อวิ๋นเจี๋ยนิ่งดุจภูผา พร้อมอำนาจฟ้าดินที่ทรงพลังยิ่งขึ้นโคจรรอบกาย เขาเพียงยืนตรงนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่งราวกับสายน้ำ แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจอันแรงกล้า จากนั้นเห็นเขาวาดฝ่ามือโจมตีลู่เจียง หนำซ้ำห้วงอากาศยังสั่นไหวราวกับจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น
ลู่เจียงเผยสีหน้าจริงจัง เหมือนไม่คิดว่าอวิ๋นเจี๋ยที่สุขุมนิ่งเรียบจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ ลู่เจียงะเิศักยภาพทั้งหมดที่มีออกมา พลังปราณพลันปะทุออกจากร่าง ก่อนจะปล่อยการโจมตีออกไป ปะทะกับการโจมตีของอวิ๋นเจี๋ย คลื่นพลังทำลายล้างแพร่กระจายโดยมีทั้งสองคนเป็จุดศูนย์กลางราวกับจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อดูจากสถานการณ์ การโจมตีของลู่เจียงรุนแรงและทุกการโจมตีล้วนแฝงด้วยพลังอันน่าทึ่ง แต่การโจมตีของอวิ๋นเจี๋ยที่สงบนิ่งไม่น้อยและรุนแรงไม่มาก กลับสามารถต่อต้านลู่เจียงได้ คนอื่นดูไม่ออก แต่ลู่เจียงดูออก จึงจำต้องสำแดงพลังที่แกร่งสุดของตนออกมา
ผู้คนต่างตกตะลึงและใจเต้นระส่ำ น้อยครั้งที่พวกเขาจะได้มีโอกาสดูการต่อสู้ระดับนี้ จึงทำให้พวกเขาสนใจการต่อสู้ระหว่างอวิ๋นเจี๋ยและลู่เจียงมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้ลู่เจียงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสำนักยุทธ์ ส่วนอวิ๋นเจี๋ยกลับปรากฏตัวน้อยครั้ง มีนิสัยรักสันโดษ แต่บัดนี้สำแดงพลังได้อย่างน่าทึ่ง เห็นชัดว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเป็เสือซ่อนเล็บจริง ๆ
“พี่ชายท่านนี้ ท่านว่าศึกนี้ใครชนะใครแพ้?” ที่ด้านข้างเย่เฟิง มีผู้ฝึกยุทธ์เอ่ยถามคนคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความตื่นเต้น
“การโจมตีของลู่เจียงโหดและเถื่อน ข้าว่าลู่เจียงชนะ” คนนั้นที่ถูกถามตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“ข้าคิดเช่นเดียวกัน แม้อวิ๋นเจี๋ยจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่เจียง” คนนั้นที่เอ่ยถามกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ
ผู้คนรอบข้างต่างได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนและพากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในสายตาพวกเขา ตอนนี้ลู่เจียงดูเป็ฝ่ายได้เปรียบมากกว่า
“พี่เย่ เ้าคิดเห็นอย่างไรและใครจะเป็ผู้ชนะ?” นักดาบแขนเดียวหันมาเอ่ยถามเย่เฟิง
“อวิ๋นเจี๋ย” เย่เฟิงตอบกลับโดยไม่คิดแต่อย่างใด แต่เมื่อผู้คนรอบข้างได้ยินเช่นนี้ก็มีหลายคนมองมาด้วยสายตาเหยียดหยามไม่พอใจ
“เ้าจะไปรู้อะไร เห็น ๆ อยู่ว่าอวิ๋นเจี๋ยนั่นต้องแพ้แน่ หรือเ้ามองไม่ออก?” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กล่าวกับเย่เฟิงด้วยถ้อยคำสั่งสอนพร้อมเผยสีหน้าดูแคลน เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดเขาต่างก็หันไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม หากสายตากว้างไกลก็จะดูออกว่าลู่เจียงเป็ฝ่ายได้เปรียบย่อมเอาชนะอวิ๋นเจี๋ยแน่นอน แต่เย่เฟิงผู้นี้กลับคิดว่าอวิ๋นเจี๋ยจะเอาชนะลู่เจียงได้ ช่างน่าขันสิ้นดี
“ที่ข้าพูดดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับเ้า แล้วเ้ามีสิทธิ์อะไรมาแทรก?” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นเช่นนั้น
“เ้ากล้าดียังไงมาพูดจาเยี่ยงนี้ อยากตายงั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเห็นเย่เฟิงพูดจาไม่เกรงใจ สีหน้าพลันเย็นเยียบขึ้นมา เขาเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 แล้วจะยอมให้เย่เฟิงที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 3 มาเหยียบย่ำความภาคภูมิใจของเขาได้อย่างไร?
