ค่ำคืนในหุบเขาเซี่ยหลิงเงียบสงัด ลมพัดเอื่อยพัดใบไม้ไหว เสียงจิ้งหรีดร้องประสานเป็จังหวะอันเยือกเย็น ใต้แสงจันทร์สีน้ำนม ลี่ฮวาเอ๋อร์นั่งหน้าเตาถ่านที่เพิ่งดับไปไม่นาน พลางทอดสายตามองเปลวไฟที่คุกรุ่นในความทรงจำ
"ข้าควรเริ่มหาสูตรลับถัดไปที่ท่านยายซ่อนไว้..." นางบ่นพึมพำ
เซียวเหวินหลงซึ่งนั่งหันหลังพิงต้นไม้ ถามขึ้น "ท่านยายของเ้าทิ้งร่องรอยอะไรไว้หรือไม่?"
"เพียงภาพวาดแผนที่เลือนราง กับถ้อยคำที่ว่า 'เมื่อราตรีไร้กลิ่นควัน มีดจะเผยทางแห่งรส'" ลี่ฮวาเอ๋อร์ตอบ
ขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนา จู่ๆ กลิ่นหอมบางๆ ของเนื้อย่างลอยมาแตะจมูก — ทั้งที่นางไม่ได้จุดไฟ ไม่ได้ย่างหมู
ลี่ฮวาเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “กลิ่นนี้... ไม่ใช่ของข้า”
ก่อนที่ทั้งสองจะได้พูดอะไรต่อ เสียง “ฉึบ” ดังขึ้น — ปลายมีดบินเฉียดหน้าเซียวเหวินหลงไปเพียงเส้นผมหนึ่งเส้น!
ปลายมีดปักแน่นอยู่ในต้นไม้ ใกล้ตัวลี่ฮวาเอ๋อร์ไม่ถึงหนึ่ง่แขน
“มีคนลอบโจมตี!” เซียวเหวินหลงพุ่งตัวตั้งท่า มือจับดาบแน่น
แต่ในความมืด ไม่มีแม้เงาร่างของผู้ใด มีเพียงสายลมที่พัดผ่านกับเงาใบไม้ไหวตามจังหวะ
ลี่ฮวาเอ๋อร์ขยับเข้าไปใกล้มีด — บนด้ามมีดนั้นสลักอักษรเล็กจิ๋วไว้ว่า...
> “รสหนึ่งในเงามืด”
“นี่... คือเบาะแส” นางพูดพลางหยิบมีดขึ้นพิจารณา มันเป็มีดสั้นปลายแหลม แต่น้ำหนักสมดุลอย่างประหลาด ด้ามจับเปื้อนกลิ่นเครื่องเทศที่นางคุ้นเคยในวัยเด็ก
จากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นรอบบริเวณ ทั้งสองหันไปพร้อมกัน — เงาดำสามร่างปรากฏตัวท่ามกลางแสงจันทร์ บนเสื้อคลุมของพวกเขาปักสัญลักษณ์ “มีดสองคมไขว้”
ชายคนหนึ่งยิ้มบางๆ ใต้ผ้าคลุมหน้า กล่าวเสียงเรียบ
> “ข้าคือ อาโหย่ว มือมีดแห่งตระกูลรสลับ... เ้าคือทายาทของสตรีผู้มี ‘กลิ่นมือ’ หรือไม่?”
ลี่ฮวาเอ๋อร์นิ่งงัน — คำว่า กลิ่นมือ เป็คำที่ท่านยายใช้เรียกความสามารถพิเศษในการควบคุมรสชาติผ่านัั นางไม่เคยบอกใคร นอกจากยาย
"เ้า... รู้จักท่านยายข้าหรือ?"
ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆ “นางเคยฝากสิ่งหนึ่งไว้กับข้า... แต่เ้าจะได้มันก็ต่อเมื่อผ่านการทดสอบรสแห่งรัตติกาล”
ลี่ฮวาเอ๋อร์จับด้ามมีดในมือแน่น หัวใจเต้นรัวเมื่อเผชิญหน้ากับชายในเงามืดผู้เรียกตนว่า “ทายาทแห่งกลิ่นมือ”
เซียวเหวินหลงก้าวมาข้างหน้า ตั้งท่าระแวดระวัง
“ทดสอบรสแห่งรัตติกาลที่เ้าว่าคืออะไร?” ลี่ฮวาเอ๋อร์ถาม
อาโหย่วหยิบห่อผ้าเล็ก ๆ จากอกเสื้อ ยื่นมาให้ นางเปิดดู — ข้างในคือวัตถุดิบ 3 อย่าง: เห็ดดำเหมันต์, น้ำผึ้งเถาหยก และเนื้อจิ้งจอกภูผา
กลิ่นของมันขัดแย้งกันสุดขั้ว — หอมจนฉุน หวานจนขม ดิบจนเกือบเน่า
“เ้าต้องใช้วัตถุดิบเหล่านี้... สร้างรสชาติที่สามารถควบคุม ‘กลิ่นจิต’ ของผู้คนในรัศมีสิบก้าว”
“หากทำได้สำเร็จ ข้าจะมอบของบางอย่างที่ท่านยายเ้าฝากไว้ให้” อาโหย่วกล่าว
ลี่ฮวาเอ๋อร์กัดฟันแน่น รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่การทำอาหารธรรมดา แต่มันคือการหลอมรวม พลังรส กับ กลิ่นอารมณ์
นางหลับตาลง สูดกลิ่นทั้งสามอย่างอย่างละเอียด ก่อนจะเริ่มจุดเตาถ่าน
"ข้าจะผสมมันแบบไม่ตามตำรา..."
นางบดเห็ดดำละเอียดคลุกกับน้ำผึ้งเถาหยก แล้วหมักเนื้อจิ้งจอกไว้ในใบชาแห้ง
มือของนางเคลื่อนไหวราวกับมีสัญชาตญาณนำพา — ราวกับท่านยายกำลังกระซิบสูตรอยู่ในหัว
กลิ่นแรกที่ออกมาแรงจนเซียวเหวินหลงต้องผงะถอยไปหนึ่งก้าว แต่ไม่นานกลิ่นนั้นกลับกลายเป็อบอุ่น ลุ่มลึก
กลิ่นสุดท้ายที่พวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเป็กลิ่นที่ไม่อาจอธิบาย — เย็นเหมือนหิมะราตรี แต่แฝงประกายหวานดั่งรักแรก
พริบตานั้น อาโหย่วและลูกศิษย์ทั้งสองคนชะงักไป
ดวงตาพวกเขาหรี่ลง ร่างกายหยุดนิ่ง ราวกับจมอยู่ในห้วงความทรงจำที่ถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นนั้น
อาโหย่วพึมพำ “…กลิ่นของ...ท่านแม่...?” น้ำเสียงที่แข็งกระด้างเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็อ่อนโยนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ลี่ฮวาเอ๋อร์ลืมตาขึ้น ชิ้นเนื้อจิ้งจอกในไม้เสียบเปล่งกลิ่นบางๆ อย่างมีชีวิต
“เ้าผ่านแล้ว” อาโหย่วกล่าวเบาๆ พลางหยิบกล่องไม้เล็กๆ ส่งให้ “ท่านยายเ้าบอกว่า... หากเ้าทำให้ ‘รสกลิ่นแห่งความทรงจำ’ ปรากฏได้ เ้าก็พร้อมจะรับสิ่งนี้”
ลี่ฮวาเอ๋อร์รับมาอย่างแ่เบา เปิดฝาออก — ข้างในคือมีดทำครัวใบเล็กแต่คมกริบ ด้ามจับสลักชื่อ...
