เล่มที่ 2 ตอนที่ 52 ปะาชีวิต
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นกลับมาถึงจวนแล้ว นางเดินไปนั่งอยู่ในห้องโถงรับรองของจวน ก่อนยกมือขึ้นมากุมขมับ พร้อมกับคิ้วที่ขมวดอยู่เต็มใบหน้า ด้านมู่หลิงจูที่คุกเข่านั่งลงตรงกลางห้องโถง พลางเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้นระบายความทุกข์ให้อัครเสนาบดีมู่รับรู้ว่า
“ท่านพ่อ จูเอ๋อร์ขอสาบานกับฟ้าดิน สิ่งที่ท่านแม่กระทำไปทั้งหมด จูเอ๋อร์มิทราบเื่อะไรเลยทั้งนั้น”
เมื่อได้ยินคำว่าไม่รู้เื่ราวอะไรทั้งนั้น มู่อวิ๋นจิ่นพลันขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนเดินทอดน่องหมายไปนั่งเก้าอี้ด้านข้าง
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินผ่านหน้า มู่หลิงจูกัดฟันฝืนยิ้มมุมปากให้ พร้อมกับนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เห็นซูปี้ชิงส่งสายตาครั้งสุดท้ายมองมา
แววตาคู่นั้นของท่านแม่เปี่ยมด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างเป็เพราะมู่อวิ๋นจิ่นแท้ ๆ ท่านแม่ถึงต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน
มู่หลิงจูจึงสาบานในใจอย่างหนักแน่นว่า สักวันนางจะต้องปลิดชีพมู่อวิ๋นจิ่น เพื่อล้างแค้นให้ท่านแม่ให้จงได้!
…
อัครเสนาบดีมู่ที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นเดินผ่านไปนั่ง รีบโบกมือส่ายไปมาด้วยความเอือมระอาใส่มู่หลิงจู “นับแต่นี้ เ้าจงอยู่แต่ในหอมุกดาคิดทบทวนความผิดพลาดที่ทำไป หากไม่มีคำสั่ง ห้ามออกมาเด็ดขาด!”
“ได้เ้าค่ะท่านพ่อ” มู่หลิงจูลุกขึ้นทำความเคารพอัครเสนาบดีมู่ก่อนเดินออกไป
หลังจากนั้นนางค่อย ๆ ก้าวเดินออกไปข้างนอก แต่ก่อนจะออกไปนั้นนางไม่ลืมที่จะจ้องเขม็งไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
หากลมหายใจยังมี ข้าไม่มีวันยอมแพ้
มู่หลิงจูเดินออกไปแล้ว อัครเสนาบดีมู่ได้หันกลับมามองมู่อวิ๋นจิ่น แววตาเต็มไปด้วยความละอายใจ พูดเสียงอ่อยในลำคอ “อวิ๋นจิ่น หลายปีมานี้ เ้าลำบากแล้ว!”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินที่อัครเสนาบดีมู่พูดออกมาเช่นนั้น กลับยิ้มจาง ๆ ขึ้น
บัดนี้นางทราบแล้วว่านางไม่ใช่เืเนื้อเชื้อไขของตระกูลมู่ ดังนั้นถึงแม้จะเจอความยากลำบากไปบ้าง แต่สิ่งเ่าั้ก็มิอาจทำอะไรนางได้เลย
ในเวลานี้ ลัวหนิงอวี่ได้พามู่เซี่ยโหรวเดินไปยืนข้างอัครเสนาบดีมู่ ก่อนเอ่ยด้วยใบหน้าเป็กังวล “เื่ของพี่สาวนั้น เชี่ยเซินพอได้ยินมาบ้าง…”
“อ่อ” อัครเสนาบดีมู่หันมองที่ลังหนิงอวี่ “บอกแก่หานเฉี่ยวว่าข้าอนุญาตให้นางกลับจวนได้ นับจากนี้ต่อไปเ้ากับนางช่วยกันดูแลจวนด้วยกัน”
ลัวหนิงอวี่พยักหน้ารับและแอบชำเลืองมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนทำท่าเหมือน้าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
หลังจากละล่ำละลักอยู่นานสองนาน ในที่สุดลัวหนิงอวี่เลือกจะเอ่ยออกมา “วันพรุ่งนี้พี่สาวจะถูกปะายาวอู่สือ ทว่าวันแต่งงานของคุณหนูสามกับองค์ชายหกกำลังจะจัดขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า หากมีเื่มงคลและเื่อวมงคลเกิดขึ้นไล่เลี่ยกันนี้ เกรงว่าจะไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่…”
ทันใดนั้น อัครเสนาบดีมู่ที่กำลังมองไปด้านนอกที่ใช้ผ้าไหมแดงสดประดับตกแต่ง ก็เอ่ยปากออกมาด้วยความโมโห “ใครบอกว่าจะจัดงานอวมงคล พรุ่งนี้หลังจากลงทัณฑ์แล้ว ให้นำร่างของซูปี้ชิงส่งกลับไปที่สกุลซู วันนี้ข้าจะไปที่ห้องศาลบรรพบุรุษไปลบชื่อนางออกจากตระกูล นับจากนี้จวนสกุลมู่จะไม่มีชื่อคนเช่นนี้อยู่อีกต่อไป!”
