จางกุ้ยฮัวมองไปที่บุตรสาว ก็ได้ เอาแต่ก้มหน้าเล่นนิ้วกัน...
“ในเมื่อเป็คำว่ากุ้ย เช่นนั้นเปลี่ยนชื่อเป็โหย่วเฉียน [1]...”
ท่านย่าหวงหัวเราะ!
“ท่านแม่ ชื่อนี้ไม่ดี เราคิดชื่ออื่นเถิด คำว่ากุ้ยเป็สามารถแปลงได้เป็ทองเงินหยกอัญมณีต่างๆ ได้นี่นา”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าตนเองเป็คนหัวทึบขึ้นมา
จางกุ้ยฮัวเป็เ้าคนนายคนครั้งแรกพลันตื่นเต้น จึงได้เอ่ยชื่อนั้นออกมา ตอนนี้พอได้สติก็รู้สึกว่าตนเองช่างไร้ความสามารถในการตั้งชื่อ เมื่อได้ยินบุตรสาวคนรองเอ่ยเช่นนี้จึงฉุกคิดได้ ยิ้มแล้วเอ่ย “หรือไม่ก็ชื่อจินสือที่มาจากประโยคที่ว่า คำพูดดั่งทองคำอัญมณี เรียกว่า เซวียจินสือ”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ใบหน้าของท่านย่าหวง เห็นนางยิ้มตาพริ้มดื่มน้ำชา จึงเอ่ยเตือนเสียงเบา “ท่านแม่ นั่นคือชื่อท่านปู่หลี่เจิ้ง”
จางกุ้ยฮัวเก้อเขินทันใด หลี่เจิ้งแซ่หวง ชื่อจิน รวมกันคือ หวงจิน!
แววตาของนางมองไปทางกลุ่มคนในลานบ้าน รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างสะท้อนในสายตา เมื่อนางหรี่ตามองไป แล้วเอ่ยในใจ มีแล้ว!
“ชื่อเซวียต้าเหอ [2]!”
หลิวเต้าเซียงมองดูแม่น้ำที่ไหลผ่านหน้าบ้านอย่างเงียบๆ
“ท่านแม่ ชื่อนี้ไม่เลว”
ช่างเป็การหักหลังหัวใจตนเองนัก กระทั่งนางเองก็พูดไม่ออก
จางกุ้ยฮัวตอบอย่างมีความสุขว่า “ใช่ ข้าคิดว่ามันดีเหมือนกัน”
ด้วยเหตุนี้เซวียกุ้ยที่มาใหม่จึงเปลี่ยนชื่อเป็เซวียต้าเหอในทันที
หลิวเต้าเซียงยืนอยู่บนบันไดแล้วขานเรียกลุงต้าเหอ จากนั้นเอ่ยกับเขา “ต่อไปเ้าก็คอยทำงานติดตามท่านพ่อ ใช่สิ เ้าบังคับเกวียนลาเป็หรือไม่?”
“เป็ แต่ก่อนตอนอยู่บ้านเ้านายเคยบังคับเกวียนวัว”
ภรรยาของเซวียต้าเหอชื่อกัวเสี่ยวหลิว แม้จะเป็หลิวตัวเดียวกับชุ่ยหลิว แต่หลิวเต้าเซียงก็เมินเฉย ไม่ได้ใส่ใจ
เซวียต้าเหอมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตชื่อเซวียเหลียนซาน ปีนี้สามขวบ คนเล็กเซวียถู่หนิวอายุหนึ่งขวบ เมื่อได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็คนบ้านเกิดเดียวกัน
ข้างกายของเขายังมีหญิงชราที่ใบหน้าผันผวนตามกาลเวลา แต่พอสืบถาม ที่แท้ยังเพิ่งจะสี่สิบต้นๆ เนื่องจากลำบากตรากตรำ พอมองไปจึงดูแก่กว่าอายุจริงราวสิบปี
“แม่ข้าแต่ก่อนทำเพาะปลูกที่บ้านมาตลอด แม่ข้าปลูกผักเก่งนัก”
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ในที่สุดนางก็ไม่ต้องลำบากใจไปขอผักบ้านคนอื่นกินให้ปวดศีรษะแล้ว!
“ทำอาหารเป็หรือไม่?”
