ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ก็คือสติปัญญา ฝูงสัตว์ร้ายบุกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง แม้ไร้ผู้นำ แต่ถึงตายก็ไม่ถอยกลับ ส่วนมนุษย์ขอเพียงตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง ปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งแรกก็คือการหลบหนี ยามนี้ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วยังจะมีผู้ใดไปช่วยผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายอีก
ความพรั่นพรึงต่อความตาย ทำให้จี้เซี่ยงหนานไม่แยแสผู้อื่นแล้ว หันร่างกลับสลัดทิ้งฝูงสัตว์อสูรวานรที่ทำศึกกับตน ปล่อยให้คนของตระกูลเพียงสองคนรับศึกแทน วิ่งหนีไปยังทิศทางที่จี้เซี่ยงตงถูกต่อยกระเด็นออกไป
ในที่สุดจี้เซี่ยงตงก็ฟื้นตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก การโจมตีของสัตว์อสูรราชันวานรรุนแรงเกินไป การสูญเสียแขนทำให้เขาเสียเืมากเกิน จี้เซี่ยงตงเพิ่งจะมาห้ามโลหิตให้หยุดไหล เงยหน้าขึ้นเห็นจี้เซี่ยงหนานกำลังวิ่งหนีมาทางตนในด้านนี้ จึงฝืนใจะโเรียกขึ้น “น้องรอง…” ยังมิทันได้ดีใจ เขาก็มองเห็นเจตนาฆ่าในดวงตาจี้เซี่ยงหนาน
จี้เซี่ยงหนานไม่ไยดีสายตาวิงวอนของจี้เซี่ยงตงแม้แต่น้อย ขณะที่เดินผ่านจี้เซี่ยงตง เขาแทงทะลุคอหอยจี้เซี่ยงตงในทวนเดียว หากเป็ยามปกติ ตนได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองพี่ชายเท่านั้น เพราะพร์อีกฝ่ายห่างไกลตนจนสุดกู่ ขณะที่ตนเองฝึกฌานบ่มเพาะพลังจนเป็อาจารย์นักยุทธ์อย่างยากลำบากแสนเข็ญ พี่ชายใกล้จะทะลวงสู่ขอบเขตปรมาจารย์นักยุทธ์แล้ว และรอจนตนเองฝึกฌานบ่มเพาะพลังถึงขอบเขตปรมาจารย์นักยุทธ์แปดดาว พี่ชายกลับทะลวงสู่ขอบเขตราชันาอย่างง่ายดาย หากไม่เกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมาย ตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปจะต้องตกเป็ของจี้เซี่ยงตงอย่างมิต้องสงสัย
แต่ว่าตอนนี้ตระกูลจี้จะต้องล้างไพ่ใหม่ จี้เซี่ยงตงเสียชีวิตในหุบเขาค่างปีศาจคงมิมีผู้ใดสงสัย เพราะคณะของตระกูลจี้ นอกจากเขาและจี้ฉางเฟิง คนที่เหลือล้วนเสียชีวิตหมดสิ้นแล้ว จี้ฉางเฟิงหนีไปก่อน จึงเป็ไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะทราบว่าจี้เซี่ยงตงเสียชีวิตอย่างไร ทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบ ถึงแม้ว่าครั้งนี้ตระกูลจี้จะสูญเสียอย่างหนัก ล้มเหลวและพลาดดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ไป แต่อย่างน้อยจี้เซี่ยงหนานก็มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้เฒ่าตระกูลจี้
……
