มุมปากมู่จื่อหลิงโค้งขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มพึงพอใจฉายผ่านดวงตา คาดไม่ถึงว่าเ้าท่อนไม้ที่หากไม่พูดก็ไม่มีอะไร แต่ยามพูด มันทำให้คนอื่นมีความสุขได้จริงๆ
นางแค่ถามแบบสบายๆ เพื่อคลายบรรยากาศน่าขนลุกในยามนี้ แต่นางไม่คาดคิดเลยว่ากุ่ยเม่ยที่เป็ดังท่อนไม้จะคิดเร็ว ทั้งยังพูดจาไพเราะได้ขนาดนี้
กล่าวได้ว่าคำเยินยอของกุ่ยเม่ยดีงามมาก ตรงตามที่นาง้า...มู่จื่อหลิงมองกุ่ยเม่ยด้วยท่าทางพอใจ ส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
ยามได้รับการจ้องมองจากมู่จื่อหลิง กุ่ยเม่ยถึงกับลอบกลอกตา พลางครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดในใจอยู่พักหนึ่ง
จากนั้น เขาจึงมองหมอหลวงหลินผู้มีสีหน้าหลากสีด้านหลังตนด้วยใบหน้าจริงจัง พูดกับเขาด้วยความเมตตาว่า “หมอหลวงหลิน ท่านอย่าพูดเื่ไร้สาระ ต่อจากนี้จะถือว่าท่านมีความผิดฐานใส่ร้ายหวางเฟย ความผิดฐานใส่ร้ายฉีหวางเฟยนั้น สิงกู้เหวินถือเป็ตัวอย่างที่ดี อย่าเดินตามรอยเท้าเขา ด้วยผลที่ตามมาจะเลวร้ายยิ่ง”
มู่จื่อหลิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางเหลือบมองหลินเกาฮั่นด้วยท่าทางยิ้มแย้ม ราวกำลังมองเด็กที่สามารถสอนสั่งได้ “ได้ยินไหม? สิ่งที่กุ่ยเม่ยพูดคือสิ่งที่เปิ่นหวางเฟยอยากจะพูด”
นายและบ่าวคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ หมอหลวงหลินที่อยู่ด้านหลังโกรธจนแทบกระอักเื
วางยาเขาอย่างเปิดเผย ทั้งยังพูดออกมาอย่างมั่นใจ เอ่ยถ้อยคำอันชอบธรรมจากการบิดเบือนข้อเท็จจริง จะมีเหตุผลเช่นนั้นได้อย่างไร?
หมอหลวงหลินคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดเขาถึงถูกยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จับจูงจนตกอยู่ในความสับสนทุกครั้งไป
ดูเหมือนว่าั้แ่ต้นจนจบไม่เคยมี่เวลาใดเลยที่เขาไม่ถูกชักนำ เหตุใดถึงเป็เช่นนี้?
นอกเหนือจากสถานะของฉีหวางเฟยแล้ว นางเป็เพียงบุตรสาวของแม่ทัพที่ไร้อำนาจไปแล้ว ในสายตาเขา มู่เจิ้นกั๋วในยามนี้ไม่ต่างจากมด แต่เหตุใดบุตรสาวถึงมีกลิ่นอายสง่างามน่าเกรงขามเช่นนี้ได้?
ดวงตาหมอหลวงหลินส่องประกายเ็าเป็ครั้งคราวยามมองแผ่นหลังมู่จื่อหลิง จากนั้นเขาจึงหรี่ตาลงมองมือของตนที่ใกล้ชาจากความเ็ป
หมอหลวงหลินไม่เพียงรู้เกี่ยวกับพิษนี้เท่านั้น แต่ยังรู้ดีอีกด้วย
พิษที่มือของเขาจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ความเ็ปจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที สุดท้ายมือจะไร้ความรู้สึกไป
ต้องรู้ว่า สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์ มือคู่หนึ่งมีค่าเท่ากับครึ่งชีวิตของตน
หมอหลวงหลินรู้ดีว่าหากเขาสูญเสียมือไป ไม่เพียงแต่เขาจะเ็ปมากเท่านั้น แต่เขายังต้องตกลงจากตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวงอีกด้วย
ดังนั้น ในยามนี้ฝ่ามืออวบอ้วนของหมอหลวงหลินจึงกำแน่นเนื่องจากความเ็ปและความโกรธ ดวงตามืดมิดเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แต่เขาอดทนกลั้นใจ พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แสร้งทำเป็แสดงความเคารพ แล้วกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “สิ่งที่หวางเฟยตรัสมา เป็กระหม่อมเองที่ทำเกินกว่าเหตุขอหวางเฟยโปรดประทานยาถอนพิษด้วยเถิด!”