“เรียนเ้านาย ข้าทำเป็เพียงผัดผักป่า ทำเต้าหู้เหม็น ผักดองต่างๆ เ้าค่ะ”
ในที่สุดหลิวเต้าเซียงก็รู้ว่าตรงไหนที่ผิดปกติไป “พวกเ้ามีสัญญาผูกขาด ต่อไปต้องเรียกคุณหนู นี่คือพี่ใหญ่ของข้า ส่วนข้าคือคนรอง นี่คือน้องสาม ส่วนเด็กฝาแฝดสองคนคือน้องสี่กับน้องห้าของข้า”
“คุณหนู คุณชาย”
ถึงอย่างไรป้าเซวียก็อายุมากและเคยมีประสบการณ์มาก่อน จึงเข้าใจกาลเทศะกว่าบุตรชาย
ส่วนสาวใช้อีกหกคนที่เหลือ เมื่อถามจางกุ้ยฮัวจึงรู้ว่า นี่คือสำหรับพวกนางสามพี่น้อง
หลิวเต้าเซียงรู้สึกเห็นใจมารดา “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงไม่หาสาวใช้ด้วยสักสองคน?”
กุ้ยฮัวรู้สึกว่าตนเองมีพลังล้นเหลือ ตอนนี้งานในบ้านก็มีคนแย่งทำจนหมด จึงรู้สึกว่างานของตนนั้นเบาสบายจนน่าเบื่อไร้ความหมาย นางจึงไม่ได้เลือกคนรับใช้ข้างกาย “ยังเลือกที่เหมาะสมไม่ได้ ครั้งหน้าค่อยไปซื้อเพิ่มสองคน ให้สะใภ้เซวียติดตามยายพวกเ้าและฝึกทำอาหาร ส่วนป้าเซวียช่วยข้าดูแลเ้าเด็กซนสองคนก็แล้วกัน”
เมื่อพูดเช่นนี้ก็นึกขึ้นได้อีกเื่ แล้วเอ่ยต่อ “เหลียนซานกับถู่หนิวก็พามาด้วย จะได้ให้พวกเขาเล่นกับเด็กซนสองคน ถึงเวลาก็รับเงินค่าจ้างด้วย”
เื่การให้เงินเดือนบ่าวรับใช้นั้นได้ท่านย่าหวงช่วยชี้แนะให้จางกุ้ยฮัวระหว่างเดินทางกลับมา
“เอาล่ะ พวกเ้าลองดู เลือกสองคนที่ตนเองพึงใจ”
ไม่รู้ว่าเพราะมีคนแพศยาอย่างชุ่ยหลิวให้เห็นก่อนหน้านี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้จางกุ้ยฮัวได้เลือกสาวใช้ที่นับว่าสะอาดสะอ้าน ไม่ถึงขั้นสวยงดงาม แต่ก็ห่างไกลจากคำว่าขี้เหร่
หลิวชิวเซียงให้น้องสาวสองคนเลือกก่อน หลิวเต้าเซียงเองก็หลีกทางให้ มีเพียงหลิวชุนเซียงที่ปรบมือชอบใจ
นางเหยียดมือชี้ไป เลือกสองคนที่เล็กที่สุดในบรรดาคนทั้งหก อายุราวห้าขวบ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็ความคิดท่านย่าหวง ทั้งสองโตกว่าชุนเซียงเพียงหนึ่งขวบกว่า
“น้องสาม สาวใช้ของเ้าชื่อว่าอะไร”
เมื่อเห็นหลิวชุนเซียงวิ่งไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วเตรียมจูงมือสองคนนั้นไปดูลูกไก่ หลิวเต้าเซียงจึงรีบหยุดนาง
หลิวชุนเซียงแลบลิ้นแล้วหัวเราะร่า “นั่นสิ ข้าลืมถามชื่อพวกเ้าเลย”
“บ่าวชื่อเหมายา”
“บ่าวชื่อซานยา”
คิ้วของหลิวชุนเซียงขมวดเป็ปม ชื่อนี้ไม่ไพเราะสักนิด
“หรือว่าชื่อถังถังกับกัวกัวดี [3]?”
นางชอบกินแตงที่ท่านยายปลูก แล้วก็มีลูกอมถั่วลิสง ลูกอมงาที่ท่านยายทำด้วย
“น้องสาม!” หลิวเต้าเซียงทนฟังต่อไม่ไหว
ชื่อที่หวานเลี่ยนเช่นนี้หากเรียกเป็ชื่อเล่นในวัยเยาว์ยังได้อยู่ แต่เมื่อสาวใช้โตไป ฟันคงร่วงหมดปาก จะให้เรียกว่ายายถังถัง ยายกัวกัวหรือ?
แค่คิด นางก็รู้สึกขนลุกซู่!