“ดีเ้าค่ะ ท่านพี่” ลัวหนิงอวี่พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่แล้ว วันที่อวิ๋นจิ่นและหลิงจูต้องเข้าพิธีวัยปักปิ่น* เ้ารับผิดชอบดำเนินการเสียบปิ่นให้กับพวกนางทั้งสองที” อัครเสนาบดีมู่เอ่ยปาก
(*เป็พิธีที่เด็กสาวอายุ 15 ปี เข้ารับการปักปิ่นมรกตแสดงถึงวัยที่สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้แล้ว)
ลัวหนิงอวี่รีบรับคำ “ได้เ้าค่ะ เชี่ยเซินทราบแล้ว”
พอสิ้นเสียงอัครเสนาบดีมู่ นางก็รีบเดินไปที่ด้านหลังของจวนทันที
ภายในห้องโถงรับรอง มู่เซี่ยโหรววิ่งไปหามู่อวิ๋นจิ่นข้างกายพร้อมกับรอยยิ้ม “โชคดีเหลือเกินที่ฟ้าดินคุ้มครองพี่สามไม่ให้เกิดเื่ขึ้น มิอย่างนั้นเซี่ยโหรวจะต้องไม่สบายใจไปจนตาย”
มู่อวิ๋นจิ่นหันไปมองมู่เซี่ยโหรวและลัวหนิงอวี่ ด้วยแววตาที่มีความแฝงความนัยบางอย่าง
“โหรวเอ๋อร์ อย่ารบกวนพี่สามแล้ว” จากนั้นลัวหนิงอวี่ก็หันไปพูดกับมู่อวิ๋นจิ่นว่า “อวิ๋นจิ่นเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเสียก่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวจะให้บ่าวนำของว่างไปให้”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับรู้
…
ยังไม่ทันที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับไปถึงเรือนมวลบุปผาก็ได้พบจื่อเซียงวิ่งเข้ามาหาจากด้านหลัง “คุณหนูในที่สุดก็กลับมาแล้ว!” จื่อเซียงยกมือขึ้นปาดน้ำตาด้วยความตื้นตัน
มู่อวิ๋นจิ่นรีบตอบในทันควัน “จื่อเซียง เ้าชนะแล้ว ครั้งนี้ซูปี้ชิงแพ้ราบคาบจนหมดท่าแล้ว ”
ด้านจื่อเซียงทั้งหัวเราะทั้งยิ้มในเวลาเดียวกัน “บ่าวได้ยินมาว่า ฮูหยินใหญ่จะถูกปะาชีวิตในวันพรุ่งนี้ บ่าวดีใจแทนคุณหนูเหลือเกินเ้าค่ะ”
“ไปช่วยข้าเตรียมน้ำอุ่นหน่อย ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว” เมื่อก้าวข้ามประตูเรือนมวลบุปผา มู่อวิ๋นจิ่นได้ยกมือขึ้นบิดี้เีไปมา ก่อนเดินไปที่ห้องนอน
หลังจากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นได้แช่น้ำอุ่นอย่างสบายอกสบายใจในห้องนั้น
จื่อเซียงนั่งอยู่ตรงฉากบังลมด้านหลัง คอยพูดคุยกับมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ตลอด “คุณหนู เหตุใดคุณหนูสี่ถึงได้ไม่โดนลงโทษไปด้วยล่ะเ้าคะ?”