“เ้านับเป็สิ่งใด? ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงตวาดเสียงดังพลางขมวดคิ้วจาง ๆ ไม่ว่าเขาไปไหนก็จะเจอแต่คนโง่เขลาปัญญาอ่อนเช่นนี้
“ไอ้หนู เ้ากำเริบมากไปแล้ว อย่าคิดว่าก่อนหน้านี้เอาชนะคนหลายคน แล้วจะมากำแหงต่อหน้าข้าได้ อยู่แค่ขั้นรวมชี่ที่ 3 แค่ฝ่ามือเดียวข้าก็ทำลายเ้าได้แล้ว!” แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น พร้อมกับไอสังหารพวยพุ่งออกจากร่าง แม้พร์ของเขาจะไม่สูงส่ง อาศัยความได้เปรียบของระดับการบ่มเพาะ เขาก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถกำราบเย่เฟิงได้อย่างแน่นอน
“งั้นหรือ?” เย่เฟิงแสยะยิ้ม จากนั้นเขาหันไปมองเฉินเซี่ยงเทียนบนอัฒจันทร์หลัก พร้อมกล่าวต่อว่า “ผู้าุโเฉิน ข้ามีเื่หนึ่งอยากจะขอ!”
เฉินเซี่ยงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเย่เฟิงคิดจะทำอะไร แต่เขาก็พยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ว่ามาสิ”
“ให้ข้าสู้กับคนผู้นี้ โดยที่ไม่เกี่ยวกับการประลอง แต่เป็ศึกส่วนตัวของเขาและข้าเท่านั้น ท่านจะอนุญาตได้หรือไม่?” เย่เฟิงกล่าวพร้อมโค้งตัวให้เฉินเซี่ยงเทียน แม้ทั้งสองคนจะเกลียดชังกัน แต่ก็ยังต้องรักษามารยาทในที่แห่งนี้
ทุกคนได้ยินคำพูดของเย่เฟิงต่างก็ประหลาดใจ และคิดในใจว่า “เย่เฟิงผู้นี้บ้าบิ่นมาก อีกฝ่ายอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 ซึ่งมากกว่าเขาถึงสามระดับ แต่เขากลับเป็ฝ่ายท้าคนคนนั้นก่อน รนหาที่ตายชัด ๆ!”
เฉินเซี่ยงเทียนเผยรอยยิ้มสนใจ “เ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะสู้กับเขา?”
เย่เฟิงเป็ฝ่ายแกว่งเท้าหาเสี้ยนก่อน เฉินเซี่ยงเทียนย่อมไม่ปฏิเสธ เขาอยากให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนั้นบดขยี้เย่เฟิงหรือกระทั่งสังหารให้ตาย
“ข้าแน่ใจ” เย่เฟิงพยักหน้า
“งั้นก็ดี ศึกของเ้าสองคนไม่เกี่ยวกับทางสำนักยุทธ์ และพวกเ้าต้องรับผิดชอบเอง หากอีกฝ่ายเห็นด้วย ก็เริ่มได้ทุกเมื่อ” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวพร้อมกับดวงตาวาบประกายแสงเยือก
จากนั้นเย่เฟิงหันไปมองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนั้น แล้วกล่าวว่า “เ้าบอกว่าทำลายข้าได้ด้วยฝ่ามือเดียวมิใช่หรือ? เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเ้า ออกมาสู้ซะ!”
