บทที่ 79 สุนัขสาว
ในป่าสีเื เสียงสัตว์คำรามดังก้อง ทำผู้คนหวาดกลัว เสริมด้วยกลิ่นคาวจางๆ ตลบอบอวลอยู่ในป่า
“ควั่บ--”
เพียงสะบัดฝ่ามือ เชือกก็ขาด ฉู่อวิ๋นรับหญิงสาวที่ห้อยอยู่กลางอากาศไว้ในอ้อมแขน และด้วยแสงจากพระจันทร์ เขาจึงมองเห็นรูปร่างหน้าตาของนางได้ชัดเจน
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้สวยเป็พิเศษ รูปร่างหน้าตาก็ด้อยกว่ามู่หรงซินอยู่บ้าง แต่คิ้วของนางโก่งเป็ธรรมชาติ ดวงตาสดใสราวกับชลน่าน แม้ว่าใบหน้าจะเขรอะฝุ่น แต่ก็ไม่อาจปกปิดความไร้เดียงสาของนางได้
ฉู่อวิ๋นถอนสายตาออกมา วางนางลงบนพื้นเบาๆ ปล่อยให้นางพิงตัวกับต้นไม้
“เ้า... เ้าเป็ใคร? ทำไมถึงช่วยข้า? อาฮู้ว” ผู้หญิงคนนั้นกลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนจะมองเห็นร่างไร้ิญญาสองร่างอยู่ตรงหน้า นางไม่ได้ตื่นตระหนกเกินควร แต่กลับจ้องฉู่อวิ๋นด้วยดวงตากลุ่มโตคู่หนึ่ง พร้อมถามด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
“ข้าชื่อฉู่อวิ๋น” ฉู่อวิ๋นยกมือขึ้นประสานแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าฝึกฝนอยู่ใกล้ๆ นี้ เจอแม่นางถูกเดรัจฉานสองตัวนั่นทำร้ายเข้าพอดี ข้าไม่อาจทนมองดูได้จึงชักกระบี่เข้าช่วย”
ขณะที่พูด ฉู่อวิ๋นก็ขยับดวงตากวาดไปมา มองเห็นเสื้อผ้าหนังสัตว์ของหญิงสาวถูกฉีกขาดเป็รูขนาดใหญ่ ทำให้เขาเขินอายเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงรีบถอดเสื้อคลุมเพื่อคลุมร่างของนางไว้
“ขอบ...คุณ อาฮู้ว”
ในตอนแรก หญิงสาวที่เห็นฉู่อวิ๋นถอดเสื้อคลุมก็ตื่นกลัว แต่เมื่อนางได้รับเสื้อคลุมที่ยังมีกลิ่นชายชาตรีติดอยู่ของฉู่อวิ๋น ใบหน้าก็ผ่อนคลายลงมาก
เด็กหนุ่มคนนี้ ดูแล้วไม่ใช่คนเลวร้าย
ทันใดนั้น หญิงสาวก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “ข้าชื่อพ่านพ่าน เ้าช่วยข้าไว้ เ้าเป็คนดี อาฮู้ว อาฮู้ว~”
“แม่นาง เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่? เมื่อครู่คนพวกนั้นทำร้ายเ้าหรือเปล่า?” ฉู่อวิ๋นถามด้วยความโมโห เห็นได้ชัดว่ากลุ่มหมาป่าเองก็ได้เข้ามาในป่าสีเืแล้ว
แม้จะอยู่ในพื้นที่อันตรายแบบนี้ แต่พวกเขาก็ยังคิดรังแกหญิงสาวอย่างโจ่งแจ้ง ไม่อาจยอมรับได้จริงๆ
“ไม่เป็ไร ข้าแค่โดนตบไปสองทีเอง อาฮู้ว” พ่านพ่านส่ายหัวแล้วพูดอย่างโกรธๆ “คนพวกนั้นมันเลวทั้งหมดเลย! ถึงกับวางกับดักจับข้าตอนที่ข้าออกมาล่าอาหาร ฮือฮือ”
เมื่อมองดูท่าทางหวาดกลัวของพ่านพ่าน ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกสงสารขึ้นมา ตบบ่าของพ่านพ่านเบาๆ เพื่อปลอบให้นางสงบลง
ดูท่าแล้วคงเป็เพราะพ่านพ่านเดินเตร่ไปทั่ว ทำให้กลุ่มหมาป่าเจอเข้า เลยถูกเอามาทำเล่นๆ เช่นนี้
ถ้าฉู่อวิ๋นไม่ได้ฝึกฝนอยู่ใกล้ๆ และสังเกตเห็นความผิดปกติ คืนนี้พ่านพ่านคงประสบปัญหาใหญ่
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่อวิ๋นก็กระแอมในลำคอแล้วถามอีกครั้ง “อะแฮ่ม... แม่นาง แม้ว่ารูปร่างของเ้าจะ... เอ่อ สง่างามมาก แต่ดูเหมือนว่าทักษะของเ้าก็ไม่แย่เช่นกัน”
“แต่ปราณของเ้าอ่อนแอมาก เ้าคงจะไม่ได้เป็นักรบิญญาใช่หรือไม่? แล้วเหตุใดถึงกล้าเสี่ยงเข้ามาในป่าสีเื?”