จ้านอู๋มิ่งหนีไปไกลหลายร้อยลี้ในรวดเดียว ระหว่างทางยังไม่ลืมที่จะโปรยผงโอสถสูตรลับที่เตรียมไว้แต่แรก สกัดลมปราณกลั้นลมหายใจไว้ สัตว์อสูรราชันวานรต้องคิดจะติดตามตนโดยอาศัยกลิ่นอายลมหายใจ ซึ่งเป็ไปไม่ได้เด็ดขาด ความแตกต่างระดับความแข็งแกร่งระหว่างเขากับสัตว์อสูรราชันวานรมากเกินไป เขาจะต้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอย่างเด็ดขาด
จ้านอู๋มิ่งไม่ได้กลับเมืองมู่เหย่ในทันที ด้วยพลังของสัตว์อสูรราชันวานร บรรดาผู้ติดตามของตระกูลจี้และตระกูลเจิ้งเกรงว่าจะเหมือนกับสุนัขหลงทางไร้เ้าของ สำหรับศัตรูตัวฉกาจแล้ว ความคิดว่าอย่าไล่สุนัขจนตรอก อย่าต้อนคนจนมุม ไม่อยู่ในความคิดจ้านอู๋มิ่ง สิ่งที่เขาชอบกระทำที่สุดคือการโจมตีใส่จุดอ่อนของศัตรู ยามนี้ก็คือโอกาสซ้ำเติมฝ่ายตรงข้ามที่ดีที่สุดแล้ว
จ้านอู๋มิ่งกลับเมืองมู่เหย่ ไปตามเส้นทางที่เหลืออยู่เพียงสายเดียว เจิ้งอวี้ฟูจะต้องตาย ครั้งนี้มีเพียงทำลายล้างตระกูลเจิ้งให้หมดสิ้นเท่านั้น จึงสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ของตระกูลจ้าน
……
ตอนที่เจิ้งอวี้ฟูหนีออกจากหุบเขาค่างปีศาจ เขาไม่สามารถจำแนกทิศทางได้เลย วิ่งหนีตลอดทางเช่นคนเสียสติ เมื่อรู้ว่าสัตว์อสูรราชันวานรไม่ตามไล่ล่าอีกแล้ว จึงได้พบว่าตนวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเมืองมู่เหย่ และกลิ่นอายลมหายใจทรงพลังมากมายรอบตัวกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ตนอย่างรวดเร็วยิ่ง
เจิ้งอวี้ฟูรู้สึกหดหู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าลมหายใจเหล่านี้เป็สัตว์อสูรทรงพลังของป่าสัตว์อสูร ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบลมหายใจของสัตว์อสูรระดับสี่ชั่วคราวก็ตาม แต่ว่าเฉพาะสัตว์อสูรระดับสามพลังสูงสุดก็มีสองตัวแล้ว
ไม่รอให้ถูกล้อมด้วยสัตว์อสูร เจิ้งอวี้ฟูเริ่มต้นหนีเอาชีวิตรอดอีกครั้ง หลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ เจิ้งอวี้ฟูมิเคยต้องขายหน้าขนาดนี้มาก่อน แต่ว่านี่คือเื่ที่ช่วยไม่ได้ สัตว์อสูรจะไม่สนทนาเหตุผลกับท่าน ใกล้ค่ำแล้ว ถ้ายังหาสถานที่ปลอดภัยไม่ได้ เมื่อถึงยามราตรีเกรงว่าสถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม
พระอาทิตย์สาดแสงยามอัสดง แสงสว่างในป่าสัตว์อสูรมืดครึ้มยิ่งนัก เวลานี้เจิ้งอวี้ฟูได้หลบรอดจากการถูกปิดล้อมของสัตว์อสูรจำนวนหลายครั้งแล้ว ถึงอย่างไรเขามีพลังการบ่มเพาะระดับราชันา ถึงแม้จะอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ได้รับาเ็มิน้อย แต่ประสาทััยังคงสามารถครอบคลุมรัศมีหนึ่งร้อยวา เพียงพอให้เขามีโอกาสหนีรอดจากสัตว์อสูร เพียงแต่พอเป็เช่นนี้ก็จะไม่มีเวลาหยุดพักผ่อนเลย ได้แต่พยายามหลบหนีอย่างสุดกำลังตลอดเวลา ไม่รู้หนีมาไกลแค่ไหนแล้ว มาถึงหุบเขาแม่น้ำแห่งหนึ่ง เจิ้งอวี้ฟูที่อ่อนระโหยโรยแรงก็เห็นแสงไฟตรงต้นน้ำลำธารของหุบเขาอย่างคาดมิถึง มีคน!