> “ลี่ซินเหยา” — ชื่อของท่านยายนาง
น้ำตาของลี่ฮวาเอ๋อร์เอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางกำมีดไว้แน่น
"ข้าจะเดินต่อไป...ตามเส้นทางแห่งกลิ่นและรสที่ท่านยายมอบให้"
หลังจากได้รับมีดของท่านยายมาไว้ในมือ ลี่ฮวาเอ๋อร์ยังยืนนิ่งอยู่หน้ากองไฟที่มอดลงแล้ว แสงจันทร์สาดต้องคมมีดเล่มเล็กในมือนางจนเป็ประกายสีเงินวาว
มีดของท่านยาย… กลิ่นของความทรงจำ รสของความรัก และรอยแผลจากอดีต
อาโหย่วเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มีดเล่มนั้นคือหนึ่งใน ‘สามศาสตราแห่งรส’ หากเ้าคิดจะเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป เ้าต้องรู้จักศัตรูของมัน”
“ศัตรูของรส?” เซียวเหวินหลงทวนคำด้วยความสงสัย
อาโหย่วพยักหน้าเบา ๆ “พรรคหลอมลิ้นดำ พวกมันฝึกวิชาบิดเบือนประสาทรับรสและกลิ่น ใช้กลิ่นกดจิตใจ ใช้รสชักนำคนให้ตกอยู่ในห้วงลวงตา”
ลี่ฮวาเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ข้าเคยได้ยิน… ชาวบ้านบางหมู่บ้านกลายเป็คนไร้รสชาติในปาก กินอะไรก็ไม่รู้รส”
“ใช่” อาโหย่วตอบ “นั่นคือฝีมือของพวกมัน พวกมันกำลังลบ ‘รากแห่งอารมณ์’ ของมนุษย์ผ่านอาหาร… และเ้า อาจเป็เพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่หยุดมันได้”
ลี่ฮวาเอ๋อร์กำมีดแน่น ความเงียบปกคลุมไปชั่วครู่ ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาแน่วแน่
> “ข้าจะไม่ยอมให้ใครใช้รสชาติทำร้ายผู้คน — กลิ่นหอมของเตาถ่านต้องไม่กลายเป็กลิ่นแห่งความหวาดกลัว!”
อาโหย่วหัวเราะเบาๆ อย่างพึงใจ “ในเมื่อเ้าตัดสินใจแล้ว... ข้าจะบอกเ้าเกี่ยวกับ ‘จุดลับ’ ที่ท่านยายเคยแวะเวียนบ่อยครั้ง — สถานที่ซึ่งอาจเก็บ ‘ตำรารสต้องห้าม’ เอาไว้”
“ที่ใด?” เซียวเหวินหลงถาม
อาโหย่วก้มลงใช้มีดจารึกบนดินเบื้องหน้า — เป็รูปแผนที่ง่ายๆ กับสัญลักษณ์รูปหม้อไฟโบราณ
“โรงน้ำชาไร้ชื่อ ในเมืองซูฝู จงไปที่นั่นในวันแรมสิบห้าค่ำ ถ้ายังมีใครเหลืออยู่ที่ศรัทธาในกลิ่นและรส พวกเขาจะพบเ้า”
---
ขณะที่ลี่ฮวาเอ๋อร์พับแผนที่กระดาษใส่ชายเสื้อ นางรู้ดีว่าเส้นทางเบื้องหน้าจะไม่ง่ายอีกต่อไป
