เฟิงเจวี๋ยหร่านมิได้อยู่นานนัก เพียงมาพบหน้านางแล้วก็หมุนตัวจากไป ทิ้งความงวยงงไว้ให้โม่เสวี่ยถง นางกะพริบตาปริบๆ พยายามทบทวนว่าตนเองกับท่านอ๋องเซวียนคุ้นเคยกันถึงเพียงนี้ั้แ่เมื่อไร แม้ว่าตลอดมานางจะยกเขาไว้บนหิ้งมีแต่ความเคารพไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ก็ต้องยอมรับว่านางรู้สึกขอบคุณเขาด้วยใจจริง
คาดไม่ถึงเลยว่าครานี้เขาจะช่วยนางไว้อีกแล้ว เดิมทีคิดจะทำตัวห่างเหินจากเขา แต่บุญคุณที่ช่วยชีวิตสองครั้งติดๆ กันเช่นนี้ แม้นางคิดจะห่างไปก็คงไม่อาจทำได้แล้ว
เฟิงเจวี๋ยหร่านเพิ่งออกไป ฉินอวี้เซวียนก็เข้ามา
ฉินอวี้เซวียนมาบอกนางว่าอีกสักครู่จะเดินทางออกจากวัดชิงเหลียง เกิดเื่ขึ้นมากมายที่นี่ เป็ใครก็คงไม่มีอารมณ์อยากอยู่ต่อ ได้ยินว่าพวกสกุลอวี้กลับไปนานแล้ว ดีที่สัมภาระของโม่เสวี่ยถงมีไม่มาก เมื่อโม่เยี่ยจัดเก็บเรียบร้อย ฉินอวี้เซวียนจึงให้บ่าวช่วยขนออกไป
เห็นคนอื่นๆ ต่างยุ่งอยู่กับการเก็บสิ่งของที่นอกห้อง ฉินอวี้เซวียนก็เดินมาหาโม่เสวี่ยถง สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความรู้สึกละอายใจ “น้องหญิงถง... พี่ขอโทษ”
เมื่อนึกถึงเื่อวี้ซือหรงคิดทำร้ายถงเอ๋อร์เขาก็อึดอัดกลัดกลุ้มอยู่ในอก อยากจะระบายความในใจ เื่บางอย่างใช่ว่าเขาไม่รู้ เพียงแค่ตรวจสอบอย่างละเอียดความจริงก็จะกระจ่างออกมาได้ สตรีต่ำช้าอย่างอวี้ซือหรงบังอาจลงมือกับถงเอ๋อร์ของเขา หากไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่าฉินออกคำสั่งยั้งไว้ ป่านนี้เขาคงไปเอาเื่กับสกุลอวี้นานแล้ว
รู้อยู่เต็มอกว่าถงเอ๋อร์ไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เขากลับไม่อาจออกหน้าเพื่อนาง แล้วจะให้อารมณ์ดีได้อย่างไร จึงได้แต่ก้มหน้าทอดถอนใจอย่างรู้สึกผิด
“พี่ชายเซวียนพูดอะไรแบบนั้น มีสิ่งใดต้องขอโทษถงเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านเสียหน่อย ไปเถอะ เดี๋ยวท่านยายคอยนานจะพานร้อนใจ คิดว่าพวกเราพี่น้องมัวแต่ทำอะไรโอ้เอ้เสียเวลา ไป... ไปกันเถิดเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงตีสีหน้าใสซื่อ ทำเหมือนฟังคำพูดของเขาไม่เข้าใจเยี่ยงนั้น ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มแล้วก็ดึงแขนเสื้อของเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
นางตัดสินใจกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับฉินอวี้เซวียนไว้เป็เพียงพี่ชายน้องสาว เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าเหตุใดอวี้ซือหรงจึงเกลียดชังนางถึงขั้นทำลายชื่อเสียงและทำให้เสียโฉม เมื่อมาเกิดใหม่อีกครั้งถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง ที่แท้เพราะฉินอวี้เซวียนมีใจให้นางนี่เอง
นับจากได้กลับมามีชีวิตใหม่ นางก็มักสังเกตศัตรูคู่แค้นของตนเองจนละเลยปฏิกิริยาของพี่ชายเซวียน ความรู้สึกส่วนนั้นตอนนี้อาจยังไม่ซึมลึก นางต้องตัดไฟแต่ต้นลม อย่าให้เขาถลำลึกไปมากกว่านี้
ท้ายที่สุดในชาติก่อน ฉินอวี้เซวียนกับอวี้ซือหรงก็ลงเอยกัน แต่ชาตินี้เกรงว่าพวกเขาคงสิ้นวาสนากันแล้ว เกิดเื่ฉาวโฉ่ขนาดนั้น อวี้ซือหรงคงถูกส่งไปเฝ้าสุสานบรรพชนเป็แน่แท้ ลองใคร่ครวญดูเล่นๆ ใครบ้างจะอยากยกบุตรสาวของตนให้กับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ในตระกูลยังมีคุณหนูคนอื่นๆ อีกมากมาย จะยอมให้คนผู้เดียวทำลายความหวังของทุกคนได้อย่างไร
จะให้คุณหนูคนอื่นๆ แบกรับความเสื่อมเสีย จนไม่อาจมีโอกาสแต่งเข้าตระกูลดีได้อีกกระนั้นหรือ
ตามรอยวิถีของชาติภพก่อน หลังจากพี่ชายเซวียนแต่งงานกับอวี้ซือหรงแล้วก็ซึมเศร้าเหมือนคนไร้จิติญญา ดูจากตอนนี้แม้ว่าเขาจะเสียใจ แต่ยังไม่ถึงกับหมดอาลัยตายอยาก เขายังหนุ่มแน่นทั้งหล่อเหลาและมีความสามารถ วันเวลาที่ดีย่อมมีอีกยาวไกล โม่เสวี่ยถงมองในแง่ดีเช่นนั้น
เพื่อเป็การบอกกล่าวฉินอวี้เซวียนให้เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของตนอย่างชัดเจน นางจึงยกความรู้สึกแบบพี่น้องขึ้นมากล่าวถึง
พี่น้อง? รู้สึกแค่พี่น้องเองหรือ? ฉินอวี้เซวียนรู้สึกเหมือนถูกก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ถ้อยคำนับหมื่นพันที่เตรียมไว้ถูกสกัดกั้น ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเผยความในใจออกมา ความรู้สึกหนักหน่วงทับถมจนแทบหายใจไม่ออก แต่กลับไม่อาจผลักมันออกไปได้
เขาจะพูดอันใดได้เล่า ยังบอกรักนางได้อีกหรือ นับั้แ่อวี้ซื่อทำเื่แบบนั้นกับน้องหญิงถง เขาก็หมดโอกาสแล้ว คลื่นความขมขื่นม้วนเกลียวซัดสาด เมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจ่ชิงหัวใจของนางได้อีกต่อไป ความสัมพันธ์ของเขาและนางเป็ได้เพียงญาติผู้พี่กับญาติผู้น้องเท่านั้น ยิ่งเติบโตขึ้นความสัมพันธ์ก็ยิ่งจืดจางลงไปทุกที สุดท้ายก็อาจไม่เหลือแม้แต่สายสัมพันธ์
ความคิดแบบนี้ทำให้เขาปวดใจยิ่ง ฝ่ามือกำหมัดแน่น ข่มความรู้สึกไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ริมฝีปากทอยิ้มพลางพยักหน้า “งั้นน้องหญิงถงก็ไปเถิด เดี๋ยวท่านย่าไม่เห็นเ้าจะมาตำหนิพี่”
เขาจะพูดอันใดได้ ไม่มีคำใดสามารถพูดได้เลยแม้กระทั่งความในใจของตนเอง ได้แต่เก็บงำความรักซ่อนไว้ให้ลึกที่สุด และทำได้เพียงมองใบหน้าเล็กจ้อยที่น่ารักสดใสภายใต้แสงตะวันอยู่ห่างๆ ด้วยความเ็ป อวี้ซื่อเป็คนร้ายกาจดั่งงูพิษ แต่พี่ใหญ่ก็เป็คนที่เขาเคารพรัก เขาไม่อาจต่อต้านอวี้ซื่ออย่างออกหน้า หรือแม้แต่แก้แค้นแทนน้องหญิงถง ทำให้เขารู้สึกละอายใจนัก
“เ้าค่ะ พี่ชายเซวียนช่างดีกับถงเอ๋อร์เป็ที่สุด ต่อไปหากไม่มีธุระอันใดต้องมาเที่ยวบ้านข้าบ้าง ขนาดพี่ชายเฟิงก็ยังมาอยู่บ่อยๆ เลย” โม่เสวี่ยถงเห็นสีหน้าของเขาผิดปรกติจึงเปลี่ยนเื่คุย ตอนนี้เขากำลังเสียใจ แต่นางเชื่อว่าพี่ชายผู้สดใสดั่งแสงตะวันจะดีขึ้นในไม่ช้า เขาจะต้องได้พบกับความสุขของตนเองอย่างแน่นอน ความรู้สึกส่วนนี้หากนางไม่ตอบกลับ แม้ว่าเขาจะมีใจให้นางอย่างแท้จริง ก็คงไม่ลึกซึ้งมากนัก
“พี่ใหญ่ไปจวนของพวกเ้าด้วยหรือ” เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยถงพูดถึงเื่นี้ ฉินอวี้เซวียนก็ใไม่น้อย เขานับถือและเลื่อมใสพี่ชายของตนผู้นี้เป็อย่างยิ่ง
“พี่ชายเฟิงไปหาอยู่เสมอ เมื่อก่อนตอนที่ข้าไม่อยู่ก็ได้ยินว่ามาบ่อย คราวหน้าพี่ชายเซวียนก็ไปด้วยกันสิเ้าคะ” ดวงตาใสกระจ่างเป็ประกายดูอ่อนหวานบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ฉินอวี้เซวียนมองด้วยแววตาสงบนิ่ง แล้วหันหน้าหลบ ก่อนตอบรับเสียงต่ำ “ได้”
ต่อจากนั้นรถม้าของโม่เสวี่ยถงก็ตามรถม้าจวนฉินลงเขาไปพร้อมกัน
รถม้าของโม่เสวี่ยถงแยกทางกับรถม้าของจวนฉิน เลี้ยวกลับไปทางจวนโม่ ออกมาครานี้มีกำหนดวันเวลา จึงควรกลับไปเร็วหน่อย
เมื่อเดินทางมาถึงครึ่งทาง โม่เสวี่ยถงนึกใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจมุ่งไปทางทิศใต้ของเมืองหลวง นางจำได้ชัดเจนว่าที่นั่นมีร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งเป็สินเดิมของมารดา ดูเหมือนว่าจะเป็ร้านขายอุปกรณ์ปักเย็บ น่าแปลกที่ร้านค้าแห่งนี้เมื่อชาติที่แล้วตกมาถึงมือนางได้ หนำซ้ำยังทำเงินได้มากที่สุด โชคดีที่มีร้านค้าแห่งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่สินเดิมมีน้อยยิ่ง นางจึงยังมีเงินทองใช้สอยภายในจวนเจิ้นกั๋วโหวไม่ถึงกับขาดมือ
แต่ร้านค้าที่มีกำไรดีขนาดนี้ เหตุใดฟางอี๋เหนียงจึงไม่ยักยอกเอาไป สินเดิมของมารดามีอะไรบ้างฟางอี๋เหนียงย่อมรู้ชัดแจ้งทุกอย่าง ที่เหลือทิ้งไว้ให้นางล้วนมีแต่ของไม่ดีหรือไม่ก็กิจการที่ไม่ทำเงิน มีเพียงร้านค้าอุปกรณ์ตัดเย็บแห่งนี้ที่ตกมาถึงมือนาง ทุกเดือนจะมีเงินมากกว่าร้อยตำลึงเงินเข้าบัญชี
แต่ต่อมาร้านค้าของนางไม่ว่าจะทำเงินหรือไม่ล้วนตกอยู่ในมือของซือหม่าหลิงอวิ๋น มีเพียงร้านนี้ร้านเดียวที่ยังคงอยู่ในมือของตนเองมาโดยตลอด แม้แต่ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็ไม่เคยถามถึง ชาติที่แล้วหัวใจและสายตาของนางอยู่ที่เขา จึงมิได้นำพาต่อสิ่งของนอกกายเหล่านี้ แต่เมื่อได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ใจนางกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
ไฉนฟางอี๋เหนียงจึงปล่อยร้านค้าที่ทำเงินร้านนี้ให้ตกมาถึงมือของนางได้
ผ่านชีวิตมาชาติภพหนึ่ง นางกระจ่างใจแล้วว่าฟางอี๋เหนียงกับซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็คนใจคอโเี้แค่ไหน แล้วจะเหลือทางรอดไว้ให้นางได้อย่างไร มีเพียงคำตอบเดียวคือพวกเขาไม่มีปัญญาจะยึดมาอยู่ในมือได้ ไม่แน่ว่าอาจถูกบางอย่างหรือใครบางคนข่มขวัญจนไม่กล้าลงมือ หากเป็เช่นนั้น ร้านค้าที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้แท้จริงแล้วมีสิ่งใดแตกต่างจากที่อื่นกันแน่...
ร้านซิ่วหนิงอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง ค้าขายอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยของสตรีโดยเฉพาะ หลงจู๊แซ่สิงผู้ดูแลที่นี่มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อโม่เสวี่ยถงเป็ที่สุด เขาจัดการบัญชีและนำเงินมาส่งให้ถึงจวนเจิ้นกั๋วโหวตรงเวลาทุกเดือน ไม่เคยยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตนเองแม้แต่แดงเดียว เมื่อได้เห็นใบหน้าแห้งตอบแต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของเขาอีกครั้ง ความรู้สึกเศร้าสลดก็เอ่อท้นออกมาจากภายใน
คนที่ผ่านโลกมาถึงสองครั้งเช่นนาง ย่อมมองการณ์ทะลุปรุโปร่งและเห็นความผูกพันทางใจเป็สิ่งสำคัญ
นางพาโม่หลันและโม่เยี่ยเข้ามาด้านใน หลังจากแสดงสถานะของตนเองแล้ว ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “หลงจู๊สิงต้องลำบากแล้ว กิจการที่นี่เป็อย่างไรบ้าง ดีหรือไม่”
ขณะที่เดินเข้ามา นางก็เห็นแล้วว่าลูกค้าของที่นี่มีไม่น้อย กิจการคึกคักไม่เลวทีเดียว อุปกรณ์ปักเย็บที่จำหน่ายในร้านจะเป็สินค้าระดับกลางถึงบนเป็หลัก ระดับล่างถึงกลางก็พอมีอยู่บ้างประปราย
“คุณหนูสามเกรงใจไปแล้ว การค้าพอไปได้ขอรับ ขายดีกว่าร้านประเภทเดียวกันเล็กน้อย ยามฮูหยินไปอยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิง ข้าน้อยก็ดูแลจัดการที่นี่มาโดยตลอด ตอนนี้ก็เข้าจวนไปรายงานให้นายท่านรับทราบเดือนละครั้งทุกเดือน เวลาที่เหลือก็ล้วนแต่อยู่ดูแลกิจการค้าขายนี่แหละขอรับ” หลงจู๊สิงกล่าวอย่างนอบน้อม ไม่รอให้โม่เสวี่ยถงซักไซ้ไล่เลียงก็เล่าทุกอย่างที่นาง้าทราบอย่างชัดเจน
“สามารถดูแลกิจการได้ดีขนาดนี้ ย่อมเป็ผลงานของหลงจู๊สิง เมื่อก่อนอยู่เมืองอวิ๋นเฉิง เมื่อมีเหตุอันใดท่านก็ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง บัดนี้ท่านพ่อและข้าต่างก็กลับมาเมืองหลวงแล้ว หากหลงจู๊มีสิ่งใดขัดข้องหรือลำบากใจก็ส่งคนไปแจ้งได้เลย”
แม้ว่านางจะดูเยาว์วัยอยู่มาก แต่คำพูดคำจากลับเปิดเผยใจกว้างและเหมาะสมอย่างยิ่ง วางตัวไม่อ่อนน้อมไม่เย่อหยิ่ง ทำให้คนรู้สึกดี
หลงจู๊สิงนึกชื่นชมอยู่ในใจ และยิ่งเคารพยกย่องมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณหนูสามเกรงใจไปแล้ว แม้ว่าฮูหยินจะไปอวิ๋นเฉิง แต่ยามมีปัญหาฮูหยินก็ยังคงสอบถามด้วยความใส่ใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาหากเจอเื่ยากรับมือคราใด... ก็ล้วนแต่พึ่งพาความช่วยเหลือจากฮูหยินทั้งสิ้น”
คำกล่าวนี้ยิ่งทำให้โม่เสวี่ยถงทั้งประหลาดใจและสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนมีเมฆหนาบดบังไม่อาจเข้าใจได้ ยามที่อยู่เมืองอวิ๋นเฉิงท่านแม่มิได้เป็ผู้จัดการควบคุมภายในครัวเรือน เพราะสุขภาพไม่ดี ป่วยกระเสาะกระแสะ ต้องดื่มยาตลอดมา แล้วจะมีใจมาจัดการเื่เหล่านี้ได้อย่างไร กิจการทุกอย่างในเมืองอวิ๋นเฉิงล้วนอยู่ในความดูแลของท่านพ่อ แล้วท่านแม่จะมีความสามารถในการจัดการร้านค้าในเมืองหลวงแห่งนี้ได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการแก้ไขปัญหาที่ยากรับมือ
“หลงจู๊สิง เมื่อก่อนท่านแม่เป็คนดูแลจัดการบัญชีมาโดยตลอดเลยหรือ”
“ฮูหยินมิได้มาจัดการอะไรมากมายหรอกขอรับ ทุกครึ่งปีโดยประมาณฮูหยินจะส่งคนมาจากอวิ๋นเฉิงครั้งหนึ่ง เวลาที่เหลือก็ล้วนแล้วแต่ให้ข้าน้อยเป็ผู้จัดการขอรับ”
เดินทางจากอวิ๋นเฉิงมาเมืองหลวงไกลนับพันลี้ มาเพื่อตรวจสอบบัญชีร้านค้าแห่งหนึ่ง ที่จริงแล้วก็สามารถไหว้วานให้บ้านท่านยายช่วยเหลือก็ได้มิใช่หรือ
“คนที่ท่านแม่ส่งมาย่อมต้องมีความสามารถสูงส่งและเป็ผู้รอบรู้เป็แน่ มิทราบว่าคนผู้นี้บัดนี้ยังอยู่ในจวนหรือไม่” นางแสร้งถามไปเรื่อยๆ เพียงแต่มือที่กำผ้าเช็ดหน้าอยู่ภายใต้แขนเสื้อสั่นเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น
“เป็สาวใช้รุ่นใหญ่จากจวนฝู่กั๋วกงที่ติดตามฮูหยินไปด้วยยามที่ออกเรือน บางครั้งก็มาคนเดียว บางครั้งก็มาสองคน มาทีหนึ่งก็พักอยู่ในเมืองหลวงสี่ห้าวัน ตรวจสอบบัญชีครึ่งปีอย่างละเอียดยิบเลยขอรับ” หลงจู๊สิงยิ้มตอบอย่างตรงไปตรงมา
สาวใช้รุ่นใหญ่สี่คนของท่านแม่?
โม่เสวี่ยถงตะลึงพรึงเพริด สาวใช้เ่าั้มีทั้งตายจาก ได้รับาเ็ ไม่ก็หายสาบสูญ มีแม้กระทั่งกลายเป็คนสติวิปลาส จนถึงบัดนี้ยังไม่อาจถามถึงใครได้สักคน เมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียด ตอนนั้นในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ก็มีคนสองคนที่ไม่อยู่จริงๆ เมื่อนางถามถึง ท่านแม่ก็มักตอบว่าทางบ้านของพวกนางมีปัญหาต้องไปจัดการ ยามนั้นตนเองยังเล็กอยู่จึงมิได้ใส่ใจ
ยามนี้เมื่อมาตรองดูก็พบว่ามีข้อน่าสงสัยมากมาย ท่านแม่แต่งออกมาจากจวนฝู่กั๋วกง ร้านค้าแห่งนี้ที่นับอยู่ในสินเดิมก็มิใช่กิจการที่ใหญ่ที่สุด และมิได้ทำเงินสูงสุด แต่เหตุใดท่านแม่จึงให้ความใส่ใจนัก ทั้งส่งสาวใช้ประจำตัวมาตรวจสอบบัญชี พวกนางมาตรวจบัญชีครั้งหนึ่งต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับมากมายเพียงใด
โม่เสวี่ยถงไม่คิดว่ามารดาจะทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ แท้จริงแล้วท่านแม่ปกปิดสิ่งใดอยู่กันแน่ นางคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
ระหว่างที่หลงจู๊อยู่คุยเป็เพื่อน โม่เสวี่ยถงก็สอดส่ายสายตามองพิจารณาไปรอบๆ ก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดแตกต่างจากที่อื่น นอกจากกิจการที่คล่องตัวดีก็ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเป็พิเศษ แม้แต่ป้ายต้อนรับที่ประตูก็ดูเหมือนจะใช้งานมานานแล้ว ลายมือตัวอักษรที่เขียนบนแผ่นป้าย แม้จะงดงามดั่งหงส์ฟ้อนัเหิน แต่ตัวอักษรดูพร่าเลือนไปตามกาลเวลา
หลังออกมาจากร้านซิ่วหนิง ขึ้นรถมาเรียบร้อยแล้ว โม่เสวี่ยถงก็หลับตาตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน แต่กลับรู้สึกว่าเื่นี้มีสิ่งน่าสงสัยเต็มไปหมด และดูเหมือนว่าจะหาหนทางตรวจสอบไม่ได้เลย