อวิ๋นซียืนขึ้นพูดกับหลัวเผิง “หลัวเผิง เปิ่นเฟยและท่านอ๋องจักต้องออกไปจัดการธุระสักหน่อยรบกวนเ้าช่วยดูแลเวยเวยของเราสักครู่เถิด” เมื่อพูดจบ นางไม่ได้รอให้หลัวเผิงตอบก็จากไปกับจวินเหยียนแล้ว
เมื่อออกไปนอกศาลาจวินเหยียนก็ถามอวิ๋นซี “ทำเยี่ยงนี้จะดีหรือ? อย่างไรเสียซือถูเวยก็เป็แม่นางผู้หนึ่งหลัวเผิงเป็บุรุษ พวกเขาสองคนเป็ชายหญิงที่ยังมิได้แต่งงาน”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินถ้อยคำชวนวิตกก็หันมองเขาก่อนจะหัวเราะหึหึเ็า “โอวหยางจวินเหยียน ตัวท่านยังมีหน้ามาพูดว่าพวกเขาเป็ชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานกันต่อหน้าข้าอีกหรือ? ตอนนั้นเป็ผู้ใดกันที่แอบเข้ามาในห้องข้ากลางดึก ตอนนั้นใครกันที่นอนร่วมเตียงเดียวกับข้าเหอะ ตอนนี้ท่านกลับรู้จักพูดจาเช่นนี้แล้วอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้เล่ามัวไปทำอันใดอยู่”
จวินเหยียนมองท่าทางของนางที่ราวกับเป็การะเิอารมณ์ที่อัดอั้นมานานก็อดหัวเราะไม่ได้“ตอนนั้นข้าตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งเ้าเข้ามา ไม่ช้าก็เร็วเ้าจะต้องแต่งให้ข้าอยู่ดีดังนั้น การที่ข้านอนกับภรรยาของข้าจะเป็อันใดไปเล่า? ”
อวิ๋นซีกลอกตาขณะที่ในใจเอาแต่ด่าว่าเขาว่าไร้ยางอายไปต่างๆ นานาด้วยความโกรธเคือง ทั้งที่ตัวเองเป็ฝ่ายผิดแท้ๆก็ยังจะหาข้ออ้างนู่นนี่อีก
“ไม่แน่ว่า อีกไม่นานพวกเราอาจจะได้ดื่มสุรามงคลของหลัวเผิงและเวยเวยก็เป็ได้”นางแค่นเสียงเ็า สำหรับหลัวเผิงและซือถูเวยนั้น นางรู้สึกว่ามีความเป็ไปได้มากเมื่อพิจารณาจากท่าทีที่หลัวเผิงมีต่อเวยเวย และท่าทีเขินอายของเวยเวยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“หากเป็ไปเช่นนั้นเปิ่นหวางจะต้องเตรียมของขวัญชุดใหญ่ไว้ให้พวกเขาอย่างแน่นอนอย่างไรเสียนี่ก็เป็การผูกด้ายแดงครั้งแรกของภรรยาข้า” เขาแย้มยิ้มกล่าวขึ้น
คนทั้งสองพูดไปพลางเดินมุ่งหน้าไปยังสวนชิงเฟิงไปพลางส่วนเื่ที่พ่อบ้าน้าพบพวกเขาด่วนอะไรนั่นล้วนเป็แค่ข้ออ้างที่ฉุนเอ๋อร์เลือกมาใช้ก็เท่านั้นเพราะอวิ๋นซีเพียง้าให้เวลาหลัวเผิงและซือถูเวยได้อยู่ด้วยกันเป็การส่วนตัวหากพวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่เลวละก็ อย่างน้อยๆ ครั้งนี้ก็ถือเป็โอกาสที่จะได้ทำความรู้จักและพูดคุยกันพักหนึ่ง
หากผลสุดท้ายพวกเขาเข้ากันไม่ได้ก็จะได้ถือโอกาสนี้เปลี่ยนแปลงเื่ใดๆที่ยังไม่ได้กำหนดไว้แน่นอน
สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้พวกเขาได้ร่วมกินอาหารด้วยกันที่เรือนอบอุ่น [1] ในเรือนชั้นสามรอจนกระทั่งอวิ๋นซีและจวินเหยียนมาถึง ยามนั้นแม่นางน้อยหลัวซืออวี่และคนอื่นๆ ต่างก็นั่งประจำที่ของตนกันแล้วหวานหว่านนั่งอยู่ด้านข้างของหลัวซืออวี่ ทั้งยังทำหน้าที่แนะนำสหายใหม่ผู้มาเยือนเป็อย่างดีว่าอาหารจานใดอร่อยโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดปากง่ายๆ
ส่วนเอ้อนีและต้านีเอ๋อร์นั้นไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะเด็กๆ ทั้งสองต้องไปกินอาหารกันที่เรือนหลังกับแม่นม ถึงกระนั้นในยามปกติเด็กทั้งสามก็มักจะกินอะไรด้วยกันบ่อยๆทว่าตอนนี้มีแขกอยู่ด้วย อวิ๋นซีที่ยังรู้จักกาลเทศะอยู่จึงได้จัดแจงให้พวกนางแยกกันเป็การชั่วคราว
นอกจากนี้ หลัวเผิงได้ถูกจัดให้นั่งอยู่บนสุดฝั่งซ้ายเวยเวยนั่งอยู่บนสุดฝั่งขวา ซึ่งทั้งสองที่นั่งนี้ตรงกันพอดิบพอดี ส่วนข้างกายของซือถูเวยนั้นเป็หลัวซืออวี่กับหวานหว่านเมื่อปิดประตูอยู่ในที่ลับแล้วอวิ๋นซีก็มิใช่คนที่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบนักดังนั้นเื่ลำดับการนั่งอะไรพวกนี้ นางย่อมสามารถลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งได้เพราะเดิมทีหวานหว่านเองก็ไม่สามารถนั่งกินอาหารเคียงข้างกันกับหลัวซืออวี่ได้ ถึงอย่างไรสถานะของคนทั้งสองก็ต่างกันอยู่อย่างชัดเจน
ระหว่างกินอาหารอวิ๋นซียังคงสังเกตการเคลื่อนไหวรอบข้างอยู่บ่อยๆ จนได้ค้นพบว่า บางครั้งหลัวเผิงก็มักจะลอบสังเกตซือถูเวยบางครั้งก็เป็ซือถูเวยที่เอียงอายมองไปทางหลัวเผิง และแม้ว่าคนทั้งสองจะสามารถดึงสติตนกลับมาโดยไวจากนั้นก็รีบก้มหน้าก้มตากินข้าวในชามตน แต่ท่าทางเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ของพวกเขาก็ยังอยู่ในสายตาของอวิ๋นซีอยู่ดี
นางคิดว่าด้วยเื่นี้นับว่าสำเร็จไปแล้วแปดเก้าส่วน
เมื่อกินอาหารเสร็จอวิ๋นซีก็ให้หลัวเผิงไปส่งซือถูเวยกลับจวนสกุลซือถูด้วยตนเอง และเป็ตอนนี้เองที่หลัวเผิงเพิ่งได้ทราบว่าที่แท้เวยเวยก็คือสตรีผู้นั้นที่มารดาพูดไว้ว่าจะให้แต่งกับเขา แรกเริ่มเขาก็ประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะแปรเปลี่ยนมาเป็ยินดี
ตอนที่เขากำลังจะขึ้นม้านั้นก็ไม่ลืมหันมาคารวะไปทางอวิ๋นซีด้วยท่าทีนอบน้อม “หลัวเผิงขอบพระทัยท่านอ๋องและพระชายาที่ทรงให้การต้อนรับอย่างเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหลัวเผิงจากไปแล้วยามอู่ของวันถัดไป อวิ๋นซีก็ได้รับจดหมายจากซือถูเวยที่บอกกล่าวว่า งานหมั้นหมายระหว่างตระกูลหลัวกับตระกูลซือถูนั้นได้ถูกกำหนดลงมาแล้วอีกทั้งบิดามารดาของนางก็ยังพึงพอใจในตัวหลัวเผิงมาก