แต่ในมือของนาง มีดเล่มเล็กของท่านยาย กำลังอุ่นราวกับเตาถ่านที่เพิ่งจุดไฟใหม่
กลิ่นของความกล้า กำลังแผ่ไปรอบตัวยามนางก้าวเดิน
รุ่งเช้าหลังคืนแห่งกลิ่นและมีด ลี่ฮวาเอ๋อร์ตื่นขึ้นด้วยหัวใจที่หนักแน่นกว่าที่เคย แม้ใบหน้าจะดูอ่อนล้าจากการฝืนร่างกายตลอดคืน แต่ดวงตาของนางกลับเปล่งแสงแห่งการตื่นรู้
ขณะนางกำลังจะจัดเก็บอุปกรณ์เพื่อออกเดินทางไปยังเมืองซูฝู อาโหย่วก็เดินเข้ามายื่นห่อผ้าเล็ก ๆ ให้ “นี่คือ ผงกลิ่นจดจำ สูตรครูข้า ใช้เมื่อเ้า้าสะกดอารมณ์ศัตรูผ่านกลิ่นในชั่วพริบตา”
ลี่ฮวาเอ๋อร์รับมาอย่างเคารพ นางกล่าวเบา ๆ “ข้าจะใช้มันเพื่อปกป้อง... ไม่ใช่ควบคุม”
“ดีแล้ว” อาโหย่วพยักหน้า “จงจำไว้ รสชาติเป็ดั่งพลัง มันสามารถเยียวยา... หรือทำลายได้”
จากนั้นอาโหย่วและเหล่าศิษย์จึงหายไปกับหมอกยามเช้า ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอ่อนของเนื้อย่างที่ยังอบอวลบนฟากลม
เซียวเหวินหลงเอ่ยพลางยกยิ้ม “ข้าชักจะเริ่มเชื่อเสียแล้วว่าเ้านี่ไม่ใช่แค่แม่ค้าหมูปิ้งธรรมดา”
ลี่ฮวาเอ๋อร์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะชูมีดของท่านยายขึ้นรับแสงอาทิตย์ “และเ้าก็ไม่ใช่แค่นักดาบพเนจรเหมือนกันล่ะมั้ง”
ทั้งสองออกเดินทางต่อสู่เมืองซูฝู ท่ามกลางเส้นทางเขียวชอุ่มและกลิ่นใบชาที่อบอวลตลอดทาง แต่ในใจของลี่ฮวาเอ๋อร์ นางรู้ดีว่าความสงบนี้เป็เพียง รสอุ่นก่อนกลิ่นมรสุม
เมื่อพลบค่ำในวันนั้น ทั้งคู่หยุดพักที่ศาลาริมทาง เลี้ยงปากท้องด้วยหมูปิ้งของนางตามเคย — แต่พริบตาที่ไฟเริ่มจาง กลิ่นหอมของเนื้อในไม้กลับแปรเปลี่ยนเป็กลิ่นแปลกปลอม ราวกับมีอะไรเจืออยู่
ลี่ฮวาเอ๋อร์หน้าเคร่งทันที “กลิ่นนี้... ถูกแทรกด้วยกลิ่นสมุนไพรลวงสติ!”
ก่อนที่นางจะพูดจบ เงาร่างหนึ่งก็โผล่ขึ้นจากบนหลังคาศาลา เขากระโจนลงมาอย่างรวดเร็ว มือถือพัดไม้ไผ่ที่ปล่อยกลิ่นจาง ๆ ออกมาตลอดเวลา
“ข้าได้ยินว่า... ทายาทกลิ่นมือได้กลับมาแล้ว”
เสียงของชายหนุ่มราวสายลมพัดผ่านป่าทึบ “ข้า... หยางชิง ผู้พิทักษ์กลิ่นลับแห่งพรรคหลอมลิ้นดำ มารับกลิ่นเ้าด้วยตนเอง”
เซียวเหวินหลงชักดาบออกทันที ขณะที่ลี่ฮวาเอ๋อร์ก้าวออกมาขวาง
> “เ้าจะรับกลิ่นข้า... ก็ต้องผ่านรสของข้าก่อน!”
