“หูโจว?” เขาทวนเบาๆ หูโจวเป็พื้นที่ศูนย์กลาง สามารถเชื่อมไปได้ทั่วสารทิศ การจะตามสืบคงต้องใช้เวลา ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็เพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้เตะตา ไม่เป็ที่สังเกตของผู้คนอยู่แล้ว
“สืบต่อไป ตายต้องเห็นศพ อยู่ต้องเห็นคน”
ลมกระโชกแรงขึ้นเล็กน้อยในห้อง จากนั้นก็หายไป
ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยดูเหนื่อยล้าเพราะอาการาเ็ แม้ว่าจะดีขึ้นเยอะแต่ร่างกายก็ย่ำแย่ไปมาก เขากำลังครุ่นคิด คราวนี้กลับไปยังเมืองหลวง เกรงว่าคงต้องถูกขังอยู่ที่นั่นเป็เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง
สำหรับเ้าของเล่นหลิวเต้าเซียง ในใจเขาได้แต่งตั้งให้กลายเป็ของส่วนตัวเป็ที่เรียบร้อย ผู้อื่นมิอาจคิดแตะต้องแม้เพียงปลายเล็บ
นั่นเป็เหตุผลที่เขาช่วยขจัดอุปสรรคที่นางข้ามผ่านเองไม่ได้ สำหรับบางคนนางอาจจะต้องลงแรงสักหน่อย แต่เขาเชื่อว่านางจะสามารถทำได้
เมื่อนึกถึงวันที่จะได้กลับมาเจอกัน ก็ไม่รู้ว่านางจะมีสภาพเช่นไรบ้าง
จะยอมจำนนต่อชีวิตเช่นนี้ หรือว่าเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม? ราวกับหญ้าข้างถนน ที่ไม่ว่าล้อรถจะทับอย่างไรก็ไม่มีวันตาย?
ลูกชิ้นปลา? ลูกชิ้นที่ทำจากปลา?
ซูจื่อเยี่ยซึ่งอาศัยอยู่ในภาคเหนือเพิ่งจะเคยได้ยินสิ่งนี้ จึงเกิดความคาดหวังและเฝ้ารอที่จะได้กินวันรุ่งขึ้น
ในวันรุ่งขึ้น หลิวซานกุ้ยไปที่แม่น้ำตรงปากทางหมู่บ้านขณะที่ฟ้ายังมืด เมื่อเขาเตรียมของเรียบร้อย ฟ้าก็เริ่มสว่าง
เขาหยิบฉมวกและค่อยๆ กระโจนไปที่ขอบแม่น้ำ เพียงแค่ท้องฟ้าเริ่มเป็สีขาว เขาก็จับปลาเฉาตัวใหญ่น้ำหนักราวสามถึงสี่กิโลกรัมได้สามตัว
เมื่อเห็นว่าเริ่มสายแล้วจึงกังวลที่ซูจื่อเยี่ยจะจากไปวันนี้ ตัดสินใจพักเื่จับปลาต่อไว้ก่อน
เพียงแต่หนนี้เขาค้นพบว่า ที่แท้การตื่นเช้ามาจับปลาก็มีข้อดี อย่างน้อยปลาเฉาที่ซ่อนอยู่ในหญ้าน้ำยังไม่เคลื่อนไหว พอเสียบลงไปก็จับได้หนึ่งตัว
คิดไว้ว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจะมาครอบปลา แล้วโยนปลาเฉาที่ได้ไว้ในข้อง อาศัยจังหวะที่ทุกคนยังไม่ตื่น รีบเอาข้องกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
ประตูลานบ้านของตระกูลหลิวถูกเปิด หลิวจูเอ๋อร์กำลังใช้ไม้กวาดกวาดลานบ้านด้วยใบหน้าบึ้งตึง ส่วนหลิวเสี่ยวหลันก็ตื่นขึ้นแล้ว ทว่านางเหมือนกับสาวรับใช้ก็ไม่ปานที่กำลังตักน้ำไปให้ซูจื่อเยี่ยล้างหน้าล้างตา
หลิวเต้าเซียงกําลังเดินยืดเส้นยืดสายอยู่ตรงทางเดินปีกทิศตะวันตก คิ้วที่สวยงามกำลังขดเป็วง
เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของลานบ้าน นางก็ก้าวเท้าเล็กๆ ออกไปต้อนรับอย่างไว
“ท่านพ่อ กลับมาแล้วหรือ?” น้ำเสียงอ่อนหวานปนความดีใจ
หลิวซานกุ้ยเห็นผลลัพธ์ของวันนี้ ก็เริ่มมองเห็นภาพของเงินรางๆ อารมณ์ก็เบิกบานเช่นเดียวกัน
เขาจึงตอบรับอย่างแจ่มใส
“ลูกรัก คุณชายท่านนั้นตื่นแล้วหรือ?”