“ก็ซูปี้ชิงปกป้องนางน่ะสิ” มู่อวิ๋นจิ่นตอบกลับ
“หากครั้งนี้คุณหนูสี่ถูกลงโทษไปด้วยกันก็คงดีไม่น้อยเ้าค่ะ ตอนนี้ฮูหยินใหญ่ใกล้จะต้องจบชีวิตลงแล้ว คุณหนูสี่ต้องเอาความเคียดแค้นทั้งหมดมาระบายอยู่ที่คุณหนูเป็แน่ วันข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดเื่ใดขึ้นบ้างเ้าค่ะ” จื่อเซียงเปรยขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มจาง ๆ ออกมา “ครั้งนี้สามารถล้มซูปี้ชิงได้แล้ว ่นี้มู่หลิงจูไม่มีทางลุกขึ้นมาแก้แค้นข้าได้ในเร็ววันหรอก”
“อย่างนั้นก็ดีเ้าค่ะ” จื่อเซียงตอบด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “หลังจากนี้บ่าวก็สามารถรอจนคุณหนูแต่งงานออกเรือนได้แล้วเ้าค่ะ”
…
ในเช้าวันถัดมา มู่อวิ๋นจิ่นนั่งเก้าอี้รับลมอยู่หน้าเรือนมวลบุปผา พลางหาวออกมาอยู่บ่อยครั้ง ด้วยยังคงเหน็ดเหนื่อยจากเื่เมื่อวานนี้
“คุณหนูอีกหนึ่งชั่วยามจะถึงเวลาปะาชีวิตฮูหยินใหญ่แล้ว คุณหนูจะไปดูหรือไม่เ้าคะ?” ซื่อเจียงถามในขณะที่มือกำลังใช้พัดพัดวีลมให้มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งอย่างสบายใจกลับเลิกคิ้วขึ้น “เ้าบ่าวรับใช้ข้าคนนี้ ช่างใจกล้ายิ่งนัก การลงโทษปะาชีวิตเป็การแยกร่างของคนให้ขาดเป็สองท่อน เ้าไม่กลัวฝันร้ายยามค่ำคืนหรอกหรือ?”
เมื่อได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยเช่นนั้น จื่อเซียงก็จินตนาการภาพไปต่าง ๆ นานา พร้อมกับส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัวขนลุกขนซู่ “ถ้าเช่นนั้นไม่ไปแล้วดีกว่าเ้าค่ะ”
ในระหว่างที่นายบ่าวทั้งสองพูดคุยอย่างเพลิดเพลิน ลัวหนิงอวี่ก็พาบ่าวรับใช้อีกสองสามคนเดินผ่านมา
“อวิ๋นจิ่น อีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานแล้ว นี่เป็ของที่ท่านพ่อเตรียมไว้ให้ตอนเ้าต้องออกเรือน ลองดูสิว่ามีตรงไหนที่้าเพิ่มอีกหรือไม่?”
พอลัวหนิงอวี่เดินผ่านประตูเรือนเข้ามาก็มองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยแววตาอมยิ้ม จากนั้นส่งสมุดที่มีรายชื่อสิ่งของให้นาง
มู่อวิ๋นจิ่นรับสมุดมาแล้วจึงเปิดดูคร่าว ๆ พบว่าอัครเสนาบดีมู่มอบของติดตัวแต่งงานอย่างมากมายไม่ขาดกบกพร่อง อาทิ ไข่มุก อัญมณี แก้วแหวนเงินทอง
“ขอบคุณซานเหนียงที่ลำบากนำมาให้” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปาก
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างพออกพอใจ ลัวหนิงอวี่ก็ยิ้มตอบก่อนจะชี้ไปที่บ่าวรับใช้ด้านหลังที่ติดตามมาด้วย “ซานเหนียงว่าที่นี่ เ้ามีจื่อเซียงเป็บ่าวรับใช้เพียงคนเดียว เกรงว่าจะรับใช้ไม่ทั่วถึง ดังนั้นจึงนำบ่าวอีกสองสามคนมาเพิ่มเพื่อให้คอยปรนนิบัติรับใช้เ้าได้อย่างทั่วถึง”
“เื่นี้ไม่ต้องหรอก เรือนมวลบุปผาค่อนข้างเล็ก มีจื่อเซียงรับใช้คนเดียวเพียงพอแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
