องค์หญิงอวิ๋นเล่อลูบใบหน้าของเฉียวเยว่ เอ่ยเสียงเบา "น้องสาวช่างงดงามจริงๆ"
เฉียวเยว่รู้สึกขนอ่อนลุกซู่ไปทั่วสรรพางค์กาย ความรู้สึกอึดอัดยิ่งเข้มขึ้น
แต่นางยังคงทำท่าร่าเริงสดใส "ข้ามีเสน่ห์เป็ธรรมชาติ หน้าตาก็ดี"
"เพราะหน้าตาดีหรือ ไม่ใช่เพราะร่าเริงสดใสเป็พิเศษหรอกหรือ ข้ามักได้ยินพระเชษฐาตรัสถึงเ้าเป็ประจำ มักเล่าว่าเ้าสดใสน่ารักอย่างไร เฉลียวฉลาดเ้าปัญญาอย่างไร เป็เด็กน้อยที่ใครเห็นใครก็รัก" อวิ๋นเล่อถามเสียงเบา
"นั่นเป็เพราะข้าหน้าตาสะสวย หน้าตาดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง" เฉียวเยว่กล่าวอย่างมั่นใจ
อวิ๋นเล่อเอียงคอ หันไปถามหรงจ้านด้วยความสงสัย "ท่านพี่อวี้อ๋อง ท่านว่านางพูดถูกหรือไม่?"
เพราะเด็กคนนี้ เป็นางที่มา่ชิงความโปรดปรานของพี่ชายไป นั่นคือพี่ชายของนางชัดๆ ั์ตาขององค์หญิงอวิ๋นเล่อมีประกายวาบผ่าน
"เ้า..."
ส่วนที่เหลือนางไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
"องค์หญิงเพคะ ทรงผมของท่านไม่ค่อยเข้ากับรูปหน้า สีของริมฝีปากก็อ่อนจางเกินไป ให้ข้าช่วยแต่งให้ท่านดีหรือไม่ แต่งให้งดงามเจิดจรัส ทุกคนเห็นแล้วต้องไม่อาจละสายตา" เฉียวเยว่รีบเบี่ยงเบนความสนใจ "ท่านต้องเชื่อข้า ความงดงามคือคุณธรรม"
แม้เฉียวเยว่จะชอบชมตัวเองว่างดงามอย่างไร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นางคิดจริงๆ และตอนนี้ก็คิดใช้ลูกไม้เล็กน้อยมาช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายลง เพียงชั่วพริบตานางก็ดูออกแล้วว่าองค์หญิงอวิ๋นเล่อต้องไม่ชอบตนเองแน่ๆ
หากฉีอันของนางดีกับแม่นางน้อยคนไหนเป็พิเศษ ซ้ำยังปฏิบัติต่อสตรีผู้นั้นดุจน้องสาวแท้ๆ นางเองก็คงไม่รู้สึกดีกับคนผู้นั้นเช่นกัน แต่ไม่รู้ฮองเฮาทรงคิดอย่างไรถึงให้นางมาเล่นกับองค์หญิง ฮือๆๆ น่ากลัวเหลือเกิน
องค์หญิงอวิ๋นเล่องุนงงเล็กน้อย "ไม่... เหมาะหรือ?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ข้าช่วยท่านเอง"
แม่นางน้อยไม่ว่าจะมีความคิดล้ำลึกเพียงไหนหรือเป็คนแปลกประหลาดอย่างไรล้วนหวั่นไหวต่อการเสริมความงามกันทั้งนั้น
นางช่วยแต่งหน้าให้องค์หญิงอวิ๋นเล่อใหม่ และช่วยเปลี่ยนทรงผมให้นาง หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่คันฉ่องอย่างภาคภูมิใจ "รู้สึกหรือไม่ว่างดงามกว่าเมื่อครู่?"