เจิ้งอวี้ฟูเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ภายใต้แสงจากกองไฟ สายน้ำกระเพื่อมเป็ระลอก น้ำตกเล็กๆ สายหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันเทกระหน่ำลงในแอ่งน้ำ ชะง่อนหินผาหลายแห่งยื่นออกมาจากหน้าผาสูงลอยอยู่กลางอากาศ เป็สถานที่ตั้งค่ายพักแรมอันยอดเยี่ยมยิ่งนัก ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างที่มิอาจต้านทานโชยมาแล้ว ที่หายากยิ่งกว่าก็คือแถวนี้ไม่รู้สึกถึงลมหายใจของสัตว์อสูรใดๆ เลย เจิ้งอวี้ฟูหิวโหยเกินไปแล้ว หลังออกจากจวนมา ลูกน้องใต้สังกัดล้วนคอยจัดที่พักและอาหารการกินให้ตลอด ภายในแหวนจักรวาลของเขาไม่มีเสบียงอาหารใดๆ ถูกสัตว์อสูรไล่ล่ามาตลอดทางดุจสุนัขหลงทางไร้เ้าของ ไม่ได้กินอะไรเลยมาเกือบหนึ่งวันแล้ว ร่างกายใช้พลังมากเกินจนอ่อนแรงไปนานแล้ว เวลานี้คิดแต่อยากกินอาหารรสชาติอร่อยๆ ให้เต็มคราบสักมื้อ พอได้กลิ่นหอมของเนื้อจึงมิสามารถทนทานขึ้นมาแล้ว แต่เขาก็ยังคงพิจารณาบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวังครั้งหนึ่ง กลับไม่พบเห็นร่องรอยผู้คนใดๆ อดที่จะรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่งมิได้
ต้องมีใครสักคนตั้งพักแรมนอนอยู่ใกล้ๆ นี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ทราบเป็เพราะสาเหตุใด พอปิ้งย่างอาหารเสร็จคนกลับจากไปแล้ว ตอนที่เขาเห็นกระต่ายสองตัวย่างจนเหลืองเป็สีทองบนกองไฟนั้น ก็รอเ้าของมันกลับมามิไหวแล้ว แก้ปัญหาเื่ปากท้องก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจิ้งอวี้ฟูหยิบขึ้นมาก็สวาปามขนานใหญ่ กระต่ายเพิ่งย่างสุกใหม่ๆ ยังโรยเครื่องปรุงรสลงไปอีกไม่น้อย รสชาติกลมกล่อมอร่อยสุดเปรียบปาน กระต่ายตัวหนึ่งถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว อิ่มแค่ครึ่งท้อง พิจารณาหันมองไปรอบๆ เ้าของมันยังไม่กลับมา กระต่ายอีกตัวบนหิ้งกำลังจะไหม้แล้ว ช่วยอีกฝ่ายแก้ปัญหาหน่อยก็แล้วกัน ปล่อยให้ไหม้เกรียมจะเสียของเปล่าๆ ดังนั้นจึงกินตัวที่สองเข้าไปอีกจนหมด
สิ่งที่สุขสำราญใจที่สุดในชีวิตก็คือเวลาท่านหิวโหยจนทนทานมิไหวแล้ว มีคนยื่นส่งอาหารรสชาติอร่อยให้กินจนอิ่มหนำ และอาหารยังมากเพียงพออีกด้วย เวลานี้เจิ้งอวี้ฟูก็กำลังมีความรู้สึกชนิดนี้ กินจนอิ่มแล้วรู้สึกว่าพละกำลังฟื้นคืนมามิน้อย ฟ้าใกล้มืดแล้ว ราตรีกำลังมาเยือน เขาไม่รังเกียจที่จะค้างแรมพักที่นี่สักคืน พรุ่งนี้พลังปราณฟื้นฟูกลับคืนมา ก็จะสามารถกลับเมืองมู่เหย่ได้ในรวดเดียว ถึงเวลาข้าจะกลับไปที่ตระกูลเพื่อระดมยอดฝีมือและย้อนกลับไปที่หุบเขาค่างปีศาจอีกครั้ง
เจิ้งอวี้ฟูกำลังคิดอย่างเพลิดเพลิน พลันได้กลิ่นหอมจางๆ โชยมา อดที่จะทำจมูกฟุดฟิดสูดดมมิได้ หัวใจเจิ้งอวี้ฟูอิ่มเอมเป็สุขยิ่งนัก บังเอิญเห็นสัมภาระที่กางออกหลังก้อนหินซึ่งไม่ไกลจากกองไฟนัก มีขวดสุราขวดเล็กๆ ขวดหนึ่ง ตรงผนึกโคลนที่ปิดอยู่ ปริออกโดยมิทราบสาเหตุ จึงได้ส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมา
ข้าทานจนอิ่มแล้วยังพบสุราอีกด้วย ความสุขมากะทันหันไปหน่อยกระมัง เพื่อความรอบคอบเจิ้งอวี้ฟูทดลองสูดกลิ่นของสุราอย่างระมัดระวัง ด้วยประสาทััระดับิญญาแห่งราชันาของเขา มั่นใจได้ว่าสุราขวดนี้ไม่มีพิษแน่นอน ในสถานที่เปี่ยมอันตรายเช่นนี้ยังคงต้องระมัดระวังให้มากไว้ กระต่ายสองตัวนั้นแม้ว่าจะพบตอนที่หิวโหยยิ่งนัก เขาก็ยังคงตรวจสอบแล้วรอบหนึ่ง พบว่าไม่มีพิษจึงกล้าเอามากิน เวลานี้พบว่าในสุราไม่มีพิษไหนเลยจะเกรงใจกันอีก ถึงอย่างไรกระต่ายก็กินแล้วไฉนจะต้องมาเกรงใจ ยกดื่มเข้าไปรวดเดียวครึ่งขวด สุรานี้เข้มข้นสมใจจริงๆ ดื่มไปเพียงครึ่งเดียวเอง ข้าก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่ถูกต้อง!” เจิ้งอวี้ฟูตื่นตระหนกยิ่งนัก สุราขวดเล็กๆ นี้ก็แค่สองถึงสามชั่งเท่านั้น ด้วยความสามารถในการดื่มสุราของเขา ถึงจะดื่มหมดก็ต้องไม่มึนเมาอย่างเด็ดขาด แต่ตอนนี้แค่ดื่มไปครึ่งขวดก็เลอะเลือนแล้ว ลองผนึกปราณจิติญญาแห่งการต่อสู้ตรวจสอบดู พลันสีหน้าต้องแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง ภายในร่างกลวงเปล่า ไร้ร่องรอยพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แม้แต่น้อย นี่มันเกิดเื่ใดขึ้นกันแน่?
เนื้อกระต่ายและสุราล้วนไม่มีพิษแน่นอน ไฉนตนจึงมีอาการเหมือนถูกแพร่พิษ รีบหยิบยาจากแหวนจักรวาลออกมากองหนึ่ง ไม่สนใจแล้วว่าจะตรงกับโรคหรือไม่ เลือกเม็ดโอสถที่มีสรรพคุณถอนพิษออกมาทั้งหมด ขณะกำลังเตรียมจะโยนเม็ดโอสถเข้าปากไปนั่นเอง รู้สึกมือเบาวูบ ลำแสงเยียบเย็นสายหนึ่งพาดผ่านข้อมือของมัน ฝ่ามือที่ถือเม็ดโอสถอยู่ลอยห่างออกไปหลายวา
“อ๊าก…” เจิ้งอวี้ฟูร้องครางออกมาอย่างโหยหวน ประกายมีดนั่นรวดเร็วเกินไป และเขาก็สูญเสียพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ในร่างจนหมดสิ้น วิ่งหนีมาเกือบทั้งวัน เหนื่อยล้าอ่อนแรงไปั้แ่แรกเนิ่นนานแล้ว ไหนเลยจะสามารถหลบรอดจากมีดเล่มนี้ได้อีก
“ซ่าา” เสียงดังขึ้นคราหนึ่ง ชายหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมาจากแอ่งน้ำ หยดน้ำที่กระเซ็นทำให้เปลวเพลิงริมแอ่งน้ำกวัดแกว่งไปมา
ในมือชายหนุ่มถือมีดเล่มเล็กเล่มหนึ่ง มีดที่ช่างสวยงามประณีตอย่างยิ่ง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำมาตัดเนื้อย่าง แต่ในสายตาของเจิ้งอวี้ฟู ตัวมีดเล่มนั้นกลับแผ่สำนึกเย็นะเืออกมา ประกายมีดเมื่อครู่ก็คือประกายที่มาจากมีดเล็กๆ เล่มนี้ พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้มีรูปลักษณ์เป็รูปธรรมชัดเจน ชายหนุ่มกลับเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับสี่ ความแข็งแกร่งชนิดนี้ หากเป็ก่อนหน้านี้ในสายตาของเจิ้งอวี้ฟู เขาก็คือมดปลวกตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของเขาหายหมดสิ้น รู้สึกเหมือนตนเองก็คือหมูอ้วนบนเขียงดีๆ นี่เอง
“เ้าเป็ใคร?” เจิ้งอวี้ฟูทั้งตื่นตระหนกและโกรธจัด