หญิงสาวที่ชื่อพ่านพ่านไร้ไขมันส่วนเกินตามแขนขา แลดูแข็งแรงมาก
แต่ฉู่อวิ๋นกวาดมองไปทั่วๆ รอบหนึ่ง เขาไม่คิดว่านางจะมีความสามารถในการเดินผ่านป่าสีเืได้ เพราะแม้แต่ปรมาจารย์ขั้นมหาสมุทรอย่างซ่งอี้ก็ยังไม่กล้าเสี่ยง ได้แต่เดินทางตามเส้นทางที่ปลอดภัย
คำพูดของพ่านพ่านไม่น่าเชื่อถือ และฉู่อวิ๋นก็กำลังสงสัย
ทว่าพ่านพ่านกลับไม่รู้ว่าฉู่อวิ๋นกำลังหยั่งเชิงนางอยู่ ดวงตาของนางฉายแววใสซื่อ พร้อมตอบอย่างตรงไปตรงมา “พ่านพ่านล่าสัตว์อยู่ที่นี่ทุกวัน ที่นี่คือที่ที่พ่านพ่านโตมา”
“ป่าสีเื...คือที่ที่เ้าเติบโตมา?” ฉู่อวิ๋นประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าป่าสีเืเป็สถานที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่พ่านพ่านคนนี้กลับพูดออกมาอย่างสบายๆ เหมือนกับว่าเป็บ้านของนางจริงๆ
“อื้ม พ่านพ่านเป็คนของเผ่าสุนัขป่า ข้ารู้ดีว่าที่ไหนปลอดภัยและจะล่าสัตว์ปีศาจอ่อนแอได้ที่ไหน! อาฮู้ว~” นางอธิบาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็คลายความสงสัยลงทันที ที่แท้พ่านพ่านก็เป็คนป่าที่เกิดและเติบโตในป่าสีเื
แคว้นเทียนเฉินนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แม้แต่ในที่ที่เจริญแล้ว เช่นราชวงศ์เซี่ยตะวันออก ในพื้นที่ดึกดำบรรพ์ที่ลึกลับและรกร้างเ่าั้ ก็ยังคงมีชนเผ่าโบราณบางกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากสมัยโบราณอาศัยอยู่
ชนเผ่าป่าเถื่อนเหล่านี้ต่างมีความลับมากมาย ทั้งยังสร้างความเชื่อทางวัฒนธรรมที่พิเศษขึ้น พวกเขาพึ่งพาตนเองและใช้ชีวิตอย่างอิสระ
พวกเขาอาจเป็นักรบที่ทรงพลัง หรืออาจจะรู้ความลับโบราณแปลกๆ เข้า หรืออาจสืบทอดสิ่งลึกลับจากรุ่นสู่รุ่น แต่ชนเผ่าโบราณส่วนใหญ่นั้นรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับราชวงศ์เซี่ยตะวันออกเสมอ ไม่รุกรานซึ่งกันและกัน
เห็นได้ชัดว่าชนเผ่าสุนัขป่าเป็ชนเผ่าที่ดุร้ายในป่าสีเื และพ่านพ่านก็เป็หนึ่งในนั้น
“มิน่าพ่านพ่านถึงได้พูดตรงไปตรงมาและมีนิสัยไร้เดียงสาเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็คนในชนเผ่าของป่าสีเื” ฉู่อวิ๋นแอบพยักหน้า แล้วถามว่า “แต่แม่นางพ่านพ่าน เ้าคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของป่าสีเืดี เหตุใดจึงโดนจับได้เล่า?”
