เล่มที่ 2 บทที่ 33
นางถอนสายตาออก จากนั้นยกมือขึ้นเกล้าผมยาวเป็ทรงซาลาเปาอย่างง่าย “เมื่อครู่ก่อน ข้าพูดแล้วว่า ถ้าท่านพี่สามารถนับเลขถึงหนึ่งหมื่นได้ ข้าจะทำขนมกรอบเทพีให้ท่านพี่” ครั้นพูดถึงตรงนี้ มู่หรงฉิงก็ลุกขึ้น โดยตั้งใจเดินเลี่ยงเฉินเทียนหยู แต่ไม่คาดคิดว่า การก้าวเท้าหนึ่งก้าวของเฉินเทียนหยูกลับเป็สาเหตุให้นางก้าวผิด และส่งผลให้ความเ็ปที่ข้อเท้าพวยพุ่งขึ้นทันที
นางเจ็บข้อเท้าเป็อย่างมาก ถึงขั้นทำให้คิ้วของนางขมวดเข้าหากันกลายเป็รอยย่นเล็กน้อย จากนั้นจึงเงยหน้ามองเฉินเทียนหยู ชั่วขณะหนึ่งมู่หรงฉิงได้เห็นอาการวิตกกังวลของเขา เด็กสาวคิดอยู่ในใจและกระตุกมุมปากขึ้น “ท่านพี่เป็คนฉลาดมาก และจ้าวจื่อซินคนนั้นก็เป็คนดูแลที่ช่างใส่ใจรอบคอบ ท่านพี่ขอให้จ้าวจื่อซินสอนท่านพี่จะดีกว่า ขอแค่จ้าวจื่อซินเต็มใจสอนท่านพี่ทั้งวัน ไม่ว่าท่านพี่จะนับเลขได้ถึงหนึ่งหมื่นหรือไม่ ข้าก็จะทำขนมกรอบเทพีให้ท่านพี่”
ความเ็ปบริเวณข้อเท้าตักเตือนนางให้นึกถึงสิ่งเลวร้ายที่จ้าวจื่อซินได้กระทำไว้ ยกตัวอย่างด้วยเื่ของวันนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวจื่อซินสอนเฉินเทียนหยู เขาจะเล่าทุกอย่างให้จ้าวจื่อซินฟังได้อย่างไร? นางยังไม่ทันได้อาบน้ำแต่งตัว ก็ถูกเฉินเทียนหยูพาตัวมาที่เรือนหยางเซิงแล้ว คิดว่านี่ก็น่าจะมาจากการสอนของจ้าวจื่อซินเช่นเดียวกัน
นาง้าอาบน้ำแต่จ้าวจื่อซินกลับปล่อยให้เฉินเทียนหยูเข้ามาในห้อง พิสูจน์ให้เห็นว่า้าทำให้นางลำบากใจ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะจงใจหรือไม่ก็ตาม แต่ทั้งหมดก็ล้วนแสดงให้เห็นว่าจ้าวจื่อซินคนนั้นน่ารังเกียจ
เห็นว่าจ้าวจื่อซินมีเวลาว่าง นางควรจะหาอะไรให้จ้าวจื่อซินทำย่อมเป็การดีกว่า เมื่อนึกถึงภาพที่เฉินเทียนหยูร้องขอจ้าวจื่อซินให้สอนนับเลข มู่หรงฉิงก็รู้สึกโล่งกายสบายใจมากขึ้น
“น้องหญิงพูดจริงๆ หรือ?” เฉินเทียนหยูจะรู้แผนการอันซับซ้อนของมู่หรงฉิงได้อย่างไร หลังจากได้ยินว่านางเต็มใจที่จะทำขนมกรอบเทพี เขาก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้ว
“นั่นเป็เื่ที่แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเคยโกหกท่านพี่เมื่อใดกัน” รอยยิ้มมุมปากฉายเลศนัยชั่วพริบตา และก่อนคำพูดที่เหลือจะจบลงก็ได้ยินเสียงเ็าของจ้าวจื่อซินดังแทรกเข้ามาจากด้านนอกประตู “คุณชายรอง เวลาสายมากแล้ว ได้เวลาออกเดินทางแล้ว จ้าวจื่อซินจะไปรอพวกคุณชายรองด้านนอกเรือน”
เสียงของจ้าวจื่อซินไร้ซึ่งอารมณ์เช่นเคย แต่การเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียกขานตัวเองก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า จ้าวจื่อซินไม่สบอารมณ์นักในขณะนี้ เขาได้ยินแล้วหรือ? เหอะ! ได้ยินก็ได้ยินเถอะ ใครให้เขาเล่นงานนางล่ะ? ทว่าถ้าจ้าวจื่อซินไม่สบอารมณ์และใช้เฉินเทียนหยูเล่นงานนาง มู่หรงฉิงควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี?