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองไปที่หลังของหลิวเสี่ยวหลัน เห็นนางถือน้ำเข้าไปในห้องโถง จากนั้นจึงหันมายิ้มหวานให้หลิวซานกุ้ย แล้วขานรับพร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ได้ปลามาหรือไม่?”
มุมปากของหลิวซานกุ้ยเกือบจะฉีกไปถึงใบหู บดบังความดีใจของตนเองไว้ไม่มิด “วิ่งช้าหน่อย ปลานี่ไม่หายไปไหน”
เขาถือข้องปลาไปที่ลานบ้าน หลิวเต้าเซียงก็ชะเง้อเข้ามาดู ใบหน้าตื่นตะลึงและเอ่ย “ว้าว ปลาเฉานี่ตัวโตมาก”
“อืม ได้มาสามตัว” หลิวซานกุ้ยคิดถึงเื่นี้ครู่หนึ่งแล้วกระซิบว่า “ลูกรัก ปลาที่ได้มา บ้านนั้นรับหรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจางจะรับหรือไม่ แต่นางรู้ว่าปลาเฉานี้หากใช้เกลือหมักไม่กี่วัน แล้วทำเป็ปลาเค็มนั้นจะอร่อยเลิศรส เนื้อหนาหนังบาง เคี้ยวเพลินยิ่งนัก
“เราลองดู หากว่าไม่ได้เราก็เก็บไว้กินเอง”
“น่าเสียดายที่อากาศร้อน ไม่เช่นนั้น หมักเกลือแล้วตากไว้ คงทำเป็ปลาตากแห้งขายได้เงิน” หลิวซานกุ้ยเสียดายเล็กน้อย
หลิวเต้าเซียงได้ยินคำว่าปลาตากแห้ง ก็รู้สึกว่าเป็ความคิดที่ไม่เลว แล้วคิดกลับกัน อากาศ่นี้ร้อนขึ้นเรื่อยๆ แมลงวันบินให้ว่อน ปลาคงยากที่จะตากจนแห้งได้
“ทำปลาดองเค็มเถิด รอพ่อจับมา ข้าจะส่งไปถามดู” สำหรับเื่หาเงิน หลิวเต้าเซียงเองก็ยินดีจะเทียวไปเทียวมา
จะว่าไปพอเดินทางจนเคยชินก็เริ่มรู้สึกว่าระยะทางหกลี้ไม่ได้ไกลมากนัก ยิ่งกว่านั้นไปกลับก็นั่งรถเข็นวัว
“ไม่อย่างนั้น พ่อจะไปส่งพร้อมลูก” ท้ายที่สุด หลิวซานกุ้ยก็รู้สึกเอ็นดูบุตรสาวของตน เพียงแต่เขานั้นแสดงออกไม่เก่ง
หลิวเต้าเซียงตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็เม้มปากยิ้มและพยักหน้า
“ลูกรัก เ้าบอกว่าจะทำลูกชิ้นปลาไม่ใช่หรือ? ให้พ่อช่วยหรือไม่ อีกอย่าง ลูกชิ้นปลา เหตุใดพ่อไม่เคยได้ยินมาก่อน? เ้าไปฝึกมาจากผู้ใด?” หลิวซานกุ้ยเพิ่งคิดได้ อันที่จริงคำพูดนี้เขาควรจะถามั้แ่เมื่อคืนแล้ว เพียงแต่ทุกคนเริ่มคุ้นชินกับการให้หลิวเต้าเซียงจัดการเื่เหล่านี้ ด้วยเหตุนี้หลิวซานกุ้ยจึงรู้สึกตัวช้า