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนั้นพูดจายั่วยุเย่เฟิง เช่นนั้นเย่เฟิงก็จะใช้วิธีที่เรียบง่ายที่สุดสั่งสอนอีกฝ่าย ว่าการยั่วยุเขาเย่เฟิงจะมีผลลัพธ์เป็อย่างไร
“หมอนี่ท้าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 จริง ๆ ช่างโอหังยิ่งนัก เขาต้องชดใช้ด้วยราคามหาศาลแน่นอน แม้เย่เฟิงจะแข็งแกร่ง แต่จะสู้กับผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าตนถึงสามขั้นได้อย่างไร?” ผู้คนเห็นเย่เฟิงท้าทายผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นอย่างไม่ลังเลต่างก็ตกตะลึงอีกครั้ง
“อีกฝ่ายมีระดับการบ่มเพาะสูงกว่า เ้าระวังตัวด้วยล่ะ!” ฉินเยียนหรานที่อยู่ข้าง ๆ กำชับเย่เฟิง แม้ก่อนหน้านี้เย่เฟิงจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 ได้ แต่ฉินเยียนหรานรู้ว่าขั้นรวมชี่ที่ 5 และขั้นรวมชี่ที่ 6 มีช่องว่างที่แตกต่างกันมากเพียงใด ยิ่งกว่านั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนี้ยังไม่เคยพ่ายแพ้สักตาในสองศึกก่อนหน้านี้ ฉินเยียนหรานจึงเป็กังวลเพราะเย่เฟิงเทียบไม่ได้กับสองคนนั้นที่พ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วง หมอนั่นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” เย่เฟิงปลอบใจฉินเยียนหราน เพื่อไม่ให้นางเป็ห่วงเขา
“ฮ่า ๆ ๆ!” การท้าดวลของเย่เฟิงทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนั้นะเิหัวเราะและเผยสีหน้าเหยียดหยาม จากนั้นเขาเดินไปหาเย่เฟิงพลางพูดว่า “ในเมื่อเ้าอยากตายมากนัก เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์เ้าให้!”
จากนั้นพลังปราณประหนึ่งหินก้อนั์ปะทุออกจากร่างผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น แล้วเข้าจู่โจม หมายบดขยี้เย่เฟิง
“ตึก!” ตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเหวี่ยงหมัดโจมตีเย่เฟิง รังสีหมัดนั่นกลายเป็เงาหมัดที่อัดแน่นด้วยพลังมหาศาล
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ ขณะที่เขายืนนิ่งดุจภูผา จู่ ๆ รังสีหอกพวยพุ่งออกจากร่างเขา ก่อนจะเข้าปะทะกับเงาหมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ตามมาด้วยเสียงปะทะต่อเนื่อง ผู้คนพบว่ารังสีหอกที่เย่เฟิงสำแดงทำลายเงาหมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น จนค่อย ๆ สลายหายไปจากอากาศ
“ข้าก็อยากรู้นักว่าขั้นรวมชี่ที่ 6 ของเ้าจะแน่สักแค่ไหน!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย้ยหยัน จากนั้นเห็นเขาเดินออกมาพร้อมแสงดาวปกคลุมร่าง พลังดาราโคจรรอบกายเย่เฟิง ทำให้ร่างเขาเหมือนภาพลวงตา ทำผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นอึ้งไปเล็กน้อย นาทีนี้เขารู้สึกว่ามีลมเย็นพัดผ่านด้านหน้า ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเขา พร้อมกับเหวี่ยงหมัดโจมตีอย่างไม่ลังเล เพียงแต่พลังเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 4 และที่ 5 จะต่อต้านได้