“ยาถอนพิษ...” มู่จื่อหลิงหันกลับมา ชำเลืองมองมือสีม่วงคล้ำของเขาด้วยรอยยิ้ม ปฏิเสธอย่างไร้เดียงสา “เปิ่นหวางเฟยบอกไปแล้ว พิษนี้ไม่ได้มาจากเปิ่นหวางเฟย เ้าเองก็เป็หมอไม่ใช่หรือ? จะแก้ปัญหาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเ้าแล้ว หมอหลวงหลิน”
นางกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ความหมายอีกนัยหนึ่งที่ทุกคนต่างเข้าใจคือ เ้าจะได้รับยาถอนพิษหรือไม่ขึ้นอยู่กับท่าทีของเ้าเองหลินเกาฮั่น
หลังจากพูดเช่นนั้น มู่จื่อหลิงก็ี้เีเกินกว่าจะพูดเื่ไร้สาระกับเขาอีก เพราะเมื่อพวกเขาเดินลึกมากขึ้น นางยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หัวใจของหลินเกาฮั่นแวบวาบไปด้วยความโกรธกับคำพูดของมู่จื่อหลิง
หากไม่ใช่เพราะเขายังไม่สามารถกำจัดพิษในมือได้ เขาจะทนทุกข์ทรมานกับความไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร?
ช่างน่ารำคาญเสียจริง! เกลียดยิ่งนัก!
ใจหมอหลวงหลินถูกครอบงำด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านอย่างต่อเนื่อง ทำให้หน้าอกกระเพื่อมแรง แต่ในยามนี้ แม้ว่าเขาไม่ควรสูดลมหายใจเข้าไปอีก เขาก็ยังต้องยอมกล้ำกลืนเข้าไป
วันนี้เขาถูกกระตุ้นแล้ว เป็เขาที่พ่ายแพ้ย่อยยับ!
วันนี้ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้พาคนมาด้วยเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่รู้จือฟางจือเซิงจะรับมือได้หรือไม่...หมอหลวงหลินรู้สึกเสียใจยิ่งนัก หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้ เขาคงยอมให้มีการประลองนอกถ้ำไปแล้ว
แต่ยามนี้...ใบหน้าหมอหลวงหลินซีดเซียว ความโกรธในใจอัดแน่นจนเหลือทน แต่เขาไม่กล้าะเิออกมา
เด็กปรุงยาสองคนที่เป็ผู้นำทางย่อมได้ยินการสนทนาของพวกเขา
เพียงครู่เดียว ทั้งสองก็เดินสวนกลับไป ผ่านพวกมู่จื่อหลิงราวกับว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ตรงเข้าไปขนาบข้างหมอหลวงหลินซ้ายขวา ช่วยพยุงเขาเดินอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตามู่จื่อหลิงก็ฉายแววประหลาดใจ
นางเคยเห็นความภักดีของสองคนนี้ที่มีต่อหลินเกาฮั่นมาก่อน แต่คาดไม่ถึงว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าที่นางจินตนาการไว้เสียอีก นี่เป็เพียงการกตัญญูยิ่งกว่าการปฏิบัติต่อบิดาของตนเอง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็ผู้นำอีกต่อไป แต่มู่จื่อหลิงก็ไม่ได้สนใจ ขอเพียงพวกเขาไม่มีความคิดริเริ่มเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนางก็พอ
......
ถ้ำแห่งนี้ไม่สามารถมองเห็นโดยรอบได้ในทันทีที่เดินเข้ามา ในถ้ำมีทางเดินทอดยาวคดเคี้ยว ทั้งยังมีสายลมเย็นพัดปะทะหน้า คล้ายซากศพที่พัดเข้าหาจนทำให้คนรู้สึกขนลุก ช่างสยองขวัญยิ่งนัก
เส้นทางทอดยาวเต็มไปด้วยหินขรุขระ ราวกับูเาสูงบดบังแสงอาทิตย์ ความมืดเบื้องล่างเต็มไปด้วยฝนพร่ำ [1] หินรูปร่างแปลกตาซ้อนทับกันตามธรรมชาติ คดเคี้ยวไปมา บรรยากาศมืดมนน่าสยดสยองราวกับกำลังตกลงไปในนรก
เป็เช่นนี้มาตลอดเส้นทางที่พวกเขาเดินเข้ามาไกลกว่าพันเมตร
ยิ่งเข้ามาลึกก็ยิ่งขนลุกด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด นอกจากเสียงเหยียบพื้นทรายใต้ฝ่าเท้าแล้ว ในถ้ำลึกก็มีเสียงน้ำไหลเป็ระยะๆ ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
ทันทีที่มู่จื่อหลิงเข้ามานางก็ััได้ถึงคำใบ้จากระบบซิงเฉิน นอกจากพิษศพในโรคระบาดแล้ว ยังมีพิษอีกชนิดหนึ่งในถ้ำนี้ ซึ่งเป็พิษร้ายแรงมาก
ขณะที่พวกเขากำลังจะเลี้ยวโค้งสุดท้าย ก่อนที่จะมองเห็นสถานการณ์ภายในถ้ำได้อย่างชัดเจน สีหน้ามู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนไป นางไม่มีท่าทีผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป อีกทั้งนางยังขมวดคิ้วเล็กน้อย
กุ่ยเม่ยที่ปกป้องอยู่ข้างกายนาง เมื่อเห็นท่าทางของนางแปลกไป เขาก็ใ “หวางเฟย เกิดอะไรขึ้น?”