ลี่ฮวาเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้า เผชิญหน้ากับหยางชิงแห่งพรรคหลอมลิ้นดำ กลิ่นประหลาดจากพัดไม้ไผ่ของเขาแทรกซึมในอากาศ รุกล้ำสติประสาทของผู้คนรอบข้าง
เซียวเหวินหลงพยายามตั้งสติ ทว่าสายตาของเขาเริ่มพร่า เสียงของลี่ฮวาเอ๋อร์ดั่งห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ
"รสชาติ… ก็เหมือนอารมณ์" หยางชิงเอ่ยเสียงเรียบ "หากควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เ้าก็ไม่อาจสร้างรสที่แท้จริงได้เช่นกัน"
แต่ลี่ฮวาเอ๋อร์กลับนิ่งเสียยิ่งกว่านิ่ง ดวงตานางหลับลง มือหนึ่งหยิบผงกลิ่นจดจำที่อาโหย่วให้มาโรยลงบนเตาถ่านที่ยังอุ่นอยู่
ควันจางลอยขึ้น กลิ่นหอมอบอุ่นดั่งบ้านในวัยเยาว์แผ่ขยายไปรอบตัว นางหั่นหมูย่างแผ่นเล็ก ๆ ใส่ลงบนเตาอย่างมั่นคง
กลิ่นที่ลอยออกมาเป็กลิ่น เรียบง่าย แต่กลับซับซ้อน — กลิ่นที่ทำให้คนคิดถึงมือแม่ กลิ่นของรอยยิ้มยามเด็ก ๆ วิ่งกลับบ้าน
หยางชิงชะงักไปทันที ใบหน้าที่นิ่งเรียบมีรอยสั่นไหวปรากฏขึ้นชั่วครู่
เขาถอยหลังหนึ่งก้าว พัดไม้ไผ่ในมือเริ่มส่งกลิ่นปะทะกลิ่นของลี่ฮวาเอ๋อร์ เกิดเป็การปะทะกันระหว่าง “กลิ่นความทรงจำ” กับ “กลิ่นลวงสติ”
ลี่ฮวาเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบาแต่ชัดเจน
> “เ้าหลอมกลิ่นเพื่อหลอกลวง... แต่ข้าหลอมกลิ่นเพื่อเชื่อมโยง”
ทันใดนั้น ควันจากเตาถ่านพลุ่งขึ้นเป็เส้นสายแ่เบา หยางชิงสะดุ้งสุดตัวก่อนจะกระอักเืออกมาหนึ่งคำ
“เ้า… สำเร็จวิชา ‘กลิ่นสะท้อนจิต’ ได้อย่างไร...” เขาพึมพำ
เซียวเหวินหลงได้สติในวินาทีนั้น รีบเข้าประคองลี่ฮวาเอ๋อร์ซึ่งทรุดลงกับพื้น ใบหน้านางซีดเผือดจากการใช้พลังกลิ่นจนเกินขีดจำกัด
หยางชิงแม้จะอ่อนแรง แต่ก็สามารถะโหายไปในเงามืด ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้ายลอยในอากาศ
> “ข้าจะรอเ้า...ที่เมืองซูฝู”
---
เช้าวันถัดมา ลี่ฮวาเอ๋อร์ตื่นขึ้นในกระท่อมเล็ก ๆ ริมทางที่เซียวเหวินหลงพานางหลบมาพักชั่วคราว
แม้ร่างกายยังอ่อนแรง แต่นางรู้สึกชัดเจนว่า — ตนเองเพิ่งข้ามพ้นขีดจำกัดของตนไปอีกขั้น
มือจับมีดของท่านยายไว้แน่น ดวงตากลับมาวาววับ
> "เมืองซูฝู... โรงน้ำชาไร้ชื่อ... และศัตรูที่รออยู่"
หลังจากการเผชิญหน้ากับหยางชิง ลี่ฮวาเอ๋อร์และเซียวเหวินหลงเดินทางออกจากกระท่อมเล็ก ๆ ด้วยความเร่งรีบ แม้ลี่ฮวาเอ๋อร์จะฟื้นตัวเร็ว แต่การใช้พลังกลิ่นสะท้อนจิตครั้งนี้ทำให้ร่างกายของนางอ่อนแอลงไม่น้อย
“ต้องรีบไปเมืองซูฝูแล้ว” ลี่ฮวาเอ๋อร์กล่าวเสียงแหบเบา “หากพวกหลอมลิ้นดำยังตามมา เราต้องเตรียมตัว”
เซียวเหวินหลงพยักหน้าและไม่พูดอะไร เขามองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม เหมือนเป็ลางบอกเหตุว่าเื่ราวในเมืองซูฝูจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