ลัวหนิงอวี่หน้าชาไม่รู้จะตอบกลับเช่นไร ได้แต่เบือนปากขึ้นแล้วตอบกลับเพียงว่า “อย่างนั้นก็แล้วแต่เ้าแล้วกัน”
“อย่างนั้นอาภรณ์ชุดใหม่เหล่านี้ ข้าสามารถเก็บได้แล้วกระมัง” ลัวหนิงอวี่ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะรับอาภรณ์จากมือบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังมาถือสองสามชุด
มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้ามองลัวหนิงอวี่ยที่มือถืออาภรณ์อยู่ ค่อยรู้สึกว่านางมีความจริงใจอยู่บ้าง จึงพูดออกไปเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจว่า “ขอบคุณซานเหนียงมาก”
จื่อเซียงเห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นรับอาภารณ์ใหม่เ่าั้ พลันเดินเข้าไปรับจากมือของลัวหนิงอวี่มา
เมื่อมองอาภรณ์ชุดใหม่เหล่านี้ จื่อเซียงแอบคิดในใจอยู่ผู้เดียวว่า ‘ดีจริงที่ฮูหยินใหญ่ล้มไปแล้ว คุณหนูจะได้ลืมตาอ้าปากอยู่อย่างสุขสบายเสียที’
“อย่างนั้น หากขาดเหลือสิ่งใดก็บอกซานเหนียงได้ เมื่อก่อนซานเหนียงก็ถูกท่านแม่ของเ้ากดดันอยู่ตลอด แม้จะเห็นใจเ้า แต่มิอาจขัดคำสั่งท่านแม่เ้าได้ หลายปีมานี้ลำบากเ้ามากจริง ๆ” ลัวหนิงอวี่สาธยาย
“ซานเหนียงไม่ต้องเอาใจถึงขนาดนี้ก็ได้ อีกเพียงไม่กี่วันอวิ่นจิ่นจะแต่งไปจวนขององค์ชายหกแล้ว ด้านน้องห้ากำลังถึงวัยโตเป็สาว ซานเหนียงควรเอาใจใส่น้องห้าให้มากเสียหน่อยแล้วกัน”
ลัวหนิงอวี่พยักหน้ารับทราบและเอ่ยปากขอตัวลา
หลังจากที่ลัวหนิงอวี่เดินออกไปแล้ว ท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าของมู่อวิ๋นจิ่นก็พลันหายเป็ปลิดทิ้ง ก่อนที่นางจะหันไปพูดกับจื่อเซียง “อยากไปดูซูปี้ชิงถูกปะาชีวิตหรือไม่?”
“อะไรนะเ้าค่ะ เมื่อครู่คุณหนูเพิ่งบอกว่าไม่ไปไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
…
หลังจากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็จับจื่อเซียงพาเดินออกไป
ตลาดในเวลานี้ มีชาวบ้านมารวมตัวกันดูมิน้อย จนสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คน ก่อนจะเห็นทหารกลุ่มหนึ่งเดินนำทางคุ้มกันนักโทษที่อยู่ในกรงไม้มา
“ทุกคนรีบหยิบก้อนหินขึ้นมาเขวี้ยงหญิงชั่วช้าคนนี้เถอะ จิตใจมันช่างใจดำอำมหิตผิดคน!” สตรีวัยกลางคนเป็คนเอ่ยปาก จากนั้นชาวบ้านต่างหยิบไข่ไก่เน่า และผักเน่าระดมปาใส่ซูปี้ชิง
“ปาให้มันตายไปเลย ไอ้หญิงโฉดใจชั่วคนนี้! ทำชั่วต้องได้ชั่ว มันทำให้ผู้หญิงต้องอับอายขายขี้หน้า!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว อัครเสนาบดีมู่เป็ขุนนางซื่อสัตย์ใสสะอาด นึกไม่ถึงว่าจะมีฮูหยินที่ใจชั่วช้าเช่นนี้ได้!”
มู่อวิ๋นจิ่นคอยเดินตามกลุ่มชาวบ้านอยู่รอบนอก มองเห็นก้อนหินที่ถูกขว้างออกไปโดนศีรษะซูปี้ชิงจนเือาบอยู่หลายแผล พริบตาเดียวในใจของนางพลันเกิดคำถามขึ้น
นี่หรือที่คนสมัยโบราณบอกว่า “ทำชั่วได้ชั่ว?”