ในจังหวะที่กำลังคิดอยู่ว่าจ้าวจื่อซินจะเล่นงานนางอย่างไร? ร่างกายของนางกลับลอยขึ้นไปในอากาศเสียแล้ว แขนทั้งสองข้างจึงโอบรอบลำคอของเฉินเทียนหยูโดยสัญชาตญาณ นางััได้ถึงเสียงลมพัดผ่านใบหู ระหว่างที่เฉินเทียนหยูะโสองสามครั้ง ทั้งคู่ก็ออกจากจวนเฉินและลงยืนบนพื้นด้านนอกจวน
จวบจวนเข้าไปในรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอก มู่หรงฉิงถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ทำไมไม่ออกทางประตูหลัก? ทำไมต้องะโข้ามกำแพงเช่นนี้ด้วย?”
“จ้าวจื่อซินบอกว่าการทำเช่นนั้นมีความสอดคล้องกับสถานะของเปิ่นซ่าวแหย่” เฉินเทียนหยูเชิดหน้าขึ้นก่อนหันกลับไปมองทางมู่หรงฉิงด้วยท่าทางมีชัย
ด้วยทีท่านั้นของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงถึงกับต้องกำหมัดแน่นเพื่อไม่ให้ตนเองเปล่งเสียงหัวเราะ การะโข้ามกำแพงมีความสอดคล้องกับสถานะของเฉินเทียนหยู? จ้าวจื่อซินคนนี้ช่างไม่เหมือนใครเลยจริงๆ มู่หรงฉิงอดคิดไม่ได้ ความตั้งใจที่แท้จริงของจ้าวจื่อซินน่าจะหมายความว่า การออกไปด้วยวิธีดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาได้มากกว่ากระมัง
เพื่อไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะ มู่หรงฉิงทำได้เพียงเปลี่ยนเื่ “พวกเราจะไปที่ไหนหรือ?” อันที่จริงสิ่งที่นาง้าจะพูดก็คือ นางยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย ได้แต่เล่นไปเล่นมาทุกวัน ถึงอย่างไรนางก็เป็คนหิวง่ายมากนะ
“ไปดูกระต่ายที่ข้าปลูก จ้าวจื่อซินบอกว่าต้นไม้ของเขาสูงขึ้นอีกแล้ว และข้าก็ต้องไปดูว่ากระต่ายที่ข้าปลูกได้แตกหน่อหรือยัง?”
“ปลูก...ปลูกกระต่ายหรือ?” ดวงตาเป็ประกายจากนั้นเหลือบมองจ้าวจื่อซินโดยสัญชาตญาณ แต่กลับเห็นจ้าวจื่อซินยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเป็เวลาหลายพันปีเช่นเดิม สองแขนยกขึ้นกอดดาบ เขาเอนหลังพิงผนังรถม้าอย่างสบายๆ ราวกับกำลังท่องอยู่ในแดน์ โดยไม่สนใจเื่ของคนที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“อืม ต้นไม้ของจ้าวจื่อซินปลูกมาเป็เวลาสามปีแล้ว แล้วก็สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่กระต่ายของข้ากลับไม่เคยแตกหน่อเลย ทุกครั้งที่ข้าไปดู ข้าก็จะปลูกกระต่ายตัวใหม่เข้าไปด้วย”
ปลูกกระต่ายหรือ? ปลูกกระต่ายตัวใหม่ทุกครั้งที่ไป? เป็ไปได้หรือไม่ที่เฉินเทียนหยูบอกว่าจะปลูกนางในวันแต่งงาน มันจะไม่ใช่ความคิดที่ฉุกนึกขึ้นมาได้ในชั่วขณะและไม่ใช่เพราะถูกคนยุแยง แต่เป็สิ่งที่เขาทำจนเคยชินอยู่แล้วกระนั้นหรือ? เมื่อคิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงถึงกับรู้สึกหนาวสั่น “ท่านพี่เคยปลูกคนหรือไม่?”
“เคยปลูกมาแล้ว” คำตอบของเฉินเทียนหยูไร้ความคลุมเครือโดยสิ้นเชิง “ในวันนั้นข้าปลูกน้องหญิงแล้วไม่ใช่หรือ? แต่ผลลัพธ์ก็คือ ไม่สามารถปลูกน้องหญิงได้”
หลังเอ่ยจบเฉินเทียนหยูก็มีท่าทีรำคาญอย่างยิ่ง “ถ้าสามารถปลูกน้องหญิงได้ก็คงจะดี ด้วยวิธีนั้นคงจะมีน้องหญิงจำนวนมาก และจะได้มีน้องหญิงหลายคนคอยทำขนมของว่างให้ข้า...”