“น้าสาม ข้าเป็หลานนอกของเ้าน่ะ” ชายหนุ่มยิ้มเฉยเมย ในความเฉยชาแฝงความเหี้ยมโหดทะมึนชนิดหนึ่ง คล้ายดั่งว่าคนที่ตัดฝ่ามือเขาเป็คนอื่นก็มิปาน
เจิ้งอวี้ฟูอดที่จะตัวสั่นสะท้านขึ้นคราหนึ่งไม่ได้ มิเพียงเพราะความเฉยเมยของชายหนุ่ม ยังเป็เพราะคำพูดของอีกฝ่ายเรียกตนว่าน้าสาม ยังบอกตนเองเป็หลานนอก แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
“เ้าคือใครกันแน่? เ้ากับข้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไฉนจึงต้องลงมือต่อข้าเช่นนี้?” เจิ้งอวี้ฟูรู้สึกหดหู่ ขณะเดียวกันก็หวาดหวั่นขึ้นมาแล้ว มิมีผู้ใดไม่กลัวตาย โดยเฉพาะนายท่านสามของตระกูลเจิ้งที่ได้รับการปรนเปรอปฏิบัติอย่างเอาอกเอาใจตลอดมา
“เ้าไม่รู้จักข้านั้นมิเป็ไร ข้ารู้จักเ้าก็ใช้ได้แล้ว ลืมบอกเ้าไป ลูกพี่ลูกน้องซื่อหรง ข้าก็เป็คนฆ่าเอง” ชายหนุ่มก็คือจ้านอู๋มิ่งนั่นเอง ยามนี้เขากำลังเหลาเล็บมือด้วยมีดเล่มเล็ก เกิดความอึมครึม มืดทะมึนที่บอกบรรยายมิถูกชนิดหนึ่ง
“อา เ้าคือคนที่ล่อพวกเราเข้าไปในหุบเขาค่างปีศาจ? เ้าคือคนที่สังหารซื่อหรงในอี๋หงย่วน? เ้าคือใครกันแน่?” เจิ้งอวี้ฟูะโคำรามโพล่งออกมาเสียงดังลั่น
“ข้าคือจ้านอู๋มิ่ง หลานนอกตัวน้อยของเ้า วันนั้นตอนที่เ้าและลูกพี่ลูกน้องไปเยือนจวนข้า ข้าเพิ่งออกจากการกักตัวปิดด่าน มาคารวะท่านมิทัน มิฉะนั้นเ้าก็คงจะรู้จักข้าแล้ว” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว ดวงตาเขาสายตาเต็มไปด้วยการเย้าหยอกสนุกสนาน
“เป็ไปไม่ได้ เ้าจะมีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้อย่างไร จิติญญาเ้าผิดปกติมิใช่หรือ?”
“ไฉนข้าจะไม่สามารถฝึกฌานบ่มเพาะพลังจิติญญาการต่อสู้? เ้าดูสิ ข้าเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์แล้ว ปรมาจารย์นักยุทธ์สี่ดาวด้วย ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น คุณสมบัติของข้าโดดเด่นมากใช่หรือไม่” พูดพลางจ้านอู๋มิ่งรวบรวมพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้สีอำพันไว้บนใบมีด เหมือนกับการแสดงก็มิปาน
“เ้าเป็หลานนอกของข้าจริงๆ หรือ? แล้วไฉนเ้าจึงลงมือต่อข้าเช่นนี้ พวกเราคือคนในครอบครัวด้วยกัน ประเสริฐยิ่งแล้ว น้าโดนคนแพร่พิษ เ้ารีบดูว่าสามารถช่วยถอนพิษให้ข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงของเจิ้งอวี้ฟูแปรเปลี่ยนไป คล้ายดั่งได้พบกับผู้ช่วยชีวิตแล้วก็มิปาน ไม่เอ่ยถึงเื่ที่จ้านอู๋มิ่งตัดฝ่ามือของเขาแม้แต่น้อย
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว พูดเรียบๆ ว่า “ความจริงแล้ว พิษนั้นข้าเป็คนแพร่เอง”
สีหน้าของเจิ้งอวี้ฟูแปรเปลี่ยนแล้ว จ้านอู๋มิ่งได้เปิดเผยโฉมหน้าของเขาแล้ว รั้งเขาไว้ในสถานที่นี้ วางกับดักที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ดูแล้ววันนี้คงจะรอดชีวิตยากยิ่ง
“บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเ้าแพร่พิษอย่างไร? กระต่ายกับสุราไม่มีพิษแน่นอน” จิตใจเจิ้งอวี้ฟูไม่ยินยอม เขาไม่เชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันาของตน จะไม่สามารถแยกแยะว่าอาหารมีพิษหรือไม่มี
