ครั้งนี้ แม้แต่ม่อหลิงหานก็ไม่ขัดขวางเยว่เฟิงเกออีก เขาเองก็อยากรู้ว่าเยว่เฟิงเกอคิดวิธีอะไรดีๆ ออกมาได้
เยว่เฟิงเกอ กล่าวว่า “วิธีของหม่อมฉันก็คือ เราต้องดึงชาวเฟิงหลันมาเป็พวก ให้พวกเขาเป็ส่วนหนึ่งของแคว้นเป่ยชวนเรา การดึงพวกเขามาเป็พวกเช่นนี้ไม่เหมือนการบังคับฝืนใจให้พวกเขาต้องมาเป็ส่วนหนึ่งของเราด้วยการทำาเข้ายึดครอง แต่เป็การใช้นโยบายเข้าประนีประนอม”
ม่ออวิ๋นถิงและม่อหลิงหานฟังแล้วก็ให้ยิ่งสนใจ พวกเขาต่างจดจ้องเยว่เฟิงเกอตาไม่กะพริบ
เยว่เฟิงเกอกระแอมเบาๆ กล่าวต่อไปว่า “แคว้นเป่ยชวนของเราเป็แคว้นที่ร่ำรวยที่สุดบนแผ่นดินใหญ่นี้ แต่แค่แคว้นเราร่ำรวยอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ พวกเราควรต้องทำให้แคว้นอื่นๆ ร่ำรวยมีกินมีใช้ขึ้นมาด้วย เช่นนี้ถึงจะทำให้แคว้นอื่นอยากจะสานสัมพันธ์กับเรา ซึ่งจะเป็การดีต่อการค้าขายระหว่างกันในอนาคต”
วาจาฉะฉานของเยว่เฟิงเกอ ทำให้ม่ออวิ๋นถิงยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกชอบลูกสะใภ้คนนี้ เขาคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้คนนี้จะมีความคิดที่ล้ำลึกและมองการณ์ไกลถึงเพียงนี้
สำหรับเื่ใหญ่ของแว่นเคว้น นโยบายที่นางเสนอมานับว่าถูกใจม่ออวิ๋นถิงจริงๆ
ในฐานะฮ่องเต้แห่งแว่นแคว้น เขาก็แค่อยากเห็นราษฎรในแคว้นของตนสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ไม่ใช่หรือ
หากในอนาคตเขาผลักดันให้นโยบายที่เยว่เฟิงเกอเสนอมานี้บรรลุผลสำเร็จได้ ระหว่างแคว้นเป่ยชวนกับแคว้นอื่นๆ ย่อมจะสามารถลดข้อพิพาทและาระหว่างกันได้
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ราษฎรของแต่ละแคว้นย่อมจะไม่ต้องถูกทำร้ายจากภัยาอีก
รอจนทุกแคว้นบนแผ่นดินใหญ่ของเราร่ำรวยแข็งแกร่งขึ้นมา พวกเขาย่อมจะสามารถแสดงให้คนในอีกแผ่นดินใหญ่ได้เห็น
เช่นนี้ คนในอีกแผ่นดินใหญ่จะได้ไม่ดูถูกแผ่นดินใหญ่นี้ ทั้งยังจะคิดหาวิธีมายังแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ เพื่อส่งสัญญาแห่งมิตรไมตรี
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ” ม่ออวิ๋นถิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าอนาคตช่างสว่างไสว สายตาที่เขาใช้มองเยว่เฟิงเกอยิ่งเต็มไปด้วยความชื่นชม
โชคดีที่องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ท่านนี้แต่งมาที่แคว้นเป่ยชวน มาเป็ลูกสะใภ้เขา
ม่ออวิ๋นถิงมองม่อหลิงหาน ออกปากสั่งคน “พระชายาคนนี้เป็ดังสมบัติล้ำค่า ในอนาคตเ้าจักต้องรักใคร่ปกป้องนางอย่างดี ห้ามรังแกนาง เข้าใจหรือไม่? ”
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ม่อหลิงหานเห็นว่าเสด็จพ่อพอใจในตัวเยว่เฟิงเกอถึงเพียงนี้ ใจที่แขวนสูงของเขาก็ค่อยๆ ร่อนลงกลับมาอยู่ในอกเช่นเดิม
เยว่เฟิงเกอได้ยินฮ่องเต้ม่ออวิ๋นถิงกล่าวปกป้องนางถึงเพียงนี้ นางก็ส่งยิ้มหวานให้พร้อมๆ กับในใจที่กำลังเบิกบานยิ่ง
หากมีรับสั่งของฮ่องเต้ วันหน้านางย่อมจะสามารถเดินในจวนอ๋องได้อย่างสง่าผ่าเผย
เื่ที่เดิมทีม่ออวิ๋นถิงยังรู้สึกปวดหัวอยู่ ได้รับการชี้แนะจากเยว่เฟิงเกอ ใจที่ถูกกลุ่มเมฆอึมครึมบดบังอยู่ก็ราวกับสลายหายไปในพริบตา