“จะมีใครอีก ก็เรียนจากแม่เฒ่าผู้นั้นนั่นแหละ” หลิวเต้าเซียงตอบอย่างขอไปที
เื่แบบนี้หลิวซานกุ้ยไม่มีทางไปถามคนอื่นแน่นอน
“ท่านพ่อ ช่วยข้าขูดเกล็ดปลาออกก่อน อืม หากขูดเสร็จแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้” หลิวเต้าเซียงพูดพร้อมกับกลืนน้ำลาย อันที่จริง เกล็ดปลานั้นนำมาต้มเป็น้ำแกงเกล็ดปลา ก็อร่อยจนสามารถกลืนลิ้นลงไปได้ทีเดียว
หลิวซานกุ้ยไม่ได้คิดอะไรมาก เขารับปากแล้วให้หลิวเต้าเซียงไปหยิบมีดหั่นผักมาให้เขา ส่วนตนเองไปหาเก้าอี้ตัวเล็กกับเขียงไม้หนึ่งอัน เตรียมจะทำความสะอาดปลา
หลิวเต้าเซียงหยิบมีดทำครัวและมาพร้อมกับตะกร้าเล็กๆ สองใบ “ท่านพ่อ ของในท้องปลาให้เก็บไว้ก่อน เราจะได้ต้มกินตอนกลางวัน”
“สิ่งนั้นกินได้หรือ มันคาวนักเชียว” หลิวซานกุ้ยลุกขึ้นยืนและรีบก้าวไปรับของมา
“ท่านพ่อ เมื่อวานท่านปู่บอกให้อาเล็กไปเอาสุราข้าวมาอีกหนึ่งกิโลกรัม” หลิวเต้าเซียงกะพริบตาให้เขา
หลิวซานกุ้ยไม่มีทางไม่รู้ว่าสุราสามารถดับกลิ่นคาวได้ เพียงแต่สุราข้าวนั้นต้องใช้เงินถึงสิบกว่าเหรียญต่อครึ่งกิโลกรัม หากว่าเขาอยากกิน คงเสียดายเป็แน่
เมื่อนึกถึงสุราข้าว หนอนสุราในท้องก็เริ่มงอแง
“ลูกรัก เราอย่าเพิ่งพูดถึงเื่สุราเลย” หลิวซานกุ้ยข่มหนอนสุราในท้องให้สงบ
เมื่อคืนเขากินเนื้อตุ๋น ก็นึกอยากดื่มสักสองจอก แต่เสียดายที่บ้านไม่มีแม้แต่หยดเดียว เขาเองก็ไม่มีเงินไปดื่มเอง
“ท่านพ่อ วางใจได้ คืนนี้ข้ารับรองว่าท่านพ่อต้องได้ดื่มสักสองจอกแน่นอน” หลิวเต้าเซียงมีหรือจะไม่รู้ว่าพ่อผู้แสนดีของตนนั้นเกิดอาการอยากสุรา
หลิวซานกุ้ยรู้สึกสุขใจ แต่ก็กระอักกระอ่วน
เมื่อคิดว่ายังมีบุตรสาวของตนที่รักเขา แต่ในขณะเดียวกันตัวเขาเองก็เป็ลูกชายที่มีพ่อแม่ไม่ใช่หรือ!