“ก่อนที่ท่านพี่จะปลูกข้า ท่านพี่เคยปลูกคนอื่นมาก่อนหรือไม่?” นางถามเพื่อหยั่งเชิง แม้เฉินเทียนหยูจะไร้เหตุผลใน่เวลาที่เขาโง่งม แต่อย่างน้อยเฉินเทียนหยูยามโง่เขลาจะไม่ฆ่าคนโดยไม่เลือก ถ้าเฉินเทียนหยูมีนิสัยชอบปลูกคนจริงๆ เขาก็จะกลายเป็ปีศาจคนหนึ่ง คิดแล้วพลอยให้ความรู้สึกสยดสยอง
“ไม่เคย!”
คำตอบของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงถอนหายใจ โชคดี... โชคดีที่เขาไม่ใช่อสูรอาฆาต
แต่ครั้นนึกถึงรูปลักษณ์อันน่าสยดสยองใน่เวลาคลุ้มคลั่งของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงก็ย้ายตำแหน่งที่นั่งของนางทันที ซึ่งมีระยะห่างจากเฉินเทียนหยูเล็กน้อย และเนื่องด้วยเฉินเทียนหยูกำลังคิดถึงขนมกรอบเทพี จึงไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของมู่หรงฉิง “จ้าวจื่อซินวันนี้เ้าสอนข้านับเลขเถอะ ด้วยวิธีนี้พวกเราก็จะได้กินขนมกรอบเทพี”
จ้าวจื่อซินซึ่งเดิมยังคงเดินเตร่อยู่ในแดน์ หลังได้ยินคำพูดของเฉินเทียนหยู ท่อนแขนที่กอดดาบยาวก็แข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย
“ฮูหยินน้อยค่อนข้างจะมีความรู้ในด้านการปลูกต้นไม้ จะเป็การดีหรือไม่ถ้าจะให้ฮูหยินน้อยช่วยคุณชายรองดูให้ว่าทำไมกระต่ายถึงไม่งอกขึ้นมาเสียที?”
“แคกๆ …” มู่หรงฉิงลอบยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินว่าเฉินเทียนหยูขอให้จ้าวจื่อซินสอนการนับเลข แต่ไม่คาดคิดว่า จ้าวจื่อซินจะโยนของขวัญกลับมาเช่นนั้น นางจึงยกมือขึ้นแสร้งทำเป็กระแอมไอครู่หนึ่งพลางจ้องจ้าวจื่อซินอย่างดุเดือด “ท่านพี่ ท่านพี่ปลูกกระต่ายไว้ด้านข้างต้นไม้ของจ้าวจื่อซินใช่หรือไม่?”
“เอ๋ น้องหญิงฉลาดน่าทึ่งจริงๆ น้องหญิงรู้เื่นี้ด้วย” มู่หรงฉิงพูดได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่งผลให้เฉินเทียนหยูเบิกตากว้างทันควัน และปล่อยวางเื่ขนมกรอบเทพีไว้ด้านข้าง “น้องหญิงรู้วิธีปลูกกระต่ายให้มีชีวิตหรือไม่?”