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นต้องนิ่งอึ้ง เมื่อได้สติก็เหวี่ยงหมัดกลับเพื่อโจมตีหมัดของเย่เฟิง ตามมาด้วยเสียงะเิดังกึกก้อง วินาทีที่หมัดของทั้งสองคนปะทะกัน ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นรู้สึกว่าพลังทำลายล้างกำลังกัดกร่อนร่างกายตัวเอง ทำให้อวัยวะภายในปั่นป่วนอย่างแรง เืตีขึ้นมาและอยากจะคายทิ้ง แต่เขากลับกลืนมันลงไป เขาไม่คิดว่าผู้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 3 จะมีพลังโจมตีที่รุนแรงมากขนาดนี้ แค่กระบวนท่าเดียวเขาก็เกือบกระอักเืออกมา ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“เ้าแข็งแกร่งมากนักไม่ใช่หรือ? ทำไมยังไม่ลงมืออีกเล่า!” เย่เฟิงแสยะยิ้มและเดินไปข้างหน้าต่อ ทั้งยังเหวี่ยงหมัดกระหน่ำโจมตีผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ทำให้อีกฝ่ายเซถอยหลัง ยกมือขึ้นต้านทาน สีหน้าก็ยังขาวซีด อวัยวะภายในสั่นคลอนหนักกว่าเดิม ท้ายที่สุดก็ต้องกระอักเืและล้มลงไปกองกับพื้น เขาถูกเย่เฟิงโจมตีไม่หยุดยั้ง จนทั่วร่างเต็มไปด้วยาแ แต่ตอนที่ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะลุกขึ้นมา กลับเห็นฝ่าเท้าตรงเข้ามาเหยียบย่ำศีรษะเขา
“นี่น่ะหรือความแข็งแกร่งที่เ้าภูมิใจนักภูมิใจหนา?” เสียงเย็นเยือกดังเข้าไปในหูของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น และดวงตาคู่นั้นของเย่เฟิงยังเชิดมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นะเื
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นดวงตาแดงก่ำแฝงด้วยความเศร้าปนความโกรธ เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 แต่กลับถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 เหยียบย่ำ มันช่างน่าอัปยศอดสูสิ้นดี
“เย่เฟิงแข็งแกร่งเพียงนี้เชียวหรือ? ดูท่าทุกคนจะประเมินเขาต่ำไป” ผู้คนอุทานขณะมองไปที่เย่เฟิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“อั่ก!” ในขณะเดียวกันมีเสียงโอดครวญดังขึ้น ทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คนในทันที จากนั้นเห็นที่บางแห่งบนเวทีประลองมีเงาร่างหนึ่งตัวกระเด็นปลิวออกไป พร้อมกับมีพลังทำลายล้างห่อหุ้มร่างกาย ก่อนจะกระแทกกับพื้นเวทีประลองอย่างแรงและกระอักเืออกมา เมื่อผู้คนเห็นโฉมหน้าของเงาร่างนี้ต่างก็ประหลาดใจ
“เกิดอะไรขึ้น? ผู้แพ้จะเป็ลู่เจียงไปได้ยังไง? ต้องเป็อวิ๋นเจี๋ยสิที่ต้องแพ้” ผู้คนต่างเบิกตาโพลงขณะมองลู่เจียงที่อาเจียนเืออกมา ก่อนหน้านี้พวกเขาโต้แย้งผลแพ้ชนะของศึกนี้กับเย่เฟิง และยังทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นต้องมีเื่กับเย่เฟิง บัดนี้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนั้นไม่เพียงแต่ถูกเย่เฟิงกำราบ แต่ลู่เจียงที่เขาสนับสนุนมาตลอดก็ยังถูกอวิ๋นเจี๋ยซัดจนกระอักเื จินตนาการได้เลยว่าทุกอย่างนี้มันน่าตลกมากเพียงใด ช่างน่าขันนักที่พวกเขาและผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนั้นมีความคิดเดียวกัน คิดว่าเย่เฟิงโง่เขลา บัดนี้ผลการต่อสู้ออกมาแล้ว ใครกันแน่ที่โง่เขลา!