ดูเฉิดฉันขึ้นหลายส่วนจริงๆ องค์หญิงอวิ๋นเล่อร่างกายเปราะบางอ่อนแอ ยิ่งแต่งหน้าบางเบาก็ยิ่งจืดชืด ไม่โดดเด่นสะดุดตาผู้คน แต่เมื่อแต่งเช่นนี้ก็แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
เฉียวเยว่กล่าวอย่างจริงจัง "ท่านไม่เหมาะกับรูปแบบสาวน้อยในป่าใหญ่ การแต่งให้ดูเย้ายวนราวกับปิศาจสาวเหมาะสมกับท่านมากกว่า"
นางพูดไปเรื่อยๆ "ท่านไปเปลี่ยนอาภรณ์เถอะ พี่จ้านเ้าคะ ท่านออกไปก่อนดีหรือไม่ พวกเราจะเปลี่ยนอาภรณ์"
หรงจ้าน "..."
พูดตามตรง แม้ว่าเขาจะฉลาดปราดเปรื่องเป็หมื่นส่วนก็ไม่อาจเข้าใจความคลั่งไคล้หลงใหลเื่การแต่งหน้าและเสื้อผ้าอาภรณ์ของสตรีได้เลยจริงๆ
"เ้ามัวแต่มาเสียเวลาอยู่กับข้าที่นี่ ไม่ออกไปแสดงความสามารถ พระเชษฐาของข้าอาจไม่เลือกเ้านะ" องค์หญิงอวิ๋นเล่อเตือนเสียงเบา
"เสด็จพี่รัชทายาทไม่เลือกข้าอยู่แล้ว ตอนข้ายังเด็กตัวจ้ำม่ำมีแต่เนื้อ เป็กระต่ายอ้วนตุ๊ต๊ะ โอย ท่านไม่รู้ว่าข้าอ้วนแค่ไหน ใครเห็นข้าตอนอ้วนแล้วยังบอกว่าชอบ อยากแต่งข้าเป็ภรรยา ข้าก็ไม่เชื่อหรอก หัวใจต้องยิ่งใหญ่แค่ไหนกัน! เห็นข้าแล้วจะไม่นึกถึงกระต่ายอ้วนตัวนั้นได้หรือ ในทางกลับกัน ข้ารู้เสด็จพี่รัชทายาทเห็นข้าเป็เพียงศิษย์น้องเล็ก ไม่คิดจะพาข้ากลับบ้านจริงๆ อีกอย่างข้าเพิ่งสิบขวบเท่านั้นเอง เขาจะเลือกข้าได้อย่างไร ตอนมาข้าก็รู้แล้วว่าไม่มีทางเป็ข้าไปได้"
"เ้า... ไม่เสียใจเลยหรือ?" องค์หญิงอวิ๋นเล่อมองนางด้วยสายตาคลุมเครืออยู่นาน ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา "ไยข้าต้องเสียใจด้วยเล่า องค์หญิงทรงคิดผิดแล้ว"
อาจเป็เพราะเฉียวเยว่คุยเก่งมาก พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน ในที่สุดองค์หญิงอวิ๋นเล่อก็ตามนางมาร่วมงานที่ตำหนักของไทเฮาจริงๆ
เฉียวเยว่พบว่าขาขององค์หญิงอวิ๋นเล่อมีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ แต่มิได้หนักหนาสาหัส เป็เพราะนางเองใส่ใจกับมันเกินไป
และอาจเป็เพราะเฉียวเยว่ปรากฏตัวพร้อมกับองค์หญิงอวิ๋นเล่อ ท่านหญิงฉางเล่อจึงแค่นเสียงหึอย่างแรง แสดงความรังเกียจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
แต่ขณะเดียวกันนั้น เฉียวเยว่ก็มองเห็นความชิงชังจากสายพระเนตรของฮองเฮาเช่นกัน
เื่ภายในราชวงศ์ช่างเป็เื่ที่พูดได้ยาก นางควรอยู่ให้ห่างหน่อยดีกว่า มิเช่นนั้นคงถูกบดขยี้จนตาย
เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองอยู่ในวังเพียงหนึ่งวัน แต่กลับเหนื่อยยิ่งกว่าอยู่ข้างนอกเป็เดือนๆ เสียอีก
ต้องระมัดระวังไปเสียทุกเื่ ยามกลับมาถึงจวนก็รู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากขยับตัวแล้ว
ไท่ไท่สามเห็นนางเป็เช่นนี้ ในใจก็พะว้าพะวัง ถามบุตรสาวด้วยความห่วงใย "เป็อะไร? องค์หญิงรังแกเ้าหรือ?" สิ่งที่นางเป็ห่วงที่สุดคือบุตรสาวของตนจะถูกผู้อื่นรังแก
"เปล่าเ้าค่ะ" เฉียวเยว่ส่ายหน้า หลังจากนึกดูแล้ว ก็พูดว่า "ข้าเพียงรู้สึกปลงในใจ วังหลวงแห่งนั้นไม่น่าเข้าไปยุ่งด้วยเลยจริงๆ ครั้งหน้าหากต้องเข้าวังเพราะเื่เช่นนี้อีก ข้าจะกินหมังกั่ว [1] ให้รู้แล้วรู้รอด"
แม้เฉียวเยว่จะชอบกินมะม่วงมาก แต่นางกินทีไร ก็มีอาการแพ้เป็ตุ่มแดงขึ้นเต็มตัว
"เด็กคนนี้ พูดเหลวไหลอีกแล้ว" ไท่ไท่สามขมวดคิ้ว
แต่แม้จะกล่าวเช่นนี้ นางก็ยังคงคุยปรับทุกข์กับบุตรสาว "ในใจแม่รู้สึกร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะห่วงเ้า ตรงข้ามกลับเป็ห่วงพี่สาวของเ้ามากกว่า แม่รู้สึกว่าไทเฮาดูเหมือนจะพอพระทัยนางมาก"
เฉียวเยว่ "แล้วฮองเฮาเล่า?"
"ปัญหาอยู่ตรงนี้นี่แหละ ไทเฮากับฮองเฮาหาได้มีผลประโยชน์ร่วมกัน เฮ่อ... ข้าจะมาพูดกับเด็กน้อยอย่างเ้าทำไมกันนี่ เ้ารับผิดชอบหน้าที่ของตนเองให้ดี การสอบเข้าสำนักศึกษาสตรี่ต้นวสันต์ถึงจะเป็เื่สำคัญ"
"ข้าก็ห่วงใยพี่สาวเหมือนกันนี่"
"เ้ารีบพักผ่อนเถอะ" ไท่ไท่สามตัดบทไม่คิดจะพูดให้นางฟังมากเกินไป หลังจากนั้นเดินไปอย่างรีบร้อน
เฉียวเยว่ : คนดีของข้า เดินเสียเร็วเชียว
บางครั้งเฉียวเยว่ก็รู้สึกว่า์มักชอบเล่นตลกกับมนุษย์ ยิ่งกังวลสิ่งใดในใจ สิ่งนั้นก็มักจะเกิดขึ้น
นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ เพียงไม่กี่วันผ่านไป ยังไม่ทันถึงเดือนหนึ่งด้วยซ้ำ ในวังก็มีประกาศพระราชโองการออกมาแล้ว เป็ไปตามคาด ไท่ไท่สามคาดเดาถูกต้อง ผู้ที่ได้รับเลือกเป็ชายารัชทายาทก็คืออิ้งเยว่จริงๆ
ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างวิพากษ์วิจารณ์กันเกรียวกราว เฉียวเยว่ได้ยินข่าวนี้ตอนอยู่ที่สนามม้า นางถึงกับไม่ฝึกต่อแล้ว เวลานี้จะมาฝึกอันใด ช่วยให้สาวของนางไม่ต้องรับสมรสพระราชทานได้หรือ
เฉียวเยว่กับฉีอันแทบจะไม่รั้งรอรีบกลับจวนทันที
บัดนี้ขันทีผู้เชิญราชโองการกลับไปแล้ว เฉียวเยว่วิ่งหน้าตื่นไปที่ห้องของอิ้งเยว่ "พี่สาว!"
ขณะนี้อิ้งเยว่กำลังอ่านตำราอยู่ มีไท่ไท่สามอยู่เป็เพื่อนข้างๆ
"พี่สาว ข้าได้ยินว่ามีราชโองการลงมาแล้ว ท่านถูกพระราชทานสมรสให้เป็ชายารัชทายาทใช่หรือไม่ เสด็จพี่รัชทายาทว่าอย่างไรบ้าง? ท่านแม่ ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้าง ท่านปู่ท่านย่าเล่า?"
นางถามรวดเดียว หลังจากนั้นก็หายใจหอบแฮ่กๆ มองดูทุกคน
มุมปากของอิ้งเยว่โค้งขึ้น ถอนหายใจก่อนกล่าวว่า "เ้าพูดในลมหายใจเดียวแบบนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?"
"เวลานี้ยังสนใจเื่เหนื่อยไม่เหนื่อยอยู่อีกหรือ! พี่สาว ข้ารู้สึกว่าเื่นี้ดูมีสายสนกลในอย่างไรไม่รู้"
ถึงนางจะรู้ว่าพี่สาวมีโอกาสมากกว่าตนเอง แต่ก็มักรู้สึกว่าบิดามารดาไม่น่าจะยินดีให้พวกนางสองพี่น้องแต่งเข้าวังหลวง ก็น่าจะมีการเตรียมการป้องกันไว้
แต่ดูจากตอนนี้ทุกสิ่งกลับตาลปัตรไปหมด
"พี่สาว..."
ไท่ไท่สามถูกนางเสียงของนางรบเร้าจวนปวดประสาท "เ้าไม่พูดบ้างได้หรือไม่"
เฉียวเยว่ทึ้งเสื้อของตนเอง "ก็ข้าร้อนใจนี่นา"
"เ้าร้อนใจจะมีประโยชน์อันใด เื่เป็เช่นนี้ไปแล้ว ไม่จำเป็ต้องคิดมากอีกต่อไปแล้ว" ไท่ไท่สามกล่าว
อันที่จริงก่อนหน้านี้นางเองก็ว้าวุ่นใจ แต่สามีพูดถูก พวกเขาไม่สามารถสมดังใจได้ทุกเื่ อีกอย่างผู้อื่นก็มีสถานะสูงกว่าพวกเขา
ส่วนอิ้งเยว่ นางเองก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหา แล้วพวกเขาจะวิตกกังวลอันใดเล่า?
เมื่อคิดเช่นนี้ ไท่ไท่สามก็โล่งใจขึ้นมาก สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องดูความคิดของบุตรสาว
อิ้งเยว่เห็นเฉียวเยว่กลุ้มใจจนจะร้องไห้ ก็วางตำราลง ดึงมือของนางมาจับ หลังจากนั้นก็มองฉีอันซึ่งยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่หน้าประตู แล้วยิ้มพูดกับเขา "ฉีอัน เ้าก็เข้ามา"
นางจับมือของพวกเขาคนละข้าง แล้วถามอย่างจริงจัง "พวกเ้ารู้สึกว่าข้าเก่งมากใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่ "นิดหน่อย"
อิ้งเยว่ยิ้ม "แล้วเ้าจะกังวลอันใด? แท้จริงแล้วข้าเองก็อยากอภิเษกกับรัชทายาท ดังนั้นตอนที่อยู่ในวังข้าจึงวางตัวอย่างดี เพียงแต่เ้ามองไม่ออกเท่านั้น"
เฉียวเยว่ "หา"
อิ้งเยว่พูดต่อ "หากข้าแสดงความโดดเด่นชัดเจนเกินไป ทุกคนมองออกก็จะไม่น่าสนใจ การปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติย่อมดีที่สุด"
เฉียวเยว่เกาศีรษะ นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าอิ้งเยว่จะอยากแต่งงานกับรัชทายาท เื่นี้เกิดขึ้นั้แ่เมื่อไร?
นางยังค่อนข้างงุนงง ดูไม่ออกสักนิดว่าพี่สาวของนางจะชอบเสด็จพี่รัชทายาท ปรกติแล้วพวกเขาแทบจะไม่ได้คุยกันเลยนะ
เฉียวเยว่ขมวดคิ้ว "พี่สาวคงมิได้โกหกเพื่อให้พวกเราสบายใจกระมัง?"