มู่จื่อหลิงหลับตาลง ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง
ขณะที่นางยืนนิ่งอยู่นั้น คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังก็หยุดนิ่งเช่นกัน
มู่จื่อหลิงใช้ความรู้สึกทางจิติญญาของนาง ค้นหาข้อมูลพิษที่ตรวจพบโดยระบบซิงเฉินอย่างระมัดระวัง
แต่สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงประหลาดใจก็คือ พิษนี้เป็พิษที่ระบบซิงเฉินไม่สามารถตรวจจับได้ และมันยังคงเป็ของเหลว ไม่อยู่ในตำแหน่งที่แน่นอน
แม้แต่ระบบซิงเฉินก็ไม่สามารถตรวจจับได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพิษนี้ร้ายกาจเพียงใด
หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่ง มู่จื่อหลิงก็ขมวดคิ้ว เอ่ยเตือนกุ่ยเม่ยที่ปกป้องนางด้วยเสียงแ่เบา “ข้างในอาจมีอันตราย เพิ่มการระมัดระวังขึ้นอีกหน่อย” ส่วนสามคนด้านหลังนั้น นางไม่คิดจะสนใจ
กุ่ยเม่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดความสามารถในการรับรู้ของมู่จื่อหลิงถึงได้เฉียบแหลมถึงเพียงนี้ ซึ่งแข็งแกร่งกว่านักรบเช่นเขา แต่ในยามนี้เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก กุ่ยเม่ยจึงเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในทุกด้าน กระชับกระบี่ในมือแน่นแล้วเฝ้ารอ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาเพื่อตรวจสอบโรคระบาด แต่ยามนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนการผจญภัย มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ใจ
หลังจากเตรียมจิตใจแล้ว มู่จื่อหลิงจึงก้าวต่อไป
นี่เป็่สุดท้ายก่อนจะสามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในถ้ำได้ทั้งหมด
ยามมู่จื่อหลิงเลี้ยวเข้าไปตามเส้นทาง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป ดวงตาเบิกกว้างโดยไม่ได้ตั้งใจ นางมองภาพตรงหน้าด้วยความสยดสยอง
เมื่อเห็นสภาพภายในถ้ำอย่างถ่องแท้แล้ว มู่จื่อหลิงแทบจะอาเจียน
เมื่อคนสองสามคนที่ตามมาหลังจากนั้นเห็นเหตุการณ์ภายในก็ตกตะลึงเช่นกัน ราวกับถูกมนตร์สะกด พวกเขาหยุดนิ่งราวรูปปั้น
ปลายสุดของทางเดินแคบๆ นี้ มีถ้ำขนาดเท่าสนามกีฬาสามสนาม
แม้ว่าภายในถ้ำจะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่มันกลับไม่ว่างเปล่า มองแวบแรกยังให้ความรู้สึกแออัดเล็กน้อย
เพราะในยามนี้มู่จื่อหลิงได้ัักับสิ่งที่เรียกว่า ‘นรกบนดิน’ อย่างแท้จริง
ภายในถ้ำมีน้ำตกขนาดใหญ่ทอดยาวขึ้นไป้า กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลลงมา น้ำเชี่ยวขุ่นกระเด็นออกมาพร้อมเสียงกระทบ
การมีน้ำตกไม่ใช่เื่แปลกหรือน่ากลัว น้ำตกยิ่งใหญ่ตระหง่าน งดงาม แค่เห็นแวบเดียวก็ใจเต้นแรงอย่างตื่นตาตื่นใจ
แต่สิ่งที่แปลกและน่ากลัวในยามนี้คือน้ำตกขนาดั์นี้ไม่ได้มาจากูเาหิน แต่กลับเกิดจากการสะสมของซากศพมนุษย์นับพัน
ใช่ มันคือศพ ศพมนุษย์
ซากศพหลายพันกองทับซ้อนกัน รวมกันเป็เขาสูงชันหลายลูก น่าใมาก ราวกับจะรวมตัวกันจนกลายเป็กำแพงมนุษย์ที่เข้มแข็ง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสยดสยอง ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
จากล่างขึ้นบน...ซากกระดูกกลายเป็ซากเน่าเปื่อย กลางถ้ำเป็กลุ่มคนที่กองรวมจนเป็ทะเลสาบขนาดใหญ่