ในระหว่างนั้นเอง หางตาของมู่อวิ๋นจิ่นแวบเห็นสตรีคนหนึ่งใส่ชุดสีชมพูพร้อมกับหมวกผ้าตาข่ายปิดพลางใบหน้า สายตานั้นกำลังจับจ้องไปที่รถคุมนักโทษ โดยมีน้ำตาเอ่อท่วมล้นจนไหลออกมา
ไม่นานนัก รถคุมนักโทษก็เดินทางมาถึงลานปะา ก่อนที่จะซูปี้ชิงจะถูกนำตัวขึ้นไปบนลาน
เดิมทีบนลานไม้ที่ยกสูงมีเฉินพู่เป็ประธานนั่งตัดสินการกระทำความผิดของนักโทษ แต่เนื่องจากฐานะนักโทษมีความพิเศษ เฉินพู่จำต้องรับหน้าที่เป็คนตัดสินด้วยตนเอง เมื่อซูปี้ชิงเห็นเขาเดินขึ้นมา แววตาของนางก็ปรากฏความโดดเดี่ยว สิ้นหวังในชีวิต
แววตาของนางนิ่งสงบก่อนจะถูกปลิดชีพลง ทว่าหางตาของนางกลับเหลือบเห็นร่างร่างหนึ่ง ซูปี้ชิงจึงเกิดสั่นเทิ้มขึ้นมา หันมองไปนางนั้น ก่อนจะรวบรวมแรงที่มีเฮือกสุดท้าย ะโจนเสียงแหบแห้งพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูลงมา
“จูเอ๋อร์ เหนียงไปก่อนแล้ว เ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี มีชีวิตต่อไปให้ได้ เหนียงขอโทษเ้าด้วย!”
มู่หลิงจู
เมื่อเห็นปราถนาดีของแม่ลูกคู่นี้ที่มาจากใจจริง ทันใดนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็พลันเกิดความรู้สึกสงสารและเวทนาจับใจ แต่ซูปี้ชิงเองก็ร้ายกับนางมาโดยตลอด
“ถึงเวลาแล้ว!”
“ลงมือปะาได้!”
เฉินพู่เปล่งเสียงดังลั่น
จากนั้นมองดูซูปี้ชิงถูกกดลงนอนลงบนแผ่นไม้ ไม่นานมีดเหล็กที่คมกริบและหนักอึ้งก็ถูกเหวี่ยงสะบั้นคอของนางหลุดจากบ่าลงพื้นในชั่วพริบตา
มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านเห็นเืสาดกระเซ็น โชยกลิ่นคาวล่องลอยตลบอบอวลไปทั่ว จนต้องยกมือขึ้นมาปิดดวงตาทั้งสองข้าง และกลั้นท้องไส้ที่ปั่นป่วนจนอยากอาเจียนเอาไว้
สภาพจิตใจของนางในเวลานี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้อย่างไรดี
“คุณหนู พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ กลิ่นคาวเืช่างคละคลุ้งเหลือเกินเ้าค่ะ” จื่อเซียงเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน
มู่อวิ๋นจิ่นรีบพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเดินกลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว
…
ภายหลังจากมู่อวิ๋นจิ่นกลับมาถึงจวนแล้ว มู่อวิ๋นหานก็เดินออกมาจากในจวนพอดี พร้อมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เ้าไปไหนกันมา?”
“ข้าไปดูการปะามา…” มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกละอายใจที่เอ่ยออกไป อย่างไรเสีย ซูปี้ชิงก็เป็ท่านแม่ของมู่อวิ๋นหาน ต่อให้ทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และสนิมสนมกันมากเพียงใด ก็มิอาจเทียบกับคนสายเืเดียวกันได้
นึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากตอบคำถามนั้นของมู่อวิ๋นหานจบลง เขาจะยกมือขึ้นมาตบหน้ามู่อวิ๋นจิ่นเข้าไปหนึ่งฉาด “มู่อวิ๋นจิ่น เ้ามันปีกกล้าขาแข็งแล้ว เมื่อก่อนขี้ขลาดตาขาวเจอหนูก็ร้องอยู่นานสองนาน ตอนนี้กลับใจกล้าไปดูการปะาชีวิตคนแล้ว!”