อิ้งเยว่อมยิ้ม "เ้าคิดว่าข้าเป็คนแบบไหน?"
สีหน้าของเฉียวเยว่เกิดความสับสนอีกหน
"ข้ามิได้โกหกเพื่อปลอบประโลมพวกเ้า แต่ข้าก็ไม่ได้ชอบรัชทายาทเหมือนกัน ที่ข้าอยากแต่งกับเขาหาใช่เพราะความละโมบในตำแหน่งชายารัชทายาท แต่แค่คิดว่ามันง่าย และช่วยให้หมดปัญหาไปเยอะ เทียบกับการต้องแต่งงานกับคนไม่รู้จัก จะมีความสุขหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ มิสู้เลือกคนที่ดีั้แ่บัดนี้ ข้าเองรู้จักรัชทายาทมานาน เขาเป็คนดีมาก เช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ข้าสามารถศึกษาค้นคว้าสิ่งที่ตนเองสนใจต่อไป ส่วนเขาก็ทำงานของเขาไป พวกเราจะเป็ดั่งฉินเซ่อประสานท่วงทำนอง [2]
เฉียวเยว่ถึงกับหน้าเหวอ
ความคิดของพี่สาวนางมีปัญหาหรือไม่?
ไม่มี!
แต่แปลกไปไหม?
ก็แปลกอยู่นิดหน่อย
ทว่าแปลกตรงไหน เฉียวเยว่ก็บอกไม่ถูก แต่นางกลับรู้สึกว่า ผลลัพธ์เช่นนี้ดูเหมือนจะดีมากสำหรับพี่สาว
พอเห็นสีหน้าของเฉียวเยว่ยิ่งสับสนมากขึ้น อิ้งเยว่ก็ยิ้มมุมปาก "เ้ายังเล็ก ตอนนี้อาจไม่เข้าใจ รอโตขึ้นเ้าก็จะเข้าใจเอง"
เฉียวเยว่พูดในใจ ข้าโตแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ! แต่เมื่อเป็สิ่งที่อิ้งเยว่เลือก นางก็ไม่อาจพูดอะไรได้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถไปใช้ชีวิตแทนอิ้งเยว่ได้ ไม่มีอำนาจตัดสินใจแทนนางว่าเื่ไหนดีไม่ดี
เฉียวเยว่คิดตกแล้วก็พูดว่า "คราวหน้าถ้าพบเสด็จพี่รัชทายาทข้าจะเตือนเขา หากเขาไม่ดีกับท่าน ข้าจะไม่เห็นเขาเป็พี่ชายอีกแล้ว"
"เห็นเป็พี่เขยแทนรึ?" น้อยนักที่อิ้งเยว่จะหยอกนางเช่นนี้
"เหตุใดเ้าไม่รู้จักอายบ้าง" ไท่ไท่สามบ่นอย่างระอาใจ
อิ้งเยว่ทำสีหน้างุนงง "ไยต้องอายด้วยเล่า? ข้าได้รับแต่งตั้งเป็ชายารัชทายาทแล้วนะเ้าคะ"
เฉียวเยว่ร้อง "โอ้โห" พลางเท้าสะเอว
"ต่อไปข้าก็สามารถคุยว่าข้าเป็น้องสาวของชายารัชทายาทแล้วสิ หลังจากนั้นก็จะได้เป็จิ้งจอกอาศัยบารมีพยัคฆ์อย่างออกหน้าออกตา"
"ใช่สิ เ้าพูดเช่นนี้ได้เลย" ดวงตาของอิ้งเยว่มีประกายวาบผ่าน หลังจากนั้นก็อมยิ้ม
เฉียวเยว่เกาศีรษะ "จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองเป็สุนัขอาศัยอำนาจของเ้านายไปรังแกชาวบ้านอย่างไรไม่รู้"
พรืด!
ไท่ไท่สามเขกหัวนาง "พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย"
...
[1] หมังกั่ว หมายถึงมะม่วง
[2] ฉินเซ่อประสานท่วงทำนอง หมายถึงคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้วก็รักใคร่กลมเกลียวกันมาก
