ซุนต้าเตาได้ยินเื่ราวที่ทั้งสองทุกข์ทรมานใน่ที่ผ่านมา เมื่อได้ยินหลิวจูเอ๋อร์เอ่ยถึงหลิวเหรินกุ้ย ในใจก็เกิดความเดือดดาล “ให้ตายเถอะ เ้าบ้าหลิวเหรินกุ้ยนี่ ไม่ได้เื่ เอาพวกเ้าแม่ลูกมาทิ้งไว้ที่นี่ ส่วนตัวเองกลับไปใช้ชีวิตสบายใจเฉิบในตำบล ไม่ได้ ข้าต้องไปคิดบัญชีกับเขา”
หลิวซุนซื่อรีบเอื้อมมือไปหยุดพี่ชายและพูดว่า “ท่านพี่ ครั้งนี้ท่านพี่ต้องหนุนหลังให้ข้า แล้วจัดการนางแก่ไม่ตายดีนั่นให้สาแก่ใจ”
ซุนต้าเตาตบหน้าอกทันทีและยืนยันว่า “มั่นใจเถอะ เื่นี้ปล่อยให้เป็หน้าที่ของพี่ จักต้องให้ต่อไปนางแก่นั่นไม่กล้ารังแกเ้าอีก”
ต่อจากนั้นเขาถามหลิวซุนซื่อว่าวางแผนอย่างไรต่อไป
ทันทีที่หลิวซุนซื่อนึกถึงคําพูดข่มขู่ของหลิวฉีซื่อ หัวใจของนางก็รู้สึกขมขื่น
“ท่านพี่หารู้ไม่ว่า นางแก่ไม่ตายดีนั่นบอกว่าจะให้เหรินกุ้ยมีบ้านเล็กเพื่อข่มข้า”
“อะไรนะ?” ไฟในใจของซุนต้าเตาปะทุอย่างบ้าคลั่ง “มารดาของนางสิ หากรู้แต่แรก วันนี้ออกมาข้าคงจะพกมีดเชือดหมูมาด้วย นางแก่นี่ข่มเหงกันเกินไปแล้ว ไม่ได้ คิดว่าตระกูลซุนไร้ซึ่งผู้ใดแล้วหรืออย่างไร?”
หลิวซุนซื่อเห็นว่าตนเองสามารถยั่วยุความโกรธของพี่ชายได้ จึงร้องไห้อย่างขมขื่นเป็เวลานาน จนกระทั่งซุนต้าเตาเกลี้ยกล่อมให้นางหยุดร้องไห้
นางมองไปที่ซุนต้าเตาด้วยดวงตาบวมเป่งทั้งสองข้าง “ท่านพี่ ท่านพูดได้ง่ายดายเหลือเกิน ถึงอย่างไรนางก็เป็แม่แท้ๆ ของเหรินกุ้ย หากนางบอกว่าจะให้มีบ้านเล็ก ข้าจะเอ่ยปากคัดค้านได้หรือ? นั่นก็เท่ากับเป็การยื่นบันไดให้นาง ยิ่งสามารถทำตัวเหิมเกริมน่ะสิ”
เดิมทีซุนต้าเตาเป็คนหยาบกระด้าง เอ่ยวาจาไม่เกินสามประโยคก็ลงไม้ลงมือ คราวนี้พอได้ยินว่าหลิวซุนซื่อไม่ยินยอม จึงเอ่ยถาม “เช่นนั้นเ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ จะให้สั่งสอนนางหรือไม่สั่งสอน?”