ยามนี้ ดวงตาของพ่านพ่านหรี่ลงและพูดอย่างเสียใจ “ฮือ มันเป็ความผิดของพ่านพ่านเอง ข้าไม่ฟังท่านมหาปุโรหิตและออกมาในเวลากลางคืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าอยากจะลองเสี่ยงโชคดูว่ามีซากสัตว์ปีศาจหลงเหลืออยู่หรือไม่ ไม่คิดว่าออกมาแล้วจะโดนพวกคนชั่วนั่นจับตัวไป อาฮู้ว อาฮู้ว~”
“ซากสัตว์ปีศาจหรือ? แม่นาง ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่? พวกเ้าขาดแคลนอาหารหรือ?” ฉู่อวิ๋นถามอย่างสงสัย
“ก็ไม่ใช่ว่าจะขาดแคลน แต่เพียงแค่ในป่าสีเืจะเกิดเื่ใหญ่ขึ้น ท่านมหาปุโรหิตก็เลยขอให้เรารีบล่าสัตว์และกักตุนอาหาร นั่นเป็เหตุผลที่ข้าแอบออกมา อาฮู้ว~”
พ่านพ่านอธิบายไม่เป็ประโยค แต่ฉู่อวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
กระแสสัตว์ปีศาจกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
“อ้อใช่ แม่นางพ่านพ่าน เหตุใดเ้าถึงเก็บซากสัตว์ปีศาจเป็อาหารล่ะ? พวกเ้าออกไปล่าสัตว์ตอนกลางคืนไม่ได้หรือ?” ฉู่อวิ๋นถามอีกครั้ง
เมื่อได้ยินดังนั้น พ่านพ่านก็ยกยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน เหยียดแขนขาออก
“เผ่าสุนัขป่าของเราเองก็ไม่ได้แข็งแกร่ง ปกติแล้วเรา้าความช่วยเหลือจากสัตว์ผู้พิทักษ์ในการล่า แต่ในตอนกลางคืน ท่านปุโรหิตไม่ยอมให้เราออกไปล่าสัตว์ พ่านพ่านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแอบออกไปหาซากสัตว์ปีศาจ อาฮู้ว~” พ่านพ่านไร้เดียงสามากจนลืมเื่ราวที่กระทบจิตใจก่อนหน้านี้ไปหมด
“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว... ที่แท้...หืม?!”
ขณะที่ฉู่อวิ๋นกำลังจะพูด จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าใบหน้าของเขาเปียกชื้น เมื่อหันกลับมาก็มองเห็นดวงตาของพ่านพ่านเป็ประกายระยับ มองดูคล้ายลูกสุนัขกำลังมีความสุข
“แม่นางพ่านพ่าน... เ้า... เ้าทำอะไรน่ะ?!” ฉู่อวิ๋นรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“ฮิฮิ นี่คือวิธีที่ชนเผ่าของเราตอบแทนผู้มีพระคุณ พ่านพ่าน... พ่านพ่านเองก็เพิ่งเคยทำเช่นนี้เป็ครั้งแรก! อาฮู้ววว~” พ่านพ่านหัวเราะเบาๆ พร้อมคิดว่ามันแปลกใหม่มาก
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขายื่นมือผลักพ่านพ่านออกไปเบาๆ แล้วพูดว่า “พอ...พอแล้ว...อะแฮ่ม ที่นี่ไม่อาจอยู่นาน ไม่ช้าคนจากกลุ่มหมาป่าก็คงจะรู้สึกถึงความผิดปกติที่นี่ รีบออกไปกันเถอะ”
“อาฮู้ว อาฮู้ว พ่านพ่านไม่มีที่ไป ตอนนี้ทางกลับบ้านของพ่านพ่านต้องมีสัตว์ปีศาจเพ่นพ่านอยู่เยอะแน่ อวิ๋นอวิ๋น เ้าพาข้าไปเล่นด้วยสิ!” พ่านพ่านยังคงกอดฉู่อวิ๋นไว้ด้วยสีหน้ากังวลและตื่นกลัว ประกอบกับชุดหนังสัตว์ที่สวมใส่ทำให้นางดูเป็สัตว์เลี้ยงติดเ้าของจริงๆ
ฉู่อวิ๋นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้าเห็นด้วย พ่านพ่านไม่รู้วิธีการต่อสู้ หากปล่อยให้นางอยู่คนเดียวจะเป็อันตรายมากขึ้นกว่าเดิม
ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด
จากนั้น ฉู่อวิ๋นจึงโอบพ่านพ่านด้วยมือเดียว ะโไปข้างหน้า และกลายเป็ภาพเงาหายไปในป่าทึบ
ไม่นาน ทั้งสองกลับมาถึงที่ค่ายก็เป็เวลาเช้าตรู่แล้ว คนของกลุ่มัเหล็กกำลังหลับใหล ทั้งค่ายดูเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหลข้างๆ เท่านั้น
แต่พ่านพ่านกลับมีความตั้งใจแน่วแน่ ก่อนจะไปที่กระโจมก็วิ่งไปที่ลำธารเพื่อเล่นน้ำทำความสะอาดเนื้อตัวก่อน
นางสะบัดเสื้อผ้าทั้งหมดออกจากตัว ฉู่อวิ๋นรีบหันกลับโดยคิดว่าผู้หญิงคนนี้สมแล้วที่เป็คนป่า ทำตัวตามใจ ไม่ละอายสิ่งใด
ไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็กลับมาที่กระโจมพร้อมกับพ่านพ่าน
ทว่าทันทีที่เปิดกระโจมออกก็เห็นหญิงสาวสวยนางหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ยกมือขึ้นกอดอก และมีสีหน้าเกรี้ยวโกรธ
เป็มู่หรงซิน
“เ้าหายไปไหนมาอีกแล้ว?!” ดวงตาของมู่หรงซินฉายแววปั้นปึ่งเมื่อเห็นฉู่อวิ๋นปรากฏตัว นางถามด้วยความโมโห
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นพ่านพ่านที่อยู่ข้างๆ ฉู่อวิ๋น นางเลิกคิ้วและะโทันที “เ้า... เ้าไปทำอะไรมา?! เ้าไปพาผู้หญิงคนนี้กลับมาจากที่ไหน? นางเป็ใคร? แล้วทำไมถึงได้คลุมเสื้อคลุมเ้าไว้ด้วย!?”
“เื่มันยาว แม่นางพ่านพ่านจะมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว พรุ่งนี้เช้านางก็จะไป ซินเอ๋อร์เ้าก็ใจกว้างหน่อย” ฉู่อวิ๋นตอบอย่างจริงจัง พ่านพ่านที่อยู่ข้างๆ เองก็โบกมือทักทาย
พวกเขาทั้งคู่ไม่เข้าใจความรู้สึกของมู่หรงซินเลย
“เ้า...” เมื่อเห็นดังนั้น มู่หรงซินก็วิ่งไปคว้าหูของฉู่อวิ๋นด้วยมือเรียวหยก ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว
“นี่...มีแขกอยู่นะ อย่าหยิกข้าสิ!”
“คุณหนูเช่นข้าจะหยิก หยิกให้ตายไปเลย น่าโมโหนัก! นี่... นี่มันบ้าอะไรกัน?!” มู่หรงซินบิดหูฉู่อวิ๋นไม่ปล่อย ไฟที่ไม่รู้จักะเิขึ้นกลางใจนาง
“อาฮู้ว! สัตว์ปีศาจตัวน้อยนี่น่ารักจัง!”
ในเวลานี้ พ่านพ่านไม่สนใจมู่หรงซินเลยแม้แต่นิด แต่เมื่อนางเห็นเสี่ยวหวงที่หลับสนิทอยู่บนพื้น ดวงตากลมโตก็สว่างวาบ ก้าวเท้ายาวๆ ไปคว้ามันขึ้นมา
“จิ๊ด จิ๊ด…” เสี่ยวหวงส่งเสียงไม่พอใจพร้อมเปิดดวงตาที่ง่วงงุนออก แต่แล้วมันก็เข้าสู่นิทราอีกครั้ง