“ท่านน้าระมัดระวังตัวได้ดี มิผิด กระต่ายตัวนั้นไม่มีพิษ สุรานั้นก็ไม่มีพิษ แต่ท่านไม่ได้ถูกแพร่พิษที่นี่ ท่านถูกแพร่พิษั้แ่นอกหุบเขาค่างปีศาจแล้ว พิษแฝงตัวอยู่ตลอดมาแต่ไม่แสดงอาการ ขอเพียงดื่มสุรานี้เข้าไปแล้วจึงจะออกฤทธิ์ แต่ว่ามันสายเกินไปแล้ว”
“เป็ไปไม่ได้!” สีหน้าของเจิ้งอวี้ฟูแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
“มิมีสิ่งใดเป็ไปไม่ได้ เ้ารู้หรือไม่ไฉนเ้าไปถึงที่ใด สัตว์อสูรจึงชอบติดตามเ้าไป เฮอะ เพราะเวลาที่ข้าจัดการกับสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ ข้าได้เพิ่มส่วนผสมบางอย่างลงในผงพริก ดังนั้นไม่ว่าเ้าจะไปที่ใด สัตว์อสูรในบริเวณนั้นก็จะถูกกระตุ้น ทำให้พวกมันเกิดความคลุ้มคลั่ง ดังนั้นเ้าจึงวิ่งและก็วิ่ง ผงพวกนั้นก็จะค่อยๆ ซึมเข้าสู่อวัยวะภายในของเ้า แต่ผงเพียงอย่างเดียวยังมิอาจนับเป็ยาพิษ แต่ผงนั้นไม่อาจเจอกับสุราชนิดนี้ ทราบหรือไม่ไฉนกลิ่นหอมของสุราจึงเบาบางมาก แต่รสชาติกลับแรงยิ่ง”
“เ้าเดาไม่ออกอย่างแน่นอน นี่คือสุราชั้นเยี่ยมที่ข้าค้นคว้าขึ้นมา เรียกว่าเมรัยงูเขียว” จ้านอู๋มิ่งอดที่จะยิ้มแย้มอย่างภาคภูมิใจมิได้ ชะงักเล็กน้อยแล้วพูดว่า “งูเขียวก็เป็สัตว์อสูรระดับต่ำชนิดหนึ่งเช่นกัน พิษมันไม่รุนแรงมาก ใช้เป็กระสายยาก็ได้ แต่พิษของงูมีฤทธิ์เย็น สามารถลดทอนกลิ่นของเหล้าแรงให้เบาบางลง แต่เย็นสดชื่นยิ่งขึ้น สุรานี้สามารถกระตุ้นละอองเกสรดอกไม้เปลวเพลิง ให้เกิดผลเป็ฤทธิ์โอสถชนิดหนึ่ง ทำให้จิติญญาการต่อสู้ในร่างกายมนุษย์เป็กลางในเวลาอันสั้น ที่น่าเสียดายก็คือ ข้าใส่ละอองเกสรดอกไม้เปลวเพลิงจำนวนมากผสมกับผงพริกในหม้อดิน มันก็คือกลิ่นของละอองเกสรดอกไม้ชนิดนี้เองที่กระตุ้นสัตว์อสูรให้คลุ้มคลั่งและข้าก็สามารถพบเ้าได้ก็ด้วยการตามกลิ่นละอองเกสรดอกไม้นี้เช่นกัน แล้วข้าก็ต้อนรับเ้าด้วยเมรัยชั้นเลิศและเนื้อย่างรสชาติดี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็ครั้งแรกที่ข้าได้พบหน้ากับน้าสาม มิอาจให้ดูแย่จนเกินไป”
เจิ้งอวี้ฟูมองดูชายหนุ่มเบื้องหน้า ในใจบังเกิดความหวาดหวั่นแปลกประหลาดที่บรรยายมิถูกสายหนึ่ง นี่คือเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดปีหรือ? ดำเนินการเป็ขั้นเป็ตอน ทุกอย่างประสานสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็เขาหรือคนของตระกูลจี้ ล้วนถูกปั่นหัวเล่นอยู่บนฝ่ามือ เจิ้งอวี้ฟูถาม “ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ในหุบเขาค่างปีศาจ ก็เป็ของปลอมด้วยหรือ?”
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้วส่ายหน้า “เื่นี้ข้าไม่อยากตอบ เพราะเวลาของเ้ามาถึงแล้ว”
“ไอ้หนู เ้ากล้า!” เสียงตวาดด้วยความโกรธเคืองดังมาจากยอดผาเหนือหุบเขาแม่น้ำ นั่นคือแขกของตระกูลเจิ้งที่พลัดหลงกับเจิ้งอวี้ฟูตอนแยกย้ายกันวิ่งหนี ราชันาหนึ่งดาว เหยียนอี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้