หลิวซานกุ้ยซึ่งมีหัวใจทั้งสุขและขมขื่น เขาแปรเปลี่ยนความขมขื่นเป็พลัง แล้วตั้งใจขูดปลา
“ปลาตัวนี้ค่อนข้างอ้วน ในไส้ของมันมีแต่น้ำมันปลา เกรงว่าคงเป็ปลาที่หนีออกมาจากบ้านคนรวยสักหลัง” หลิวซานกุ้ยพูดขณะที่กำลังทำความสะอาดปลา
หลิวเต้าเซียงย้ายเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งอยู่ตรงนั้นด้วย พลันสอนผู้เป็พ่อว่าจะเลาะเอาก้างกับกระดูกของปลาออกมาได้อย่างไร
หลังจากเก็บกวาดปลาเรียบร้อย นางอาศัย่ที่เอาปลาไปทำความสะอาด ร่อนแป้งมันผสมลงไปในเนื้อปลา จากนั้นค่อยใส่ขิงกับสุราข้าว แล้วให้หลิวซานกุ้ยเอาเนื้อปลาไปใส่ในหินโม่ทำเป็ปลาบด
หลังจากปลาบดพร้อมแล้ว หลิวซานกุ้ยก็ช่วยนางนําปลาบดออกจากหินโม่ หลิวเต้าเซียงเติมซีอิ๊วขาวลงไปเล็กน้อย จากนั้นให้หลิวซานกุ้ยช่วยใช้มือตบปลาบด จนเมือกของปลาไหลออกมา
นางหย่อนขิงลงไปในน้ำเล็กน้อย แล้วต้มน้ำจนเดือด จากนั้นไปตัดหัวหอมในแปลงผักมาหั่นละเอียด
เมื่อถึงเวลานี้ดวงอาทิตย์ได้ขึ้นมาแล้ว หมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกเมฆหมอกยามเช้าปกคลุมอยู่ก็ปรากฏออกมาช้าๆ ยอดหญ้ามีน้ำค้างเกาะ แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องจนเป็ประกายระยิบระยับ
หลังจากที่ซูจื่อเยี่ยล้างหน้าล้างตา ก็ไปยืดเส้นยืดสายในลานบ้าน มองเห็นเงาของหลิวเต้าเซียงกำลังขลุกอยู่ในครัว และได้กลิ่นหอมของลูกชิ้นปลาลอยออกมาจากในครัว
เขากลืนน้ำลาย ท้องไส้ก็ร้องโครกครากเช่นเดียวกัน
หลิวเสี่ยวหลันเป็สาวรับใช้ที่เรียกขานกันกำลังรินน้ำชาร้อนให้เย็นอยู่อีกด้าน เมื่อเห็นซูจื่อเยี่ยไม่ได้ยืดเหยียดแล้ว จึงรีบยกน้ำชาไปให้ แล้วเอ่ยด้วยความเขินอาย “คุณชายน้อย รถม้าของคุณชายจะมาถึงเมื่อใดหรือ?”
“เกือบถึงแล้ว” ซูจื่อเยี่ยซึ่งเดิมทีไม่ชอบสนใจนาง วันนี้กลับพูดคุยด้วยง่ายดาย
หลิวเสี่ยวหลันบังเอิญได้ยินเสียงท้องของเขาดังขึ้น จึงพูดอย่างนอบน้อม “ข้าจะไปดูว่าอาหารเช้าสุกหรือยัง หากว่าสุกแล้วจะได้ให้คุณชายน้อยรับทานก่อน”
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าด้วยความเคยชิน เขาได้รับการสั่งสอนมาแต่เยาว์วัย ว่าเวลากินข้าวก็ต้องให้บรรดาคนรับใช้ยืนปรนนิบัติอยู่อีกด้าน แม้ว่าท้องร้องก็ห้ามกินก่อนแม้แต่คำเดียว เพียงเพราะว่าเขาคือนาย
หลิวเสี่ยวหลันได้รับคําตอบ จึงเดินอย่างร่าเริงไปที่ประตูโรงครัว นานทีปีหนจะถามอย่างเป็มิตรว่า “พี่สาม เต้าเซียง อาหารเช้าเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
“ใกล้แล้ว” หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือไปปาดเม็ดเหงื่อ แขนเสื้อก็ถูกม้วนขึ้น เผยให้เห็นแขนอันเรียวเล็กของนาง
ดวงตาของหลิวเสี่ยวหลันกะพริบไหว นางเด็กนี่ขาวขึ้นเยอะนักเชียว
“เต้าเซียง เ้าอายุเจ็ดขวบแล้ว อย่าเอะอะก็ถลกแขนเสื้อขึ้น เ้าเป็ผู้หญิง อย่าได้ให้คนนอกเห็นเข้า ถึงตอนนั้นเกิดเื่ไม่ดีขึ้น อีกฝ่ายเป็คนไม่ดี เ้าจะมีมลทินไปตลอดชีวิต!”