การเดินทางในวันที่สองดูจะยาวนานกว่าที่คาด หมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่วเส้นทาง ทำให้การมองเห็นลดลงไปอย่างมาก แม้ท้องฟ้าจะเริ่มมืด แต่การเดินทางก็ยังคงดำเนินไปอย่างไม่มีการหยุดพัก
“ระวังตัวให้ดี” เซียวเหวินหลงพูดขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่เดินผ่านทางแคบๆ ที่ซ่อนอยู่ในป่า “พรรคหลอมลิ้นดำคงไม่ปล่อยให้เราหนีไปง่ายๆ”
ในขณะที่พูด เขาก็หยิบดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมในมือ แต่ลี่ฮวาเอ๋อร์กลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ข้าไม่กลัวการต่อสู้หรอกนะ แค่... ข้า้าหาคำตอบมากกว่า”
เซียวเหวินหลงมองไปที่ลี่ฮวาเอ๋อร์ รู้ดีว่านางกำลังพูดถึงเื่ “กลิ่นสะท้อนจิต” และคำสัญญาที่ท่านยายฝากไว้ เขาเงียบไปและเดินข้างๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
การเดินทางผ่านไปจนถึงยามเย็น ท้องฟ้าสีส้มใกล้หายไป และแสงจันทร์เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ เมืองซูฝูปรากฏอยู่เบื้องหน้า ป้อมปราการเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินสูง
เมื่อเข้าไปถึงประตูเมือง ลี่ฮวาเอ๋อร์รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอากาศ ความเยือกเย็นที่แผ่ซ่านและความเงียบสงัดที่ครอบงำเมืองทำให้รู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“นั่น... โรงน้ำชาไร้ชื่อ” ลี่ฮวาเอ๋อร์พูดเบาๆ ขณะที่มองเห็นร้านน้ำชาเล็กๆ ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของถนนใหญ่ ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ
เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในโรงน้ำชา เ้าของร้านผู้หญิงวัยกลางคนที่ท่าทางน่าจะมีความลับซ่อนอยู่ ยิ้มต้อนรับอย่างมีมารยาท แต่มีบางอย่างในท่าทางของนางที่ทำให้ลี่ฮวาเอ๋อร์รู้สึกไม่สบายใจ
“ยินดีต้อนรับเ้าค่ะ ท่านลูกค้า…” เสียงนุ่มทว่าแฝงความลึกซึ้ง เ้าของร้านสาวทักทายพลางชวนทั้งสองนั่งที่โต๊ะไม้เล็ก ๆ ใกล้หน้าต่าง
“เรา้าเพียงแค่พักระหว่างทาง” ลี่ฮวาเอ๋อร์กล่าวเสียงเรียบ แต่ตาของนางก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างในร้านน้ำชาไม่ธรรมดา มีกลิ่นหอมบางอย่างลอยมาจากห้องหลังร้าน — กลิ่นที่แปลกประหลาด ราวกับการผสมผสานระหว่างสมุนไพรและสิ่งลับๆ ที่ยังไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
ในขณะที่รอชาร้อน เ้าของร้านก็เดินเข้าไปในห้องหลังและปิดประตูเสียงเบาๆ แม้ไม่ทันสังเกตว่านางได้ทิ้งความสงสัยในใจลี่ฮวาเอ๋อร์ไว้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้