“อืม” ใบหน้าของมู่หรงฉิงปราศจากอารมณ์ใดๆ ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ “ต้นไม้ของจ้าวจื่อซินดูดซับแก่นแท้ของกระต่ายไปจนหมดแล้ว กระต่ายของท่านพี่ย่อมไม่รอดโดยธรรมชาติ ถ้าท่านพี่้าเลี้ยงกระต่ายให้มีชีวิต ท่านพี่จะต้องโค่นต้นไม้ของจ้าวจื่อซิน”
จ้าวจื่อซินคนนี้ช่างน่าเกลียดเสียจริง เฉินเทียนหยูปลูกกระต่าย เขาไม่เพียงแต่ไม่ตักเตือนเฉินเทียนหยู แต่ยังปล่อยให้เฉินเทียนหยูกระทำเช่นนั้น เขาให้เฉินเทียนหยูปลูกกระต่ายไว้ใต้ต้นไม้ของเขา เมื่อกระต่ายตายไป ผืนดินก็อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ต้นไม้ก็จะเติบโตได้ดี ด้วยวิธีที่ว่า จ้าวจื่อซินย่อมไม่จำเป็ต้องสนใจต้นไม้มากเกินไป ถึงอย่างไรต้นไม้ต้นนั้นก็สามารถเติบโตได้ดีมาก ช่างเป็คนที่น่าเกลียดจริงๆ
“จริงหรือ?” ตอนนี้คำว่า ‘จริงหรือ’ ได้กลายเป็คำถามปกติทั่วไปต่อหน้ามู่หรงฉิงเสียแล้ว เฉินเทียนหยูหันขวับไปทางจ้าวจื่อซินด้วยอาการตื่นเต้น “อีกสักพัก พวกเราตัดต้นไม้ต้นนั้นกันเถอะ”
“อืม ตัดต้นไม้ ก่อไฟ ย่างสัตว์ป่าและจ้าวจื่อซินก็สอนท่านพี่นับเลข วันนี้ช่างเป็วันที่ผ่อนคลายและสบายใจจริงๆ” มู่หรงฉิงเริ่มบทสนทนาด้วยไม่้าให้โอกาสจ้าวจื่อซินได้เปิดปากพูด
เด็กสาวได้เห็นรอยแตกร้าวอันหาได้ยากยิ่งบนใบหน้าดุจูเาน้ำแข็งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของจ้าวจื่อซิน นางก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมิอาจอธิบายเป็คำพูดได้
มู่หรงฉิงยอมรับว่าตนเป็คนน่าเบื่อ นางมักจะ้าทำให้จ้าวจื่อซินไม่สบายใจ ถึงกระนั้นการถูกจ้าวจื่อซินกดดันก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ และในคราวนี้หลังจากได้เห็นจ้าวจื่อซินหมดสภาพ นางถึงได้รู้สึกมีความสุข และนั่นเป็ความสุขที่หามาได้ยากเสียด้วย
อารมณ์ดีมาก จากนั้นหันไปมองด้านนอกรถม้า มองผ่านผ้าม่านกึ่งโปร่งแสงของรถม้า มองดูผู้คนที่เดินไปเดินมาบนท้องถนน
เวลานี้ยังเช้าแต่ก็มีคนเดินอยู่ข้างถนนจำนวนไม่น้อย ผู้คนจำนวนมากหาบของ บ้างก็แบกตะกร้า เพื่อเริ่มงานหนักของวัน
จากมุมมองนี้ พวกเขาน่าจะออกนอกเมือง!
มู่หรงฉิงมองดูสภาพแวดล้อมด้านนอกรถม้าโดยไม่พูดคุยอีกต่อไป จ้าวจื่อซินซึ่งเพิ่งฟื้นคืนสภาพหน้าให้กลายเป็น้ำแข็งอีกหน มองมู่หรงฉิงด้วยสีหน้าว่างเปล่า ดวงตาลึกของเขาไม่เห็นอารมณ์แม้แต่น้อย
มู่หรงฉิงไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด และจ้าวจื่อซินเองก็ไม่ปริปากพูด ฝ่ายเฉินเทียนหยูรู้สึกเบื่อจึงขอให้จ้าวจื่อซินช่วยสอนเขานับเลข จ้าวจื่อซินถูกตื๊อจนรำคาญ ถึงกระนั้นก็ให้เฉินเทียนหยูเริ่มนับจากเลขหนึ่ง มู่หรงฉิงสอนเฉินเทียนหยูให้นับหนึ่งถึงหนึ่งพันไปแล้ว และด้วยความทรงจำของเฉินเทียนหยู เขาย่อมไม่มีวันลืม ดังนั้น ระหว่างทางจึงได้ยินเพียงเสียงรถที่แล่นไปตามท้องถนน พร้อมด้วยเสียงนับเลขที่ไม่ดังแต่ไม่เบามากของเฉินเทียนหยู
หลังจากเดินทางเกือบสองชั่วยาม รถม้าถึงได้หยุดลง และระหว่างทางเฉินเทียนหยูยังคงนับหนึ่งถึงหนึ่งหมื่นกลับไปกลับมา จ้าวจื่อซินให้ทบทวนสิ่งที่เคยเรียนรู้ก่อนหน้าและเริ่มเรียนรู้ของใหม่
“อืม ทิวทัศน์สวยงามมาก!” มู่หรงฉิงกล่าวในใจหลังลงจากรถม้า
