอก”
ศิษย์ทุกคนต่างยืนอยู่เบื้องหน้าหอตำรา มองไปยังกระดาษแดงที่ติดอยู่ด้านข้างประตูหอตำรา บนกระดาษแผ่นนั้นเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ที่ดูมีพลังเอาไว้ว่า “ผู้รับผิดชอบดูแลหอตำราคนใหม่: ซวีอู๋!” นอกจากนี้ที่มุมล่างทางด้านขวาของกระดาษแดง ยังมีรอยประทับสีม่วงขนาดเท่าเล็บมืออยู่หนึ่งรอย
ฉินอวี่ยืนอยู่ด้านหลังผู้คนเ่าั้ และฟังการสนทนาของพวกเขา สีหน้าของเขาตกตะลึงเป็อย่างยิ่ง ซวีอู๋? ตนเองไปชื่อซวีอู๋ั้แ่เมื่อไรกัน? ในขณะที่ฉินอวี่กำลังสงสัยอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงะโอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นมา “ข้าไม่เชื่อหรอกว่านอกจากข้าแล้วจะมีคนผ่านการทดสอบขั้นที่สอง ซวีอู๋นี่เป็ใครกัน? แล้วเหตุใดจึงไม่มีชื่อของเขาอยู่บนแผ่นศิลา เขามีสิทธิ์อะไรจะขึ้นมาเป็หนึ่งในผู้ดูแลทั้งสี่ของหอตำรา? ข้า้าคำอธิบาย!”
เสียงนี้ถ้าไม่ใช่จางอี้เหวินแล้วจะเป็ผู้ใดได้อีก? ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมองออกไป เขาก็พบกับจางอี้เหวินกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตู หันหลังให้กับตนเอง แม้ว่าจะมองเห็นสีหน้าท่าทางของเขาได้ไม่ชัดเจน แต่ก็มองเห็นได้ชัดว่าจางอี้เหวินกำลังกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ขณะที่ฉินอวี่กำลังจะเข้าไปในฝูงชน ฉู่เยว่ฉานก็อยู่ท่ามกลางฝูงชนเ่าั้เช่นกัน หัวใจของฉินอวี่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที และเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่หญิงฉู่”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เยว่ฉานก็หันไปด้านข้าง เมื่อเห็นฉินอวี่ นางก็ยิ้มขึ้นทันที “ครั้งนี้เ้าโชคดี ต่อไปก็อย่าไปทำให้ใครเขาต้องขุ่นเคืองอีก” ครั้งนี้ฉู่เยว่ฉานตั้งใจมาถึงหอตำราั้แ่เนิ่นๆ เพราะนางเป็กังวลว่าหากจางอี้เหวินได้เป็ผู้ดูแลอาจจะสร้างความอึดอัดให้ฉินอวี่ แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงเลยก็คือจู่ๆ กลับมีคนที่ชื่อ “ซวีอู๋” ปรากฏตัวขึ้นมาเป็ผู้ดูแล
ในเวลานี้ เมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งที่ด้านข้างฉู่เยว่ฉานได้ยินดังนั้นก็หันกลับมา เขากวาดสายตามองฉินอวี่ และพูดอย่างตรงไปตรงมา “เ้าคือฉินอวี่คนที่ศิษย์น้องหญิงฉู่พูดถึงหรือ?”
ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมอง เขาเป็ชายหนุ่มที่มีหน้าตาธรรมดา แต่กลับทำให้ผู้คนต่างสงบนิ่ง ให้ความรู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยว เส้นผมของเขายาวปรกไหล่ สวมชุดบัณฑิตสีน้ำเงินอ่อน ดูเปล่งไปด้วยพลังที่ไม่ธรรมดา
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือ ชายหนุ่มในชุดบัณฑิตผู้นี้อยู่ในขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สาม มีพลังปราณที่หนาราวกับหินแกร่ง นอกจากนี้ ยามที่เขาจับจ้องมา ทำให้ฉินอวี่รู้สึกเหมือนกำลังถูกงูพิษจ้องมอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนผู้นี้เป็คนไม่ธรรมดาแน่นอน
“ใช่ ข้าคือฉินอวี่ มิทราบว่าศิษย์พี่คือ...” ฉินอวี่ถามออกไป
“ศิษย์น้องฉิน ผู้นี้คือฉู่สยง เป็ศิษย์พี่ของข้า เขาเพิ่งกลับมาจากแดนขัดเกลา หากเ้ามีเวลาว่างก็พูดคุยกับเขาบ่อยๆ จะเป็ประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเ้า” ฉู่เยว่ฉานแนะนำให้ฉินอวี่
“ท่านคือศิษย์พี่ฉู่สยงศิษย์ในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะอันดับที่เก้า?” ฉินอวี่ยังไม่ทันพูดอะไร ศิษย์อีกคนที่อยู่ด้านข้างก็อุทานขึ้นด้วยความใ
“ศิษย์พี่ฉู่สยงจริงด้วย”
...
เริ่มมีศิษย์ต่างๆ ส่งเสียงอุทานอย่างใมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จางอี้เหวินที่กำลังอยู่ในความโกรธก็หันกลับมาเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นฉินอวี่ สีหน้าของจางอี้เหวินก็ตกตะลึง และรีบหันกลับไปทันที ดูเหมือนจะโกรธมาก เขาจึงรีบตรงเข้าไปในหอตำรา พร้อมเสียงะโดัง “ผู้ดูแลลี่ บนป้ายศิลาไม่มีชื่อของ ‘ซวีอู๋’ แล้วเหตุใดเขาจึงได้เป็ผู้ดูแลหอตำรา?”