แม้เย่เฟิงไม่พูด แต่ผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ที่ดูถูกเย่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าก้มตาลง พร้อมกับรู้สึกหน้าร้อนผ่าว เหมือนถูกใครบางคนตบหน้า ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก ส่วนผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นที่ถูกเย่เฟิงเหยียบย่ำก็นึกเสียใจ เกลียดตัวเองที่ปากมากจนไปล่วงเกินเย่เฟิง ทำให้ตัวเองต้องมีสภาพเฉกเช่นตอนนี้ แต่ที่น่าขันไปกว่านั้นคือ ลู่เจียงที่เขาสนับสนุนมาตลอดก็พ่ายแพ้เช่นกัน
“นี่น่ะหรือสายตาของเ้า ต่อไปอย่ามายั่วโมโหข้าอีก หาไม่แล้วข้าจะทำให้เ้าต้องชดใช้หนักกว่าวันนี้หลายเท่า!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น จากนั้นเขายกเท้า ก่อนจะออกแรงแล้วเตะร่างอีกฝ่ายอย่างแรง นาทีต่อมาผู้คนได้ยินเสียงโอดครวญที่น่าเวทนาของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนั้น เขาถูกเย่เฟิงเตะจนกระเด็นออกจากเวทีประลอง นั่นหมายความว่าเขาตกรอบ เป็เพราะว่าเขาล่วงเกินเย่เฟิง จึงต้องชดใช้ด้วยราคาแสนเ็ป ช่างไม่คุ้มค่ายิ่งนัก
“หมอนี่โหดมาก วิธีการของเขาเด็ดขาดจริง ๆ แม้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 3 แต่ก็มีพลังขนาดนี้ หากรอเขาบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 6 กระทั่งทัดเทียมกับอัจฉริยะชั้นยอดอย่างตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียน พร์ของเย่เฟิงผู้นี้จะถือได้ว่าทรงพลัง ถ้าให้เวลาเขาอีกนิด คงเป็อัจฉริยะไร้เทียมทาน!” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิงที่ยืนตระหง่านใจกลางเวทีประลอง จู่ ๆ ผู้คนไม่น้อยตาเผยประกายคมกริบ จำต้องยอมรับว่าคำพูดของคนผู้นี้มีเหตุผล
ด้วยพร์อันทรงพลังที่เย่เฟิงแสดงออกมา เขาสามารถทัดเทียมกับตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียนได้ แต่บัดนี้คงมีเพียงสิ่งเดียวที่ขาดไปก็คือระดับการบ่มเพาะต่ำต้อยที่จำกัดสิทธิ์นั้นของเย่เฟิง
ไม่แน่ว่าเวลานี้ในปีหน้า เย่เฟิงผู้นี้อาจจะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสำนักยุทธ์จริง ๆ จนไม่มีผู้ใดสั่นคลอนเขาได้
เหล่าคนที่เกลียดเย่เฟิงหรือบางกองกำลังต่างก็รับรู้ได้ถึงเื่นี้ จึงเป็บ่อเกิดความคิดที่จะกำจัดเย่เฟิง หากปล่อยเย่เฟิงเติบโตไปมากกว่านี้ เวลานั้นพวกเขาจะทำอะไรไม่ได้
เย่เฟิงไม่สนใจสายตาของเหล่าผู้คนที่มองมา เพียงเดินกลับไปยังที่เดิม
อีกด้านหนึ่ง อวิ๋นเจี๋ยปรายตามองลู่เจียงด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม แล้วเลื่อนสายตาไปมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไป