"โอ๊ย... โอ๊ย..."
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินเขย่งปลายเท้าพลางร้องโอดโอยมาตลอดทางจนกลับมาถึงถ้ำ
การเดินบนถนนที่เป็หลุมเป็บ่อซ้ำยังมีแต่กรวดหินมากมาย ทรมานแค่ไหนไม่ต้องเอ่ยถึง
ยามนี้เซวียเสี่ยวหรั่นนึกเลื่อมใสเหลียนเซวียนอย่างล้ำลึก ่นี้ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรเขาล้วนเดินเท้าเปล่า แต่ก็ยังทนได้
หลังอาหารเย็นนางก็ลองทำรองเท้าฟางขึ้นมาคู่หนึ่ง
นางไม่เคยทำรองเท้าฟางมาก่อน แต่เซวียเสี่ยวหรั่นคิดว่าแค่ทำแบบเดียวกับรองเท้าแตะก็ไม่น่ามีปัญหา
แค่เดินได้โดยไม่เจ็บเท้าก็พอแล้ว
เสียงกระโปรงหญ้าฟางเสียดสีกันยังไม่อาจกลบเสียงร้องโอดโอยของนาง ดวงตาที่หลุบไปด้านล่างของเหลียนเซวียนก็เหลือบขึ้นมาอีกครั้ง
เซวียเสี่ยวหรั่นหาใบเผือกป่าสองใบมาปูพื้น วางเสื้อผ้าเปียกที่ซักสะอาดแล้วลงไป แล้วค่อยๆ นั่งอย่างระมัดระวัง
แน่นอนแม้ว่าจะระวังอย่างไร ยามหญ้าไส้ตะเกียงแหวกออกเรียวขาขาวผ่องก็ยังเผยออกมาอยู่ดี เซวียเสี่ยวหรั่นแลบลิ้น เหลือบมองเหลียนเซวียนที่ฝั่งตรงข้ามปราดหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเขาจะมองนางอยู่ แต่ดวงตากลับรางเลือน
"เอ้อ... เหลียนเซวียน น้ำเดือดแล้วกระมัง" เซวียเสี่ยวหรั่นเปลี่ยนเื่คุย
เหลียนเซวียนพยักหน้า
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบยกหม้อมาวางพื้น ใช้ช้อนตักน้ำแกงตักปอดกับตับในนั้นออกมาใส่จานด้านข้าง
สุดท้ายก็ลุกขึ้นยกหม้อวิ่งออกไปนอกถ้ำเพื่อเทน้ำทิ้ง
แล้วค่อยเติมน้ำใส่เข้าไปใหม่ครึ่งหม้อ เทปอดกับตับครึ่งหนึ่งลงไป ใส่ต้นหอมกับขิงป่าเพิ่มลงไปด้วย แม้ว่าขิงป่าจะไม่นับว่าเป็ขิงสำหรับปรุงรส แต่เซวียเสี่ยวหรันคิดว่า ไหนๆ มันก็อุตส่าห์มีคำว่าขิงพ่วงติดมาทั้งที ก็น่าจะสำแดงความเป็ขิงออกมาบ้าง
ปอดตับส่วนที่เหลือ เธอตัดสินใจว่าจะรอให้กางเกงแห้งก่อนค่อยว่ากัน
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าความโล่งโจ้งใต้กระโปรงหญ้าฟาง จะเดินไปไหนก็มีลมพัดเย็นตลอดเวลาเป็ความรู้สึกที่ไม่ดีนัก
เธอหยิบแพนตี้ไซส์ใหญ่สีชมพูด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้วเริ่มเอาเข้าไปใกล้กับกองไฟ
"แฮ่ม" เธอกระแอมกระไอคำหนึ่ง คิดอยากจะหาเื่คุย เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนยามนี้
ฝ่ายเหลียนเซวียนก็ลุกขึ้นมาถือไม้เท้าเดินออกไปข้างนอก
"เหลียนเซวียน ท่านจะไปตอนนี้หรือ ข้างนอกฟ้ามืดแล้วนะ"
แม้จะรู้ว่าเขานั่งมาตลอด่บ่าย ควรจะไปยืดเส้นยืดสายบ้าง แต่เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังเตือนสติอย่างอดไม่ได้
ฟ้าจะมืดหรือไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก เหลียนเซวียนสั่นศีรษะ แล้วเดินต่อไป
ช่างเถอะ บางทีผู้อื่นอาจรีบร้อนไปปลดทุกข์ก็ได้
เซวียเสี่ยวหรั่นยักไหล่ ไม่พูดอะไรอีก
ดีเสียอีก จะได้ผิงแพนตี้น้อยอย่างเปิดเผยได้ เธอเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าที่ยังเปียกอยู่มาวางข้างเตาไฟ
"ลิงน้อย พี่สาวจะตั้งชื่อให้เ้า เอาแต่เรียกลิงน้อย ลิงน้อย มันธรรมดาเกินไป" เซวียเสี่ยวหรั่นผิงกางเกงชั้นในพลางหันมาคุยกับลิงน้อย
"อืม... ชื่ออะไรดีล่ะ เรียกว่าต้าเซิ่ง [1] เหมือนกับบรรพบุรุษของเ้าดีไหม"
"เอ... ชื่ออะไรดีนะ บนกระหม่อมของเ้ามีขนสีทองชัดเจนมาก หรือว่าชื่อหวงเหมา [2] ดี?"
"ฮิๆ เรียกหม่าหลิว [3] ดีหรือไม่ ตรงตัวดีนะ"
"ถ้าไม่ได้อีก ก็ชื่อโหวไซ่เหลย [4] ไปเลยเป็ไง ฮ่าๆ "
เหลียนเซวียนที่เพิ่งเดินไปถึงปากถ้ำชะงักเท้า 'หวงเหมา? ต้าเซิ่ง? หมาลิว? โหวไซ่เหลย?'
สาวน้อย เ้าตั้งชื่อให้ประหลาดกว่านี้ได้อีกไหม
เซวียเสี่ยวหรั่นเองยังขำท้องคัดท้องแข็ง
ลิงหน้าทำสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่านางหัวเราะอะไร
"โหวไซ่เหลยดูสอดคล้องกับนิสัยของเ้าดี เพียงแต่พูดแล้วลิ้นพันกัน เรียกยากไปหน่อย ให้ตายสิ" เซวียเสี่ยวหรั่นตัดชื่อนี้ทิ้งอย่างเสียดาย "อืม หวงเหมา ต้าเซิ่ง หม่าหลิว อันไหนคล่องปากกว่ากันนะ"
"หวงเหมาฟังดูคล้ายอันธพาลน้อย ส่วนต้าเซิ่ง เ้าตัวกะเปี๊ยกแค่นี้ จะยิ่งใหญ่อะไรกัน หม่าหลิว หมาลิว [5] หือ... เสียงคล้ายกันเลย ฮ่าๆ"
เซวียเสี่ยวหรั่นสนุกสนานครื้นเครงอยู่คนเดียว ทำเอาลิงน้อยที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความประหลาดใจ
"อืมๆ ไม่อย่างนั้นก็แปลงจากโหวไซ่โหยวให้ง่ายขึ้นหน่อย เรียกตรงๆ ว่าอาเหลยไปเลย แต่เอ... ทำไมเรียกไปเรียกมาถึงไปคล้ายกับอาลาเหลย [6] เสียแล้วล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นเติมฟืนใส่เข้าไปในเตา ไม่ช้าไฟที่ลุกโชนก็ทำให้กางเกงชั้นในของเธอแห้งสนิท
เธอมองซ้ายมองขวาทำลับๆ ล่อๆ ก่อนจะสวมกางเกงชั้นในเข้าไป แล้วรีบเอากางเกงไปผิงไฟต่อ
ถึงตอนที่เหลียนเซวียนกลับมา เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังหมกมุ่นอยู่กับชื่อของลิงน้อย
"เหลียนเซวียน ท่านกลับมาได้จังหวะพอดี ท่านว่า ระหว่างหม่าหลิวกับอาเหลยสองชื่อนี้ อันไหนเหมาะสมกับลิงน้อยมากกว่ากัน"
เซวียเสี่ยวหรั่นอดไม่ได้ที่จะถาม ในที่สุดเธอก็คิดที่จะเลือกหนึ่งในสองชื่อนี้
'ชื่อไหนก็ไม่เหมาะทั้งนั้นแหละ' เหลียนเซวียนสั่นศีรษะวางสีหน้าเรียบเฉย
"เลือกยากหรือ?" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกว่าเขาหมายความแบบนี้ "ข้าว่าเรียกอาเหลยก็ดี คล่องปาก จำง่าย"
หม่าหลิวเป็ภาษาถิ่น เวลาออกเสียงแล้วชอบลิ้นพันกัน
หากเหลยลี่มาได้ยินเข้า ต้องโมโหจนแทบกระอักเืเป็แน่ มุมปากของเหลียนเซวียนสั่นนิดๆ อย่างห้ามไม่อยู่
"ลิงน้อย ต่อไปเ้ามีชื่อว่าอาเหลยแล้วนะ รู้หรือไม่ เวลาเรียกอาเหลย เ้าก็ต้องขานรับด้วยล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปยิ้มกล่าวกับลิงน้อย
แต่ความสนใจของลิงน้อยกลับลดลงไป สายตาของมันดูเหมือนว่าจะง่วงนอนแล้ว
"โธ่เอ๊ย ที่แท้อาเหลยของเราก็ง่วงนอนนี่เอง รีบกินข้าวเย็นแล้วค่อยว่ากัน" เซวียเสี่ยวหรั่นลูบกางเกงในมือ แห้งไปแล้วครึ่งหนึ่ง เธอไม่สนใจอะไรมาก สวมเข้าไปทันที
เวลาไม่สวมกางเกงเธอรู้สึกกระดากที่จะเดินไปไหนต่อไหน
หลังจากเสียงกรอบแกรบอีกระลอกสิ้นสุดลง เซวียเสี่ยวหรั่นก็วางกระโปรงหญ้าฟางไว้ด้านข้างอย่างโล่งใจ
ก่อนเอื้อมมือไปเปิดฝาหม้อ โยนชิงฮวาเจียวใส่ลงไปเล็กน้อย แล้วคนด้วยช้อนตักน้ำแกง จากนั้นตักใส่ถ้วยของแต่ละคนให้เต็ม
"เอ้า คนละชาม กินส่วนไหนก็บำรุงส่วนนั้น รอให้เย็นก่อนล่ะ"
เติมสองชามจนเต็มเรียบร้อยแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยกหม้อลงจากเตา
"เหลียนเซวียน คืนนี้ข้างนอกหนาวมากไหม"
ตอนที่เธอออกไปซักกางเกง ลมหนาวโชยมาจากผิวน้ำ เธอเกือบจามน้ำมูกไหล หนาวตัวแทบแข็ง
เหลียนเซวียนพยักหน้า ความจริงตลอด่สองสามวันมานี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ
"ถึงพวกเราจะหาเถาเฮ่อพบ แต่เฮ่อเ่าั้ต้มมาครึ่งวันยังได้แค่นิดเดียว อยากจะสวมเสื้อผ้าหนาหน่อย่ฤดูหนาว เกรงว่าคงเป็เื่ยากเสียแล้ว "เซวียเสี่ยวหรั่นตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ "หวังว่าที่นี่คงไม่มีหิมะตกหรอกนะ"
แม่นาง ความปรารถนาของเ้าคงสูญเปล่าเสียแล้ว หลังเขาสู่ฤดูหนาวทั่วทั้งเทือกเขาเยว่หลิงซันนอกจากส่วนที่ติดกับเขตแดนทางใต้ นอกนั้นไม่มีที่ไหนไม่มีหิมะตก
เหลียนเซวียนนิ่งงัน
เซวียเสี่ยวหรั่นยกชามมาวางด้านข้าง แล้วยัดตะเกียบใส่มือเขา "ร้อนนะ ท่านระวังด้วย"
เหลียนเซวียนพยักหน้า คลำชามอุ่นๆ แล้วยกขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขาดมกลิ่นก่อน กลิ่นชิงฮวาเจียวก็เข้าครอบงำประสาทััการดมกลิ่นทันที
แม่นางผู้นี้ เหตุใดต้องใส่ชิงฮวาเจียวในน้ำแกงด้วยเล่า? เหลียนเซวียนละเหี่ยใจยิ่ง คีบเนื้อซึ่งไม่รู้ว่าเป็เนื้ออะไรเข้าปาก
หลายวันมานี้ เขาเคยชินแล้ว นางให้กินอะไรก็กินหมด ดังนั้นแม้ว่าเนื้อในปากกัดเข้าไปแล้วจะรู้สึกแปลกๆ แต่เขาก็ยังคงกลืนลงไปแต่โดยดี เนื้อที่ไม่ใส่เกลือรสชาติจืดหน่อย แต่ไม่นับว่ากินยาก
ด้วยเหตุนี้เหลียนเซวียนผู้ไม่กินเครื่องในสัตว์มาแต่ไหนแต่ไรก็กินตับกับปอดหนึ่งชามลงท้องโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้แต่น้ำแกงก็ดื่มจนหมด
อย่างไรเสียที่นี่ก็คือป่า อาหารมีจำกัดมาก เหลียนเซวียนอดๆ อยากๆ มาครึ่งปีแล้ว จึงตระหนักถึงคุณค่าของอาหาร
เซวียเสี่ยวหรั่นตั้งใจที่จะไม่เอ่ยถึงว่าที่ตุ๋นในหม้อคืออะไร ครั้งก่อนที่กินน้ำแกงไก่ เธอก็รู้แล้วว่าเหลียนเซวียนไม่ชอบกินของพวกนี้
แต่ของที่เติมลงไปในน้ำแกงเหล่านี้ ล้วนแต่มีสรรพคุณในการบำรุง ตราบใดที่ต้มจนสุกดี รสชาติก็จะไม่เลวเลย
ยกตัวอย่าง เซวียเสี่ยวหรั่นชอบกินหม่าล่าปอดหมู กระเพาะหมูผัดพริกหวาน เซี่ยงจี๊ผัดต้นหอมเป็ต้น
เธอคาดเดาว่า มันเป็เพียงความรู้สึกทางใจของเหลียนเซวียน หรือไม่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยกินมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ชอบจากความเคยชิน ใช่ว่ารังเกียจจริงๆ เธอจึงเว้น่ไปสองวันถึงทำน้ำแกงเครื่องในเลียงผาออกมา เพื่อคลายความหวาดระแวง รอให้เขาเคยชินกับการกินทุกอย่างที่หามาให้ก่อน ต่อไปไม่ว่าจะปอดหรือตับย่อมจะกินทั้งหมด ฮิๆ เธอตั้งใจใส่ฮวาเจียวลงไปเพื่อกลบกลิ่นโดยเฉพาะ
เซวียเสี่ยวหรั่นทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง ราวกับหมาป่าจอมเ้าเล่ห์
...
[1] มาจาก "ฉีเทียนต้าเซิ่ง" มีความหมายว่าผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า เป็ฉายาของ มหาวานรซุนอู๋คง หรือซุนหงอคง ตัวละครในนวนิยายเื่ไซโหยวจี้
[2] หวงเหมา แปลว่าขนทอง
[3] ในภาษากวางตุ้ง หม่าหลิวหมายถึงลิง
[4] เสียงคำว่าโหวไซ่เหลยซึ่งเป็ภาษาจีนกวางตุ้ง พ้องกับคำว่า ห่าวซีลี่ แปลว่าเก่งสุดยอด คำนี้เป็ที่นิยมใช้อย่างมากในโลกอินเทอร์เน็ต
[5] หมาลิว แปลว่า ด่วนจี๋
[6] อาลาเหลย หรือ อาราเล่ ชื่อของตัวละครในการ์ตูนเื่ดอกเตอร์สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ ซึ่งเป็หุ่นยนต์เด็กผู้หญิงที่ด็อกเตอร์เซมเบ้ซึ่งเป็นักประดิษฐ์ในเื่สร้างขึ้นมา