“เ้าตั้งใจหน่อย”
หลิวชุนเซียงรู้สึกลำบากใจ “พี่รอง ข้าไม่รู้จะตั้งชื่ออย่างไร หรือไม่ ข้าดูวิธีที่พวกท่านตั้งก่อนดีกว่า”
หลิวเต้าเซียง้าปลูกฝังความสู้คนให้แก่บรรดาพี่น้อง แม้ว่าพลังการต่อสู้ของนางยังถือว่าอ่อนด้อยก็ตาม!
แต่คนเขลาสามคนย่อมทัดเทียมกับหนึ่งจูกัดเหลียง [4]!
“เ้ารอดูไปก่อนว่าข้ากับท่านพี่ตั้งชื่อให้สาวใช้อย่างไร”
หลิวชิวเซียงอ้าปากอยากจะบอกว่า นางเองก็ไม่เป็ นี่ก็ครั้งแรกเช่นกัน เหมือนเป็การต้อนเป็ดเข้าคอก!
หลิวเต้าเซียงแสร้งทำเป็ไม่เห็นแววตาของนาง อันที่จริงนางเองก็อยากบอกว่า ตนเองทั้งสองชาติก็เพิ่งจะทำแบบนี้เป็ครั้งแรกเหมือนกัน!
“น้องรอง เ้าพึงใจสองคนไหน?”
“ท่านพี่ เราคือพี่น้องกัน ไม่ต้องเกรงใจ”
หลิวชิวเซียงคิดว่า นางเกรงใจที่ไหนเล่า นางเองก็อยากฝึกว่าจะตั้งชื่อสาวใช้อย่างไร
ในที่สุดหลิวเต้าเซียงก็มีสติอยู่กับตัว จึงเข้าใจสัญญาณลับที่พี่สาวส่งมา
นางชี้ไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ สองคนในบ้าน ซึ่งอายุประมาณสิบขวบ “เ้าสองคนก็แล้วกัน”
นางมีเลศนัยเล็กน้อย คนที่เลือกล้วนมีตาชั้นเดียวและดวงตาเล็ก
ส่วนนางมีดวงตากลมสวยมีประกาย ขนตายาวราวกับขนแปรงแสนอ่อนนุ่ม
หากไม่มีใบไม้สีเขียว แล้วจะขับความสวยงามของบุปผาหลากสีสันอันงดงามออกมาได้อย่างไร!
นางยิ้มอย่างสบายใจ
“พี่รอง ท่านรีบตั้งชื่อให้พวกนางเร็ว!” หลิวชุนเซียงแสดงท่าทีร้อนรน นางเองก็อยากพาสาวใช้สองคนของตนเองไปดูลูกไก่ที่ขนดกแล้ว
หลิวเต้าเซียงเป็คนที่เต็มไปด้วยพลัง นางไม่ชอบอะไรที่เศร้าหมองตรากตรำ
จึงชี้ไปยังคนที่แลดูซื่อตรงแล้วเอ่ย “ความเขินอายจากไป แลพิงประตูมองมา แกล้งเด็ดดมชิงเหมย แรกเริ่มวสันต์ฤดู หรือไม่ เ้าชื่อชิงเหมยก็แล้วกัน”
หลิวชิวเซียงและหลิวชุนเซียงเข้าใจทันที จากนั้นก็รู้สึกว่าการตั้งชื่อสาวใช้ช่างลึกซึ้งสูงส่ง!
หลิวเต้าเซียงไม่สนใจพวกนาง แล้วชี้ไปที่สาวใช้อีกคน “ข้าว่าเ้านิสัยร่าเริงสดใส หรือไม่ก็ชื่อชุนเจียวก็แล้วกัน”
หลังจากข้ามมิติมายังโลกที่แปลกแยก สาวใช้สองคนของนางมีชื่อว่า ชิงเหมยกับชุนเจียว
หลิวชิวเซียงเห็นว่าทุกคนหันมามองนาง โดยเฉพาะจางกุ้ยฮัว จึงจับผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วยความตื่นเต้น ใครใช้ให้ท่านย่าของคู่หมั้นมายืนฟังอย่างตั้งใจกันเล่า
นางส่งสายตาวางใจให้แก่มารดา แล้วก้มหน้ายิ้มบางๆ พร้อมกับเล่นผมเปียในมือ “มีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้อ่านตำราบทกลอน มีหนึ่งคำที่ขึ้นใจ โฉมตรูขมวดคิ้วจนลืมสาส์น ส่องคันฉ่องยิ้มดั่งบุปผาสีสัน พวกเ้าคนหนึ่งชื่ออวี๋เยี่ยน คนหนึ่งชื่อฮัวเหยียนก็แล้วกัน”
ดังนั้นคนที่ตัวสูงจึงชื่อฮัวเหยียน ส่วนคนที่เตี้ยกว่า ผิวพรรณขาวกว่าจึงชื่อว่าอวี๋เยี่ยน
“โอ๊ย พวกท่านรังแกข้าที่เล่าเรียน้อย ฮึ่ม!”