รถม้าจอดอยู่ในป่า ระยะทางข้างหน้าประมาณสิบหมี่เป็แม่น้ำกว้างสายหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเป็ูเาสูงตระหง่านสุดลูกหูลูกตา นางเห็นหินแปลกๆ เรียงรายอยู่บนูเาและยอดเขาในระยะไกลนั้นเป็สีเขียว แต่มีจุดสีแดงเพลิงนับไม่ถ้วนบนนั้น เป็ภาพของดอกไม้งามบานสะพรั่งซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกมีความสุขมากขึ้น
ไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกจากเรือน ได้มองเห็นทิวทัศน์ของูเา นางจึงรู้สึกคล้ายกับนกที่ออกมาจากกรง ทำให้มีความสุขใจเกินบรรยาย
เมื่อเฉินเทียนหยูก้าวออกจากรถม้า เขาก็ดึงจ้าวจื่อซินหมายจะตัดต้นไม้ และลืมมู่หรงฉิงที่ยืนอยู่ด้านหน้ารถม้าซึ่งกำลังดูทิวทัศน์ อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยกว่าจะได้ออกจากจวนหนึ่งครั้งไม่ใช่เื่ง่าย มู่หรงฉิงจึงเดินเลียบไปตามแม่น้ำอย่างไม่รีบร้อน มองดูน้ำไหลริน ฟังเสียงนกร้อง นางลืมความเ็ปที่ข้อเท้าไปชั่วครู่หนึ่ง นางเดินต่อไปอีกเรื่อยๆ และเมื่อพบว่าตนเองไม่เห็นรถม้าแล้ว นางถึงได้ตระหนักว่าตนเดินมาไกลเกินไปแล้ว
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย...”
ในจังหวะที่กำลังจะเดินกลับ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือแ่เบา นางหยุดชะงักฝีเท้าและพยายามเงี่ยหูตั้งใจฟัง ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้นอีกเลย
“เป็ไปได้หรือไม่ที่ข้าจะหูแว่วไปเอง?” เด็กสาวส่ายศีรษะไปมาก่อนก้าวเท้าหมายจะเดินกลับไป แต่เดินไปได้เพียงสองก้าว เสียงร้องขอความช่วยเหลือกลับดังขึ้นอีกหน แม้ว่าคราวนี้มันจะไม่แน่ไม่นอนเท่าใดนัก แต่ก็ชัดเจนว่าเป็การร้องขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
“มีคนจริงๆ หรือ?” นางสงสัยในใจ เสียงขอความช่วยเหลือดังมาจากทางปลายน้ำ หลังจากเดินผ่านไปราวห้าสิบก้าวก็พบกับก้อนหินใหญ่ซึ่งเคยบดบังทางเลี้ยวมาก่อน และนางไม่คิดว่าในน้ำจะมีแพไม้ไผ่อยู่ด้วย ส่วนเชือกบนแพไม้ไผ่ก็ถูกทิ้งไว้อยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้ถูกผูกติดไว้กับต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใช้เสาไม้ไผ่รองรับแพด้วย มองจากมุมนี้แพไม้ไผ่น่าจะไหลลงมาจากต้นน้ำและถูกหินขวางไว้
“ช่วยด้วย...ถ้าเ้าไม่ยอมหยุด ข้าจะต้องตายเป็แน่ เ้า...เ้าหยุดเดี๋ยวนี้...”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นอีก นางได้ยินเสียงผู้หญิงอย่างคลุมเครือ สังเกตจากน้ำเสียงดูเหมือนว่าจะเป็ผู้หญิงวัยเยาว์ พิจารณาจากคำพูดของนาง หรือว่านางจะเจอคนร้าย?
แพไม้ไผ่ไหลมาจากทางต้นน้ำแต่เสียงนั้นกลับมาจากปลายน้ำ รู้ทั้งรู้ว่าด้วยทักษะการต่อสู้ของตัวเอง นางไม่ควรจะเข้าไปเสี่ยงด้วย กอปรกับในขณะนี้นางยังมีอาการาเ็ที่ข้อเท้า หากเป็คนร้ายจริงๆ และถ้าจะต้องต่อสู้ เกรงว่านางจะต้องเป็ฝ่ายถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวเป็แน่
แต่เมื่อฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้หญิงคนนั้น มู่หรงฉิงก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปนัก หากเดินกลับไปหาจ้าวจื่อซิน ด้วยระยะทางไม่ได้ใกล้ๆ ถ้าจะต้องเสียเวลาถึงเพียงนั้น เกรงว่าหญิงผู้เคราะห์ร้ายคงจะถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่ถ้านางไปช่วยเหลือในเวลานี้ ถึงแม้ว่าทักษะการต่อสู้ของนางจะไม่ได้ดีมากนัก แต่ถ้าตั้งใจจะช่วยเหลือก็ไม่ถึงกับช่วยเหลือไม่ได้เลย