ไม่แปลกใจเลยที่ถึงแม้ด้านนอกจะห่างไกลจากด้านในถ้ำมาก แต่กลิ่นเหม็นของซากศพกลับยังโชยออกไปจนเด่นชัด ที่แท้ก็เป็เช่นนี้...มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว มองภาพตรงหน้าต่อไป
รอบทะเลสาบขนาดใหญ่ ซึ่งเป็ระยะทางที่ใกล้ที่สุดกับพวกมู่จื่อหลิง มีซากศพไร้นามหลายศพนอนคดเคี้ยว
สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกแปลกคือ ศพเหล่านี้ไม่มีเนื้อที่ไม่บุบสลายแม้แต่จุดเดียว เืสีดำไหลดั่งเสาเข็ม [2] เนื้อเปื้อนเืเน่าเปื่อย ดูน่ากลัวและน่าขยะแขยงยิ่งกว่า ‘น้ำตกกำแพงมนุษย์’ อันน่าตื่นตะลึงจนคลื่นไส้
เมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าซากศพเหล่านี้มีเืพิษไหลออกมาตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน
เมื่อพิจารณาจากการนอนตายของพวกเขา ดูเหมือนคนเหล่านี้จะพยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอด อีกทั้งศพเปื้อนเืของพวกเขายังถูกกัดเพื่อเป็อาหารของบางสิ่ง
นองเืเกินไป ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ยามเห็นว่าชุดที่พวกเขาสวมใส่เหมือนกับของเ้าหน้าที่และทหารด้านนอกทุกประการ เช่นนั้น...มู่จื่อหลิงชำเลืองมองหมอหลวงหลินซึ่งแขนขาอ่อนแรงจากความหวาดกลัว ยามนี้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเ้าคนชราผู้นี้ถึงไม่กล้าเข้ามา
กุ่ยเม่ยมองดูซากศพที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย “หวางเฟย...”
มู่จื่อหลิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ากุ่ยเม่ยหมายถึงสิ่งใด นางโบกมืออย่างใจเย็น “ไม่เป็ไร ในเมื่อมาแล้ว หากเื่นี้ไม่ได้รับการแก้ไข ผู้คนจำนวนมากจะล้มตายมากยิ่งขึ้น”
กุ่ยเม่ยพยักหน้า ดึงกระบี่คมกริบในมือมาถืออย่างเงียบๆ เฝ้าดูการเคลื่อนไหวรอบตัวอย่างระแวดระวังด้วยสายตาอันเฉียบคมที่ตื่นตัว
ทั้งสองค่อนข้างสงบ แต่หมอหลวงหลินที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับไม่เป็เช่นนั้น
ใช่เป็แน่! จะต้องมีสัตว์ประหลาดอยู่ในถ้ำนี้เป็แน่
ภาพอันน่าสยดสยองนี้ ทำให้หมอหลวงหลินผู้ขี้ขลาดตาขาวด้วยความรักตัวกลัวตายอยากจะล่าถอยออกไปโดยสัญชาตญาณ เขาตัวสั่นสะท้าน “มีสัตว์ประหลาด! เร็ว จือฟางจือเซิง พวกเรา...”
แต่หมอหลวงหลินยังพูดไม่จบประโยค มู่จื่อหลิงก็จ้องมองเขาด้วยสายตาเ็าจนทำให้หนาวเหน็บถึงภายใน
“หุบปาก! หากะโอีกครั้ง เปิ่นหวางเฟยจะฝังเ้าไว้กับคนเหล่านี้!” อยากออกไปหรือ? ต้องดูด้วยว่านางยอมหรือไม่
ประโยคนี้ ด้วยบารมีอันล้ำเลิศ หนาวเหน็บยิ่งกว่าก่อนหน้า ถือเป็คำเตือนที่อันตรายอย่างยิ่ง
หัวใจของหลินเกาฮั่นเต้นไม่เป็จังหวะ หากไม่ได้รับการประคองจากเด็กปรุงยาทั้งสอง เขาคงทรุดลงกับพื้นไปนานแล้ว
เนื่องจากเขาตกตะลึงอีกครั้งกับการเอ่ยขัดที่น่าเกรงขามของมู่จื่อหลิง เขาจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวอีกแล้ว
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ูเาสูงบดบังแสงอาทิตย์ ความมืดเบื้องล่างเต็มไปด้วยฝนพร่ำ (犹似山峻高而蔽日,下幽晦而多雨) เป็คำจากบทกวี แปลว่า ูเาสูงชันปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ด้านล่างไร้แสงจนมืดมิด ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย
[2] เืสีดำไหลดั่งเสาเข็ม (黑血如柱) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า เืออก เืไหลพุ่งออกมามากมาย