ตอนนี้เื่ใหญ่ของแว่นแคว้นก็เรียกได้ว่าได้รับแผนการแก้ไขในขั้นแรกแล้ว หลังจากนี้ก็เป็เื่ของพวกเขาสองพ่อลูกแล้ว
ในขณะเดียวกันเยว่เฟิงเกอคิดว่า ในเมื่อนางได้พูดความคิดเห็นของตนออกไปแล้ว ทั้งยังได้รับความเห็นชอบจากฮ่องเต้ด้วย เช่นนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็ให้ต้องฟังสิ่งใดต่อไปอีก จึงถวายบังคมลาต่อฮ่องเต้แล้วล่าถอยออกไปจากตำหนักฉงหยาง
ตอนนี้มีนางกำนัลคนหนึ่งขึ้นหน้ามา เพื่อจะนำทางเยว่เฟิงเกอไปเดินเล่น
เยว่เฟิงเกอกำลังจะเดินไปถึงยังศาลาพักร้อนแห่งหนึ่ง กลับได้ยินเสียงดังเอะอะและเสียงร้องไห้ดังมาจากที่ไม่ไกล หลังจากเดินไปตามเสียงด้วยความสงสัย ก็เห็นนางกำนัลคนหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยที่เบื้องหน้าของนางมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนอยู่
หนุ่มน้อยคนนี้ดูเหมือนจะอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดปี เขากำลังยืนเอามือไพล่หลังหันหลังให้นางกำนัลคนนั้น ท่าทางโกรธเกรี้ยวเป็อย่างมาก
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะองค์ชายสาม อย่าได้ลงโทษหม่อมฉันอีกเลยเพคะ”
หนุ่มน้อยที่ถูกเรียกว่าองค์ชายคนนั้นหันกายมาตะคอกใส่นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง “เปิ่นหวางจื่อ [1] บอกหลายรอบแล้ว พระวรกายของเสด็จแม่อ่อนแอนัก จะให้ต้องลมไม่ได้เด็ดขาด แต่เ้ากลับพานางออกมาด้านนอก ตอนนี้นางล้มป่วยเพราะต้องลมไปแล้ว คำว่าผิดไปแล้วของเ้านี้จะสามารถทำให้พระอาการของเสด็จแม่ดีขึ้นมาได้หรือ? ”
“องค์ชายสาม หม่อมฉันสมควรตาย หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ” นางกำนัลพูดพลางร้องห่มร้องไห้ โขกศีรษะให้
เมื่อเยว่เฟิงเกอเห็นว่าหน้าผากของนางกำนัลมีเืไหลซึมออกมาแล้ว ก็ทนมองต่อไปไม่ได้อีก รีบร้อนเดินเข้าไปทันที
องค์ชายสาม ม่อเสวียนเช่อได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หันมองมาทางเยว่เฟิงเกอ
หลังจากคนทั้งสองสบตากัน ต่างก็มองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย
ม่อเสวียนเช่อไม่เคยเห็นมาก่อนว่าในวังหลวงแห่งนี้จะมีสตรีที่งดงามเช่นนี้อยู่ด้วย
ทางด้านเยว่เฟิงเกอ ยามที่นางได้เห็นหน้าม่อเสวียนเช่อชัดๆ จู่ๆ ในสมองพลันปรากฏภาพใบหน้าของดาาายในยุคปัจจุบันคนหนึ่งขึ้นมา
คนทั้งสองช่างหน้าตาเหมือนกันเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะจมูกโด่ง ดวงตาดอกท้อที่งดงาม รูปร่างสูงโปร่ง และผมดำยาวดังหมึกที่ถูกรวบไว้หลังศีรษะ
เยว่เฟิงเกอยังจำได้ว่า ตอนที่นางดูละครเคยได้เห็นนักแสดงชายคนนั้นแสดงละครย้อนยุค คนแต่งกายออกมาเหมือนองค์ชายสามเป๊ะ ทำเอานางเกือบจะหลุดพูดชื่อนักแสดงชายคนนั้นออกมาแล้ว
ม่อเสวียนเช่อไม่เคยพบเยว่เฟิงเกอมาก่อน เมื่อเห็นนางก้าวยาวๆ เข้ามา และยังไร้ซึ่งกิริยามารยาทยามพบองค์ชาย เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“เ้าเป็ใคร? ” ม่อเสวียนเช่อถาม
หลังเยว่เฟิงเกอดึงสติกลับมาได้แล้ว ถึงได้ค้นพบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นักแสดงชายคนนั้น นางกระแอมเบาๆ “ข้าคือชายาจั้นอ๋อง วันนี้ติดตามจั้นอ๋องมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