ทันทีที่อ่านจบอวิ๋นซีก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้าว่าแล้ว พวกเขาต้องไปกันได้ดีแน่”
“เื่นั้นมันแน่นอนอยู่แล้วครานี้ชายารักของข้าเป็แม่สื่อให้ หากยังไม่สำเร็จ เปิ่นหวางจะออกคำสั่งลงไปให้พวกเขาทั้งสองแต่งงานกัน” เมื่อพูดจบ จวินเหยียนก็ฉีกยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวพลางมองมายังนางด้วยท่าทีราวกับจะขอรางวัลตอบแทน
อวิ๋นซีมองแล้วขัดใจยิ่ง“ถ้ายังยิ้มอีก ข้าจะตีจนฟันท่านร่วงเต็มพื้น”
“หากฟันข้าร่วงยามที่ต้องไปไหนมาไหนพร้อมเ้า คนที่คนอื่นจะหัวเราะเยาะย่อมต้องเป็เ้ามิใช่ข้า” เขามองอวิ๋นซีด้วยท่าทีภาคภูมิ นับแต่ที่แต่งงานกับนางมา จวินเหยียนก็ค้นพบว่าการได้หยอกล้อนางถือเป็เื่ที่น่าสนุกยิ่ง
“คนอันธพาล”อวิ๋นซีลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อแล้วมุ่งหน้าออกจากห้องไป
ชั่วขณะนั้นนางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตนมีนัดกับหลิงอี เพื่อจะไปเซ่นไหว้หลันจือ ก่อนหน้านี้จวินเหยียนเคยบอกนางแล้วว่าหลุมศพของหลันจืออยู่ที่ใดเพียงแต่นางยังไม่เคยไป “อีกเดี๋ยวข้าจะไปจุดธูปหอมให้หลันจือ และจะพาเพ่ยเอ๋อร์กับเซียงเอ๋อร์ไปด้วย”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็มองนางไปทีหนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้ารับ “ได้ ระวังตัวด้วยนะ”
อวิ๋นซีพาเพ่ยเอ๋อร์และเซียงเอ๋อร์เดินทางออกนอกเมืองไปด้วยรถม้าของจวนอ๋องที่ค่อนข้างธรรมดาเมื่อออกไปนอกประตูเมืองแล้ว นางก็เห็นว่าหลิงอีรออยู่ที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งคนที่มากับหลิงอีด้วยก็คือหลิงจิ่วที่รับผิดชอบด้านการค้า และหลิงสืออู่ที่เป็สตรีเพียงคนเดียวในหอรุ่งอรุณถึงกระนั้นโดยปกติแล้วคนก็มักจะแฝงตัวแต่งกายเป็ชายยามที่ต้องออกมาปรากฏตัวภายนอกดังนั้น นอกจากทั้งสิบเจ็ดคนนี้ เฉียวอวิ๋นซี หลันจือ และอาเถาแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าหลิงสืออู่เป็สตรี
เมื่ออวิ๋นซีลงจากรถม้าก็มองพวกเขาสามคนไปทีหนึ่ง“หลิงเซียวให้ข้าพาพวกเ้าไปเซ่นไหว้หลันจือ”
หลิงอีและสหายอีกสองคนต่างสบตากันพลิกกายขึ้นม้า และควบตามหลังรถม้าของอวิ๋นซีไป ก่อนหน้านี้จวินเหยียนเคยบอกนางว่าเขาฝังร่างของหลันจือไว้บริเวณครึ่งไหล่เขาที่นอกเมืองในบริเวณที่มีฮวงจุ้ยไม่เลวยิ่งและทันทีที่พวกเขาไปถึง ณ ที่แห่งนั้น อวิ๋นซีก็เห็นว่าหน้าหลุมศพของบ่าวผู้ภักดีมีดอกไม้สดเบ่งบานเต็มไปหมด