หลิวเต้าเซียงและหลิวชิวเซียงเล่นสนุกกันจนลืมไปว่าน้องสามเพิ่งจะเรียนรู้อักษรได้ไม่นาน
“เ้ากำลังเรียนคัมภีร์ตรีอักษรไม่ใช่หรือ? ข้าว่าในตำราก็มีชื่อดีๆ ไม่น้อย”
หลิวชุนเซียงผู้น่าสงสารเพิ่งเรียนรู้อักษรไปทั้งหมดยี่สิบตัว แต่นางไม่รู้ว่าหลิวเต้าเซียงแกล้งหลอก จึงขมวดคิ้วแล้วใช้ความคิดอย่างจริงจัง
ทุกคนมองไปที่ท่าท่างเหมือนผู้ใหญ่ของนาง และยิ้มกันอย่างมีความสุข!
“ได้แล้ว เฮ้อ พวกท่านยิ้มอะไรกัน?”
เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งอายุสี่ขวบ แต่กลับเลียนแบบท่าทางของผู้ใหญ่ จึงทำให้ทุกคนหัวเราะมีความสุข
จางกุ้ยฮัวเอ็นดูเด็กน้อยผู้น่ารัก จึงรีบเอ่ย “ก็ได้ๆ พวกเ้าเลิกหัวเราะก่อน ใครบอกว่าเล่าเรียนคัมภีร์ตรีอักษรแล้วจะตั้งชื่อไม่ได้ ใช่หรือไม่ รีบบอกทุกคนเร็วว่าเ้าตั้งชื่ออะไรได้”
หัวใจที่เ็ปของหลิวชุนเซียงได้รับการปลอบประโลมทันใด!
มารดารักนางที่สุดจริงด้วย!
“ท่านแม่ ข้าจะตั้งชื่อพวกนางว่า จือชู (แรกเริ่ม) มาจากบทกลอน มนุษย์เมื่อแรกเริ่ม บริสุทธิ์และเมตตา กับซีเมิ่ง (เม่งจื่อในอดีตกาล) ที่มาจากอดีตกาล มารดาผู้รักเม่งจื้อ เพื่อบุตรแล้วแห่งหนใดมีดีก็จักไป ชื่อนี้ดีใช่หรือไม่ ข้ารู้สึกว่าไพเราะกว่าชื่อของพวกท่านพี่อีก”
หลิวเต้าเซียงคิดไม่ถึงว่านางจะช่างคิดเช่นนี้ “จือชู ซีเมิ่ง ชื่อนี้ดียิ่งนัก!”
เมื่อตั้งชื่อสาวใช้ครบทั้งหมดแล้ว ก็จัดเตรียมงานและแจ้งเงินเดือนให้กับทุกคนได้ทราบ เบื้องต้นจ่ายหนึ่งร้อยอีแปะต่อเดือน มีเพียงเซวียเหลียนซานกับเซวียถู่หนิวเด็กน้อยสองคนที่ได้เดือนละยี่สิบอีแปะ เพราะงานมีเพียงเล่นกับคุณชาย...
หลังจากจัดสรรปันส่วนกำลังคนเรียบร้อย หลิวเต้าเซียงไม่ได้พอใจกับคนเหล่านี้นัก จริงอยู่ที่ประวัติที่มานั้นบริสุทธิ์วางใจได้ แต่ในส่วนของมารยาทยังถือว่าด้อยไปนิด
กล่าวกันว่า หากไร้มารยาทย่อมไม่ก่อเกิดเป็รูปเป็ร่างได้!