เยว่เฟิงเกอคิดว่าในเมื่ออีกฝ่ายคือองค์ชายสาม ก็ไม่จำเป็ต้องปิดบังอะไร
อีกทั้งดูจากหน้าตาแล้วองค์ชายสามผู้นี้น่าจะไม่ใช่คนเลว เพียงแต่ยามปกติชอบทำอะไรเอ้อระเหยลอยชายเกินไปหน่อย กระนั้นสีหน้านี้ของเขาก็ดูเหมือนจะเป็คนซุกซนผู้หนึ่ง
เอาแค่เื่ในตอนนี้ หากเปลี่ยนเป็องค์ชายคนอื่น นางกำนัลคนนี้คงถูกลากไปโบยยี่สิบไม้แล้ว แต่เขาเพียงตำหนินาง ไม่มีทีท่าจะลงโทษแม้แต่น้อย
ทันทีที่ม่อเสวียนเช่อได้ยินว่าสตรีตรงหน้าคือชายาจั้นอ๋อง สายตาเขาก็อดเปล่งประกายไม่ได้
“เ้าก็คือองค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ที่พี่รองข้าแต่งเข้ามาเป็พระชายาคนนั้น? ” ม่อเสวียนเช่อะโมาตรงหน้าเยว่เฟิงเกออย่างรวดเร็ว “คิดไม่ถึงพี่สะใภ้รองของข้าจะงดงามเพียงนี้”
เยว่เฟิงเกอหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองครั้ง ไม่กล่าววาจาใด
“พี่สะใภ้รอง ท่านมาวังหลวงแคว้นเป่ยชวนเป็ครั้งแรกใช่หรือไม่ อยากให้ข้าช่วยนำทางให้ท่านและแนะนำวังหลวงอันยิ่งใหญ่นี้ให้ท่านได้รู้จักหรือไม่? ” ม่อเสวียนเช่อพูดแล้วเริ่มแนะนำร่ายยาว
เขาบอกเยว่เฟิงเกอว่าศาลาพักร้อนที่พวกเขาอยู่มีชื่อเรียกว่า ‘ศาลาเถาจง’ เป็สถานที่ที่เมื่อก่อนเสด็จพ่อเสด็จแม่ชอบมาชมจันทร์ด้วยกัน
เยว่เฟิงเกอแยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เหตุที่นางอยากจะมาสนทนากับเขาไม่ใช่เพื่อมาฟังม่อเสวียนเช่อแนะนำศาลาพักร้อน อีกอย่างตัวนางเองก็หาได้สนใจในศาลาพักร้อนหลังนี้
“คือว่าองค์ชายสาม...” เยว่เฟิงเกอเพิ่งพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกม่อเสวียนเช่อขัดจังหวะ
“ข้าชื่อม่อเสวียนเช่อ ท่านเรียกข้าว่าเสวียนเสวียนก็ได้ หรือจะเรียกข้าว่าเสี่ยวเช่อ หรือเสวียนเช่อก็ได้”
เยว่เฟิงเกอมุมปากกระตุก “ม่อเสวียนเช่อ เมื่อครู่ได้ยินเ้าพูดว่าฮองเฮาทรงพระประชวรเพราะต้องลมหนาว? ”
เมื่อม่อเสวียนเช่อได้ยินเยว่เฟิงเกอพูดถึงเื่นี้ขึ้นมา จากที่เขากำลังพูดมากเื่อื่นอยู่ ก็อดก้มหน้าลงถลึงตามองนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ได้
“ในเมื่อฮองเฮาทรงพระประชวรเพราะต้องลมหนาว เช่นนั้นเ้าได้เชิญหมอหลวงมาตรวจดูพระอาการแล้วหรือไม่? ” เยว่เฟิงเกออดถามไม่ได้
ม่อเสวียนเช่อทอดถอนใจอย่างปลงๆ “เชิญมาแล้ว แต่อาการของเสด็จแม่...หมอหลวงเองก็ไร้หนทาง โรคของเสด็จแม่กลัวการต้องลมหนาวเป็ที่สุด หากต้องลมหนาวเมื่อใด ร่างกายของนางจะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ ”
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินว่าอาการของฮองเฮาร้ายแรงถึงเพียงนี้ นางก็รู้สึกสนใจ
“เช่นนั้นรบกวนองค์ชายสามช่วยนำทางข้าไปพบฮองเฮาด้วย บางทีข้าอาจจะรักษาให้พระนางได้” เยว่เฟิงเกอไม่ได้โอ้อวด นางเป็ผู้มีวิชาแพทย์ชั้นสูงจากโลกยุคปัจจุบันเชียวนะ ไม่ว่าจะเป็โรคน้อยใหญ่ นางก็ล้วนเคยพบเจอและสามารถจัดยารักษาได้ตรงจุด
วิชาแพทย์ของนางนับว่าแข็งแกร่งและสูงส่งกว่าหมอในยุคโบราณนี้อยู่มากนัก
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นหวางจื่อ(本皇子)หมายถึง ตัวข้าผู้เป็องค์ชาย