หลิวจูเอ๋อร์กลัวว่าซุนต้าเตาจะฟันคนขึ้นมาจริงๆ จึงแอบเอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อผู้เป็แม่
หลิวซุนซื่อหันศีรษะกลับมาสบตานาง บุตรสาวพูดเพียงสองคำนางก็นึกขึ้นได้ จึงเข้าใจความหมายที่หลิวจูเอ๋อร์้าสื่อ
ตนเองแต่งงานกับหลิวเหรินกุ้ย ส่วนหลิวฉีซื่อเป็มารดาของเขา หากว่าเขาถูกพี่ชายของนางฟันจนาเ็ขึ้นมาจริงๆ นางกับหลิวเหรินกุ้ยคงไม่อาจเป็สามีภรรยากันได้อีก
เมื่อพินิจได้เช่นนี้ นางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา “ฮือๆ ข้าจะทนปล่อยให้ท่านพี่ต้องเข้ากรงขังด้วยเื่นี้ได้อย่างไร ท่านพี่ ท่านอย่าโมโหไป เราค่อยๆ วางแผนกันดีกว่า นางแก่ไม่ตายดีนั่นเห็นว่าอย่างไรข้าก็เป็สะใภ้ แค่ทำอาหารใส่น้ำมันเยอะหน่อย หรือหุงข้าวแล้วข้าใส่ข้าวสารมากไปก็จะด่าข้า แล้วยังบอกว่าข้าเป็แต่กิน งานการไม่ทำ ยังสู้เลี้ยงหมูไม่ได้”
ซุนต้าเตาโกรธมาก ถ่มน้ำลายลงบนพื้นและด่าว่า “ขากถุย ก็แค่นางตัวดีต่ำช้ายิ่งกว่าสุนัขไม่ใช่หรือ? ยังกล้าคิดว่าตนเองคือใคร ให้ตายเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะคิดบัญชีกับนาง ผู้หญิงตระกูลเราออกเรือนไป แม้จะไม่ใช่สินเ้าสาวที่ยาวเป็สิบลี้ แต่ก็มีสินเ้าสาวเป็ที่นาผืนดี ไม่ได้กินของบ้านนาง ไม่ได้ใช้ของบ้านนาง เื่อะไรถึงได้ทำชั่วช้าต่อคนตระกูลซุนเช่นนี้?”
ชีวิตของหลิวซุนซื่อ่ที่ผ่านมานับว่าอดสูยิ่งนัก เมื่อได้ยินพี่ชายที่ระบายความอัดอั้นแทนนางถึงกับมีความสุข
“ท่านพี่ จะว่าไปเื่เหล่านี้ล้วนเป็เื่เล็ก แต่วันเวลาผ่านไปนานกว่านี้ ย่อมขวางหูขวางตามากขึ้น อีกอย่าง ครอบครัวใหญ่กินใช้ด้วยกัน ล้วนแต่คาดหวังกับที่แห่งนี้”
ซุนต้าเตาคราวนี้รับรู้ความหมายที่นางสื่อเสียที จึงเอ่ย “เถาฮัว เ้าจะกลัวอะไร แม้ว่าพวกเ้าจะลากเสบียงไปในตำบล แล้วอย่างไร? อ้อ ตัวลูกชายของนางไม่ต้องกินหรือ? แล้วหลานสาวหลานชายของนางไม่ต้องกินหรือ? จะให้กินลมเติบโตหรืออย่างไรกัน เฮอะ นางแก่ช่างคิดคำนวณทุกอย่างง่ายดายเหลือเกิน”
เมื่อย้อนนึก จึงถามหลิวซุนซื่ออีก “เถาฮัว หลายปีมานี้เ้าคงไม่ได้มีชีวิตเช่นนี้หรอกนะ?”
หลิวซุนซื่อส่ายหัวและตอบว่า “ในหลายปีที่ผ่านมา มันไม่ใช่แบบนี้ เพียงแต่ปีนี้ลุงใหญ่กับอาสี่มาขอข้าวสารและเงินกับท่านพ่อท่านแม่ คงเพราะท่านแม่ต้องเริ่มมัธยัสถ์ ในใจจึงเกิดความหงุดหงิดเช่นนี้”
นางมองไปที่ซุนต้าเตาอย่างเงียบๆ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็สีแดงด้วยความโกรธและดุว่า “ถ้าเ้าจะให้ข้าพูดล่ะก็ พวกเ้าสมควรแยกบ้านกันโดยเร็วที่สุด”
หลิวจูเอ๋อร์ฟังแล้วเห็นด้วย จึงแย่งตอบ “ท่านลุง พวกเราเองก็้าแยกบ้าน แต่ท่านย่าไม่อนุญาต ท่านเองก็รู้ ปู่ของเรานั้นรู้เพียงว่าต้องทำงานและกินข้าว ต่อให้เอาไม้ไปโบยเขาก็คงไม่ได้ความอะไร”
“ถ้าคิดจะแยกบ้านก็หาวิธีแยกเสีย จะได้ไม่ต้องให้พวกเ้าแม่ลูกมาปรนนิบัตินางตัวดีนั่น กระทั่งมาปรนนิบัติคนในบ้านนี้ด้วย ถุย ให้ตายเถอะ เื่อะไร นางจะคลอดหมูตัวผู้ออกมามากมายด้วยเหตุใดกัน สู้จับกดน้ำกับอ่างล้างเท้าให้รู้แล้วรู้รอด เลี้ยงเสียข้าวสุก”
ขณะที่เขาด่าเช่นนี้ก็มองไปทางห้องปีกทิศตะวันตก
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็เป็คนแรกที่ไม่พอใจ อยากถกแขนเสื้อขึ้นมาแล้วพุ่งออกไปปะทะกับซุนต้าเตาสักที ดูสิว่าใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย
หลิวชิวเซียงใจนต้องรีบโอบน้องรองไว้อย่างสุดกำลัง ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“น้องรอง เ้าพูดอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือ เราผอมแห้งแรงน้อยสู้กับคนขาใหญ่ไม่ได้หรอก? เ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าต้องใช้คุณธรรมปราบคน?”
อืม ในความเข้าใจของหลิวชิวเซียง คุณธรรมปราบคนคืออะไร? นั่นก็คือการคิดร้ายในที่ลับ
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ภายใต้อิทธิพลของแม่สาวน้อยตัวร้ายหลิวเต้าเซียง หลิวชิวเซียงที่เปรียบดั่งต้นกล้าที่งอกเงยอย่างเที่ยงตรงนั้นนับวันก็ยิ่งบิดเบี้ยว
หลิวเต้าเซียงจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างมีน้ำโห อยากพุ่งไปข่วนใบหน้าของซุนต้าเตา
นางหายใจหอบ แต่ก็ฟังคำพูดของหลิวชิวเซียงเข้าหู “ท่านพี่ ท่านพูดถูก เราต้องใช้คุณธรรมปราบคน?”
“เ้าคิดว่าอย่างไร?” ดวงตาของหลิวชิวเซียงมองน้องสาวอย่างเป็ประกาย
หลิวเต้าเซียงเอามือจับจมูก ท่านพี่ ท่านอย่าได้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นสิ ใบหน้าที่สื่อออกมาว่าอยากดูฉากสนุกสนาน นี่จะดีจริงหรือ?
แล้วที่คุยกันไว้ว่าเราต้องนอบน้อมถ่อมตนเล่า?
ท่ามกลางความคาดหวังของหลิวชิวเซียง หลิวเต้าเซียงจึงค่อยๆ เปิดริมฝีปากดุจกลีบดอกท้อ แล้วเอ่ยเสียงค่อย นางจะไปเรียกท่านย่าของนาง
จากนั้นนางก็แอบย่องไปรอบๆ และวิ่งออกไปทางประตูหลัง
บ้านชาวนาส่วนใหญ่มักจะมีประตูหลัง หลิวเต้าเซียงอ้อมไปทางด้านหลังเรือนหลัก แล้วค่อยแอบย่องออกไปทางประตูด้านข้างของคอกหมู
มีฉากเด็ดให้ดูแต่ไม่ดูคงมีแต่พวกซื่อบื้อเท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำของซุนต้าเตาเองก็รู้ว่าหลิวซุนซื่อเป็สะใภ้ของหลิวฉีซื่อ อย่าเห็นว่าเขาท่าทางดุร้ายเช่นนี้แล้วจะลงไม้ลงมือ หลิวเต้าเซียงกล้าพนันได้เลยว่า ซุนต้าเตาไม่มีทางทำร้ายหลิวฉีซื่อจริงๆ
นางมองออกว่าตอนนี้เขาเพียงแค่้าหาทางเบ่งอำนาจของตระกูลตนเองก็เท่านั้น
มุมปากเล็กๆ ของหลิวเต้าเซียงยกยิ้มเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับเย็นะเื นึกไปถึงว่า ครอบครัวของนางต้องมีชีวิตเยี่ยงทาสเช่นนั้นหรือ? สมควรแล้วที่ถูกใช้งานเยี่ยงทาสหรือ?
ฮึ เช่นนั้นก็ต้องดูก่อนว่าใครจะมีความสามารถนั้น
หลิวเต้าเซียงเดินออกจากประตูด้วยขาสั้นๆ ของตนเองเพื่อตามหาหลิวฉีซื่อ ขณะเดินก็คิดว่า ซุนต้าเตาผู้นี้ตั้งท่าจะระบายความอัดอั้นแทนหลิวซุนซื่อให้ได้
แน่นอนเขาไม่สามารถพูดได้ว่า จะให้หลิวฉีซื่อรับใช้ลูกสะใภ้คนรอง มิเช่นนั้น หากเื่นี้กระจายออกไป อย่าว่าแต่เขาที่อาจไม่มีจุดยืนในตระกูลซุน กระทั่งคนนอกหมู่บ้านก็คงหัวเราะเยาะตาย
ในเมื่อเล่นงานหลิวฉีซื่อก็ไม่ได้ ส่วนหลิวต้าฟู่เองก็ไม่เคยออกความเห็นกับเื่ในบ้าน เช่นนั้นเื่นี้จำต้องถูกโยนมาทางครอบครัวสามของพวกนางแน่นอน
ใครใช้ให้หลิวซานกุ้ยเรียงอยู่อันดับสามเล่า หลิวซุนซื่อเป็พี่สะใภ้ หากเป็เช่นนี้ เขาต้องถูกกล่าวโทษว่าภรรยาของตนนั้นไม่ขยันหมั่นเพียรเป็แน่
เมื่ออ่านทางได้เช่นนี้ ใบหน้าของนางก็เยือกเย็นทันใด
นางต้องคิดให้ถี่ถ้วน
เมื่อมีแผนในใจ นางจึงเดินเลียบไปยังปากทางหมู่บ้าน และสืบถามได้ความว่าหลิวฉีซื่อไปที่บ้านของหลี่เจิ้ง [1] หลิวเต้าเซียงจึงเร่งฝีเท้า
เมื่อนางมาถึงประตูลานบ้านของหลี่เจิ้ง ก็ยืนชะโงกศีรษะเข้าไปในบ้าน “ท่านปู่หลี่เจิ้ง!”
“มีใครอยู่บ้าง?”
“นี่ เต้าเซียง มีเื่อันใดหรือ?” ทันใดนั้นเด็กชายอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลัง กำลังสวมเสื้อผ้าฝ้ายที่สะอาดสะอ้านทั้งตัว
หลิวเต้าเซียงใสะดุ้ง เมื่อหันไปมองก็เห็นเด็กหนุ่มผู้ซื่อตรงที่ตากแดดจนตัวดำคล้ำ
นางรู้ว่านี่คือหลานชายของหลี่เจิ้ง “พี่หู่จือ ข้าได้ยินมาว่าท่านย่าข้าอยู่ที่บ้านเ้า”
“โอ้ นางไปขุดต้นกล้าฟักทองในแปลงผักด้านหลังกับย่าของข้าน่ะ” หวงเสียวหู่โบกมือให้นาง จากนั้นเชิญเข้าไปในบ้าน
เมื่อเห็นว่าหลิวเต้าเซียงไม่ได้ตามเข้ามา จึงะโ “ยืนซื่อบื้อรอกินข้าวหรือ ยังไม่รีบมาอีก เ้า้าหาย่าของเ้าไม่ใช่หรือ?”
“อ๋อ!” หลิวเต้าเซียงเพิ่งเข้าใจว่าเขากําลังกวักมือเรียกนางให้ไปที่สวนผักด้านหลัง
“พี่ชายของป้ารองเ้ามาเช่นนั้นหรือ?” หวงเสียวหู่คงไม่เคยชินกับความเงียบตลอดทาง จึงหาหัวข้อมาพูดคุย
“อื้ม ข้าถึงได้มาหาย่าของข้าไง” หลิวเต้าเซียงไม่ได้มีนิสัยชอบเปิดเผยเื่ไม่ดีในบ้าน
หวงเสียวหู่ครางเล็กน้อยและพูดอย่างมีความสุขว่า “ท่าทางดุร้ายของเขา คงอาละวาดที่บ้านเ้าอย่างรุนแรงเลยสินะ”
ได้ยินเช่นนั้นก็รู้ได้เลยว่าเขาต้องแอบฟังแน่ มนุษย์จิ๋วในใจของหลิวเต้าเซียงทำท่าดูถูก
แต่ปากก็ยังตอบไปว่า “เขาก็นิสัยเช่นนั้น”
ไม่ได้บอกว่าซุนต้าเตาอาละวาดอย่างไร
“เรากําลังจับกบในทุ่งนาหน้าบ้านของเ้า เสียงของเขาดังมาก หากให้ข้าพูดละก็ แม่หนูน้อย เ้าไม่ต้องกลัว หากเขาอันธพาล เ้าก็อันธพาลกว่าเขา เขาก็จะกลัวเ้าเอง”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหวงเสียวหู่คนนี้น่าสนใจ
“ข้าอันธพาลสู้เขาไม่ไหวหรอก ผอมแห้งแรงน้อยอย่างข้าทนการถูกแรงเขาไม่ไหวหรอก” หลิวเต้าเซียงเอ่ย
หวงเสียวหู่เหล่มองนางและยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวที่สวยงามเต็มปาก
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเ้าจะต่อสู้กับเขา เ้าสู้เขาไม่ไหว ถ้าเขาจะทำร้ายเ้า เ้าก็วิ่งหนี ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ให้วิ่งหนีมาที่บ้านของข้า ถึงอย่างไรปู่ของข้าก็เป็หลี่เจิ้ง คนตระกูลซุนก็อยู่ภายใต้การดูแลของเขา”
หลิวเต้าเซียงยิ้มแย้ม เอ๋ มีที่พึ่งส่งมาถึงที่เลยแฮะ
“หมายความว่าอย่างไร เขากลัวหลี่เจิ้งหรือ?”
หวงเสียวหู่ตอบด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “เราไม่ต้องกลัว หากเขารังแกเ้า เ้าแค่มาหาความยุติธรรมกับปู่ของข้าได้เลย ต้องสามารถจัดการเขาได้แน่”
เหตุใดหลิวเต้าเซียงถึงรู้สึกว่าหวงเสียวหู่หวังเป็อย่างยิ่งว่าซุนต้าเตาจะถูกจัดการ?
“เขาทําให้เ้าขุ่นเคืองด้วยหรือ?”
หวงเสียวหู่รู้สึกประหลาดใจมากที่หลิวเต้าเซียงเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง จึงตอบอย่างเบิกบานใจ “ก็ใช่นะสิ คนๆ นี้เป็คนไร้เหตุผล คราวก่อนมีคนมอบกระดูกให้บ้านข้า เขาบอกว่าเป็ของที่บ้านเขาทิ้งไป เคยเจอแต่คนหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเจอคนที่หน้าไม่อายสุดๆ เช่นนี้”
เขาเน้นเสียงไปที่คำว่าหน้าไม่อายอย่างหนักแน่น
หลิวเต้าเซียงแอบคิดว่าหมอนี่ต้องเป็คนแค้นฝังหุ่นแน่ จากนิสัยของซุนต้าเตา คงต้องด่าอย่างหยาบคายแน่นอน
“เ้าไม่ได้ให้บทเรียนแก่เขาหรือ?” หลิวเต้าเซียงเอ่ยถาม
หวงเสียวหู่มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ และตอบว่า “เ้าคิดว่าเขาสมควรถูกทุบตีใช่หรือไม่ ข้าจะแอบบอกเ้าก็ได้ รู้หรือไม่ว่าเหตุใด่นี้เขาจึงไม่กล้ามาที่หมู่บ้านของเรา?”
หลิวเต้าเซียงเริ่มมีความคิดในใจ เดาว่าหมอนี่คงจ้างคนไปอัดซุนต้าเตาเป็แน่
“เ้าคงไม่ได้ทำเื่อย่างว่าหรอกนะ?”
“คนย่อมมีทางของคน ผีก็มีทางของผี ฮี่ๆ!” เมื่อมองไปที่มุมปากของเขาที่ฉีกจนเกือบจะถึงใบหู คาดว่าคงอัดจนรู้สึกสาแก่ใจกระมัง
หลิวเต้าเซียงเม้มริมฝีปากยิ้ม และไม่ได้เปิดเผยเื่ชั่วช้าที่เขาทำ
จากนั้นหวงเสียวหู่ก็พูดว่า “ข้าไม่ชอบหน้าซุนต้าเตา ฮึ ชอบรังแกคนอ่อนแอ แต่กลัวคนที่เก่งกว่า น้องสาวเต้าเซียง เ้าไม่ต้องกลัว หากว่าเ้าถูกรังแกก็มาบอกพี่หูจื่อ พี่จะช่วยเ้าแก้แค้นเอง”
-----
เชิงอรรถ
[1] หลี่เจิ้ง 里正 คือตำแหน่งผู้ดูแลฝ่ายทะเบียนราษฎร์และภาษีประจำพื้นที่ในยุคสมัยโบราณ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเป็ธรรมและไกล่เกลี่ยเื่ราว หากเกิดความบาดหมางกันระหว่างตระกูล (ในที่นี่ไม่ใช่ชื่อตัวละคร)