เซียงเอ๋อร์พูดขึ้น“ดอกไม้เหล่านี้ล้วนเป็ท่านอ๋องสั่งให้คนปลูกไว้ อีกทั้ง ทิศทางของหลุมศพแม่นางหลันยังหันหน้าไปทางเมืองหลวงด้วยเพคะ”
อวิ๋นซีรู้สึกซาบซึ้งใจต่อจวินเหยียนเป็อย่างยิ่งเพราะตอนที่หลันจือยังมีชีวิตอยู่ คนชมชอบดอกไม้สดต่างๆ เหล่านี้ และในตอนนี้ข้างๆหลุมศพก็ยังมีดอกไม้สดปลูกไว้เต็มไปหมด นางคิดว่าหากหลันจือได้ทราบจักต้องดีใจเป็แน่กระมัง
หลิงอีมองชื่อที่ถูกสลักไว้บนหลุมศพ‘สุสานของหลันจือ’
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่านามที่แท้จริงของหลันเอ๋อร์ก็คือ หลันจือ เขาก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าวมองดูสุสานตรงหน้า จากนั้นก็พูดเสียงขรึม “หากรู้ก่อน ตอนนั้นข้าย่อมไม่ยอมให้เ้าจากไปเพราะหากทำเช่นนั้น ตอนนี้เ้าก็จะยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินในใจก็เศร้าโศกยิ่ง นางโบกมือเป็สัญญาณให้เซียงเอ๋อร์และคนอื่นๆ ไปเฝ้าอยู่ห่างๆ จากนั้นจึงจุดธูปหอมในมือแล้วเดินไปปักธูปให้หลันจือนางคุกเข่าลง และตามด้วยเผากระดาษเงินให้หลันจือ “กาลก่อนเ้าชอบพูดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาเงินให้ได้มากๆ เพื่อจะได้นำไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ให้ตนเอง ด้านนอกนั้นเ้าจะปลูกดอกไม้นานาชนิดไว้ให้เต็มสวนและเมื่อถึงเวลา เ้าจะแต่งให้คนที่ตนรัก จากนั้นก็ให้กำเนิดลูกน้อยที่น่ารักแก่เขาหลันจือ วันนี้ข้าพาคนที่เ้าชอบมาแล้ว แต่ที่น่าเสียดายก็คือเ้าไม่อาจลืมตามองเขาได้อีกแล้ว ถึงกระนั้นเ้าก็วางใจเถอะ ความแค้นของเ้าความแค้นของอาเถา ความแค้นของผู้บริสุทธิ์กว่าร้อยคนที่ต้องตายไป ข้าจะจดจำไว้ทั้งหมดและจักต้องมีสักวันที่ข้าจะตัดหัวของคนเ่าั้มาสังเวยเ้า ข้าจะให้คนเ่าั้ได้ชดใช้เืด้วยเื”
เมื่อพูดจบอวิ๋นซีก็ทนไม่ไหวจนเผลอหลั่งน้ำตาออกมา นางมองไปยังหลิงอี พูดเรียบๆ “ตอนนั้นหลันจือเคยบอกว่า เมื่อนางอายุยี่สิบห้าไปแล้ว หากว่าวันนั้นเ้ายังไม่แต่งงานนางจะต้องแต่งไปเป็ภรรยาเ้าแน่ ทว่า น่าเสียดายนักที่ชะตาฟ้ากลับล้อเล่นกับคน”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เรือนอบอุ่น(暖阁)เป็ห้องเล็กที่เปิดเชื่อมถึงกันกับห้องโถงใหญ่ได้ด้านในจัดทำขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นแก่คนพักโดยเฉพาะ มีเตาไฟต่างๆ เป็ต้น