หลิวเสี่ยวหลันพูดแบบนี้ราวกับว่านางหวังดีต่อหลิวเต้าเซียง
หลิวเต้าเซียงกลอกตาเงียบๆ พร้อมกับถือตะหลิว ไม่เข้าใจว่าหลิวเสี่ยวหลันเป็บ้าอะไรอีก อยากบอกให้นางลองมายืนข้างกระทะดูบ้าง ดูสิว่าจะร้อนตายก่อนไหม ยิ่งกว่านั้นตนเองก็ทำงานยุ่งมาั้แ่เช้า
“เสี่ยวหลัน อาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว เ้าไปเรียนคุณชายน้อยให้นั่งรอได้”
หลิวซานกุ้ยตัดบทในเวลานี้
หลิวเต้าเซียงรู้สึกประหลาดใจในตอนแรก จากนั้นก็คิดว่าพ่อผู้แสนดีของนางเคยได้ร่ำเรียนมา เคยไปที่สถาบันสอนตำรา คิดว่าคงได้รับการสั่งสอนมารยาทจากอาจารย์มาบ้าง
มิฉะนั้นด้วยธรรมชาติของเขาที่ถนัดแต่เื่ไถดิน คงไม่มีทางพูดออกมาเช่นนี้ได้
นางหยุดคิดแล้วเดินไปที่ชั้นครัว จัดการโรยหัวหอมในชาม จากนั้นก็โรยขิงสับ แล้วเติมซีอิ๊วขาวอีกเล็กน้อย แล้วยกไปหน้าเตา
“เต้าเซียง เหตุใดเ้าจึงทำเพียงที่เดียว?”
หลิวเสี่ยวหลันขมวดคิ้วไม่พอใจ นางได้กลิ่นเนื้อปลาที่หอมหวน มีลูกชิ้นปลาสีขาวลอยอยู่ในหม้อ นึกอยากจะกัดสักคำ และแอบกลืนน้ำลาย นี่ต้องอร่อยแน่นอน
หลิวเต้าเซียงแสร้งทำเป็ไม่สนใจความหิวของนาง ในขณะที่ตักลูกชิ้นปลาลงในชามก็ยิ้มแล้วเอ่ย “อาเล็ก ก็เพราะลูกชิ้นปลาไม่พอ พ่อข้าได้ปลาเฉามาแค่สองตัว ย่อมต้องเอาไปให้คุณชายน้อยก่อน คิดว่าเขากินลูกชิ้นปลานี่แล้ว คงต้องยิ่งนึกถึงที่แห่งนี้ จะได้หาเวลาว่างมาเยี่ยมอาเล็ก”
สิ่งนี้สอดคล้องกับความตั้งใจของหลิวเสี่ยวหลันมาก จากนั้นได้ยินเพียงนางหัวเราะแล้วเอ่ย “โอ๊ย พี่สาม ดูเด็กน้อยเต้าเซียงนี่สิ ช่างรู้เื่ดีเสียจริง”
หลิวซานกุ้ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิวเต้าเซียงจึงพูดเช่นนี้ ต่อมาพอได้ยินคำตอบของหลิวเสี่ยวหลัน ก็เกิดไฟลุกในใจอย่างบอกไม่ถูกและนั่งโมโหเงียบๆ ตรงนั้น เหตุใดแม่ของตนถึงได้สั่งสอนน้องเล็กให้กลายเป็เช่นนี้ มีบุตรสาวบ้านใดที่คอยวิ่งตามผู้ชายบ้าง หากเื่หลุดออกไป นางคงได้จมน้ำตายบนกองน้ำลายของชาวบ้าน
-----