นางพินิจอยู่สักพักจึงเกิดความคิด แล้วหันกลับไปเอ่ย “ท่านย่าหวง อีกเดี๋ยวข้าขอยืมตัวป้าแม่บ้านที่รู้งานสักหน่อย ข้าว่าคนทั้งหมดนี้ยังไม่ค่อยรู้เื่กฎมารยาทเท่าใดนัก”
ท่านย่าหวงตอบอย่างมีความสุขและยิ้ม “ดูสิ ข้าบอกแล้วว่านางหนูนี่ฉลาดหลักแหลมนัก เ้ายังไม่วางใจอีก แค่ดูก็รู้ว่าต่อไป ไม่รู้ว่าบ้านใดจะได้สู่ขอไป โชคดีที่หลานชายคนโตข้ารวดเร็วและตาแหลม บุตรสาวของเ้าแต่ละคนช่างดีงาม”
นางยกนิ้วโป้งให้จางกุ้ยฮัว คำพูดนั้นก็ชมเชยหวงเสียวหู่ด้วย
จางกุ้ยฮัวได้ยินก็มีความสุข หากยอมรับไปตามตรงก็กลัวท่านย่าหวงจะฟังแล้วไม่ชอบใจ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “หูจื่อเองก็ไม่เลว คราวที่แล้วเขาส่งจดหมายมาว่าปีที่แล้วสอบผ่านซิ่วไฉ จึงคิดว่าต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้จะไปหาต้นตระกูลในเมืองหลวงด้วย”
เชื้อสายตระกูลหวงเป็ตระกูลสูงส่งมีศักดินา บุตรชายจึงอยู่ในค่ายทหารเป็ส่วนใหญ่
เชื้อสายอย่างหลี่เจิ้ง หากว่าลูกหลานมีความสามารถหรืออยากเป็ทหารสู้ศึก ก็ล้วนสามารถพึ่งพาต้นตระกูลที่เมืองหลวงได้ เพื่ออาศัยโอกาสในการผงาดขึ้นมา
ท่านย่าหวงแค่คิดก็เป็กังวล ต่อไปหลานชายต้องฝึกจนตัวบวมทุกวัน จึงเริ่มไม่ดีใจ “เด็กนั่นเอาแต่ใจเกินไป ล้วนเป็เพราะพวกข้าตามใจ ฝึกปรือศิลปะการต่อสู้มากว่าครึ่งปี แต่ก็ยังหักห้ามนิสัยไม่เป็ เขาได้ยินข่าวจากเมืองหลวงว่าที่ต้นตระกูลทางนั้นมีคนกำลังอยากเป็ทหาร ตอนนี้ได้เชิญคนมาสอนขี่ม้ากับยิงธนูและการต่อสู้ด้วยกังฟู ไม่รู้ว่าเขาไปได้ข่าวมาอย่างไร จึงรั้นขอพ่อแม่จะไปที่นั่นให้ได้”
หลิวชิวเซียงจ้องด้วยตากลมโตแวววาว และแอบฟังอย่างตั้งใจเงียบๆ
หลิวเต้าเซียงหยอกล้อนาง นางจึงทำท่าจะตีหลิวเต้าเซียงเข้าให้
“ท่านแม่ ท่านย่าหวง พวกท่านช่วยข้าเร็ว ท่านพี่เขินแล้วโมโหข้า!”
จางกุ้ยฮัวเหลือบมองนาง “ใครใช้ให้เ้าซุกซนหาเื่ พี่เ้าเป็คนหน้าบาง จะหน้าหนาเหมือนเ้าได้อย่างไร”
หลิวเต้าเซียงไม่พอใจ จึงหันไปพิงและออดอ้อน “ท่านแม่ ข้าหน้าหนาที่ไหนกัน ท่านดูสิ แก้มนุ่มนิ่มบอบบางนัก!”
-----
เชิงอรรถ
[1] โหย่วเฉียน 有钱 แปลว่า มีเงิน ซึ่งคำว่ากุ้ย 贵 แปลว่า แพง มีค่า
[2] ต้าเหอ 大河 แปลว่า แม่น้ำ
[3] ถัง 糖 แปลว่า ลูกอม น้ำตาล ของหวาน ส่วน กัว 瓜 แปลว่าแตง
[4] คนเขลาสามคนทัดเทียมกับหนึ่งจูกัดเหลียง(ขงเบ้ง) 三个臭皮匠,顶个诸葛亮sān gè chòu pí jiàng,dǐng gè zhū gé liàng มีความหมายว่า แม้เป็คนเขลาก็ตาม แต่หากมีความร่วมแรงร่วมใจกันเปิดกว้างรับความคิดเห็นของกันและกัน ก็จะสามารถคิดวิธีดีๆ ออกได้เช่นเดียวกับผู้มีปัญญา เฉกเช่นจูกัดเหลียงที่ใช้สติปัญญาของตนรังสรรค์เหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจในวรรณกรรมสามก๊ก