กู้เจิงหลับไปสี่วันเต็มถึงจะฟื้น นางลืมตาขึ้นมองไปยังม่านเตียงอย่างงุนงงอยู่ครึ่งค่อนวัน นางรู้สึกเพียงหนักศีรษะ และร่างกายปวดร้าวเหมือนไม่ใช่ตัวเอง
“ทำไมถึงหนักหัวขนาดนี้เนี่ย” กู้เจิงลูบหัวพลางพึมพำ
“คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูฟื้นแล้ว” ชุนหงที่เห็นคุณหนูตื่นขึ้นมาก็สวมกอดนางด้วยความตื่นเต้นดีใจและร้องไห้เสียงดัง
“ชุนหงหรือ?”
“บ่าวเองเ้าค่ะ” ชุนหงรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออก “คุณหนูน่าจะหิวแล้ว บ่าวจะไปต้มโจ๊กมาให้คุณหนูนะเ้าคะ”
กู้เจิงมองชุนหงอยู่นาน นางฝันถึงชุนหงใช่ไหมนะ?
“คุณหนู เป็อะไรหรือเ้าคะ?” ชุนหงเห็นคุณหนูเหม่อลอย จึงรีบถาม “จะให้บ่าวไปเชิญหมอหลวงมาไหมเ้าคะ”
“ไม่ต้อง เหมือนข้าจะฝันร้ายน่ะ” ในความฝันมีนาง มีชุนหง แต่พออยากจะนึกเื่ราวก็กลับพบว่านางลืมไปเสียแล้ว เพียงแต่ความเศร้าที่นางรู้สึกอยู่นี้คืออะไรกันนะ
“ไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะคุณหนู ตอนนี้คุณหนูปลอดภัยอยู่ในบ้านแล้วเ้าค่ะ” ชุนหงคิดว่าคุณหนูของนางฝันร้ายเพราะเื่ที่เพิ่งเกิดขึ้น
เสิ่นเยี่ยนถือชามยาเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเขาเห็นกู้เจิงฟื้นแล้ว เขาก็รีบวางชามยาลงแล้วมานั่งลงข้างเตียง “อาเจิง เ้าฟื้นแล้วหรือ?” เสิ่นเยี่ยนเอามือมาอังหน้าผากภรรยา
“ข้าไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะ แค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย” กู้เจิงพยายามขยับหัวไหล่ ทว่ากลับรู้สึกปวดไปทั้งตัว
“อย่าเพิ่งขยับ ดื่มยาก่อน” เสิ่นเยี่ยนหยิบยามาป้อนให้นาง
กู้เจิงกลั้นใจดื่มยาให้หมดในรวดเดียว
“คุณหนู หมอหลวงบอกว่าศีรษะของคุณหนูได้รับาเ็ ท่านได้แผลมาได้ยังไงเ้าคะ?”ชุนหงถามขึ้น
“ข้ากัดมือของคนร้าย มันก็เลยใช้มือหัวข้าอย่างแรงน่ะ” กู้เจิงนึกถึงในตอนนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองฆ่าคนไปสองคน พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตัวของนางก็สั่นระริก นี่นางฆ่าคนจริงๆ หรือ?
น้ำตาของชุนหงไหลออกมาอีกครั้ง
สีหน้าของเสิ่นเยี่ยนหนักอึ้ง
“นี่ข้าก็ไม่ได้เป็อะไรแล้วมิใช่หรือ?” กู้เจิงรีบลบภาพอันน่าหวาดกลัวออกจากสมอง ก่อนจะยิ้มบางๆ “พวกเ้าอย่าเป็แบบนี้สิ ข้าไม่ชอบเห็นพวกเ้าแสดงสีหน้าแบบนี้เลย”
“เป็ข้าดูแลเ้าไม่ดีเอง” เสิ่นเยี่ยนกล่าวเสียงหนักอึ้ง
พอได้ยินเสิ่นเยี่ยนพูดเช่นนี้ กู้เจิงก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาจริงๆ “หลังจากแต่งงานกับท่าน ท่านดูสิว่านี่ข้าเกิดเื่ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว?”
เสิ่นเยี่ยนเม้มปากแน่น
ชุนหงเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยว่า “คุณหนู ตอนนี้ท่านบุตรเขยเป็บัณฑิตประจำสำนักราชเลขาแล้ว จะไม่เกิดเื่เช่นนี้ขึ้นอีกแน่นอนเ้าค่ะ”
กู้เจิงแปลกใจ “บัณฑิตประจำสำนักราชเลขาหรือ?” นั่นเป็ตำแหน่งขุนนางขั้นสองเชียวนะ แล้วจู่ๆ จากขั้นหกก้าวะโเป็ขั้นสอง เป็ไปได้อย่างไร?
ชุนหงพยักหน้า “ทางวังได้จัดสรรบ้านพักให้กับท่านบุตรเขย ไม่ใช่เรือนหลังนั้นอีกแล้วเ้าค่ะ เรือนใหม่อยู่ใกล้กับจวนกู้มาก ทั้งยังมีผู้คุ้มกันอีกมากเลยเ้าค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น?” กู้เจิงมองสามี
“ข้าได้ปกป้ององค์ชายห้าไว้ และรักษาความปลอดภัยขององค์หญิงสิบเอ็ด ฝ่าาจึงทรงเลื่อนตำแหน่งข้าขึ้นเป็บัณฑิตประจำสำนักราชเลขา และพระราชทานจวนให้ และการได้เป็ขุนนางขั้นสองจะได้ผู้คุ้มกันในจวนด้วย” เสิ่นเยี่ยนตอบคำถามกู้เจิง
“ง่ายดายขนาดนี้เลยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงงุนงง
“ใช่ มันง่ายขนาดนั้นแหละ เ้าเพิ่งจะฟื้น นอนลงพักผ่อนก่อนเถอะ” เขาบอกให้กู้เจิงนอนลง
“ตลอดมาตวนอ๋องไม่เคยให้ท่านได้แสดงความสามารถ แต่ตอนนี้ท่านได้เป็ถึงขุนนางขั้นสอง เช่นนั้นคงต้องเข้าเฝ้าท้องพระโรงทุกวันเลยกระมัง? ” กู้เจิงคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง คนในราชสำนักไม่มีใครธรรมดาสักคน ฮ่องเต้เองก็คงไม่มีทางปล่อยให้คนธรรมดาสามัญขึ้นเป็ขุนนางขั้นสองได้ง่ายนัก
“ในเมื่อองครักษ์เงามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของคนในราชวงศ์เท่านั้น ชีวิตของขุนนางอย่างพวกเราจึงมีแต่ต้องพึ่งพากำลังของตัวเอง” เสิ่นเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบว่า “หากไม่มีอำนาจก็มีแต่จะถูกรังแก”
นึกถึงวันที่ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย ซึ่งเป็เพราะองครักษ์เงาที่ความจริงต้องคุ้มครองนางแต่พราะมีกฎบางอย่าง จึงจำต้องผละไปคุ้มครององค์ชายสิบสอง กู้เจิงก็เห็นด้วยกับสามี แต่แล้วนางก็เกิดคำถามขึ้นด้วย “เื่นี้ก็เป็ความ้าของตวนอ๋องด้วยหรือเ้าคะ?”
“ไม่ใช่ ข้าเขียนรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเื่นี้ลงในฎีกาและใส่ไว้ในกองฎีกาที่ต้องส่งให้ฝ่าาทรงอ่านแล้ว” ในฐานะผู้ช่วยของสำนักราชเลขา การทำเช่นนี้เป็เื่ง่ายมาก เสิ่นเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็าหาใดเปรียบ “ทุกการกระทำขององค์ชายสามล้วนอยู่ในสายตาของคนสอดแนมที่ข้าวางเอาไว้ แม้การเหตุการณ์ในอุทยานหลวงจะเป็เื่เหนือความคาดหมาย แต่ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ฮ่องเต้เห็นว่าข้าจัดการได้เหมาะสม ทั้งในเื่ของการช่วยเหลือองค์หญิงสิบเอ็ดและขุนนางระดับสูงอีกหลายคน จึงให้ความสำคัญกับข้า”
ถ้างั้นก็แปลได้ว่า เสิ่นเยี่ยนได้แสดงความสามารถโดยประจักษ์ต่อหน้าฮ่องเต้งั้นหรือ? ทำได้ดี กู้เจิงภูมิใจในตัวเขามาก แต่ในใจนางก็ยังรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย “แล้วฝั่งตวนอ๋องเล่าเ้าคะ?”
“ไม่ต้องคิดมาก เขาเคยรับปากข้าว่าจะให้องครักษ์เงาคอยปกป้องเ้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีแม้แต่เงา คนคนนี้พึ่งพาไม่ได้” เสิ่นเยี่ยนเอ่ยอย่างเ็า
กู้เจิง “...”
“เ้ากังวลว่าข้าจะมีปัญหากับตวนอ๋อง แล้วไหนจะความสัมพันธ์ระหว่างจวนกู้อีกงั้นสินะ?”
กู้เจิงพยักหน้า
“ไม่หรอก ยิ่งข้ามีตำแหน่งสูงมากเท่าไหร่ จวนกู้ก็จะให้ความสำคัญกับข้ามากขึ้นเท่านั้น ส่วนตวนอ๋องกับองค์รัชทายาท ถ้าไม่ดึงข้าไว้เป็พวก องค์ชายอื่นๆ ก็จะต้องมาทาบทามข้าแน่” เสิ่นเยี่ยนยิ้มเยาะ “พวกเขาไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก”
กู้เจิงมองสีหน้าเยือกเย็นของเขาตอนพูดถึงตวนอ๋อง “เมื่อก่อนท่านกับตวนอ๋องดีต่อกันมากนี่เ้าคะ”
“ดีที่ว่าคือต้องดีต่อกันทั้งสองฝ่าย กฎขององครักษ์เงานั้น ท่านอ๋องผู้สูงส่งจะไม่รู้ได้หรือ? ในเมื่อรับปากข้าไว้แล้วว่าจะให้องครักษ์เงาคอยปกป้องเ้า เขาก็ควรกำชับให้ชัดเจน เ้ารีบพักผ่อนเถอะ”
“อื้อ” กู้เจิงนอนลงอย่างว่าง่าย แต่นางยังมีคำถามอีก
แต่ในขณะนั้นเอง ประตูห้องของพวกนางได้เปิดออก สองสามีภรรยาเสิ่นเดินเข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นกู้เจิงฟื้นแล้วต่างก็ดีใจมาก
“เร็วเข้า ท่านรีบไปเอานกพิราบที่พี่สะใภ้ใหญ่นำมาให้ไปตุ๋นเลย” นายหญิงเสิ่นดันสามีออกไป
“ได้ๆ” นายท่านเสิ่นรีบออกไปทำตามคำสั่งภรรยา
นายหญิงเสิ่นเข้ามาลูบหน้าผากของกู้เจิง “นี่เพิ่งแค่ไม่กี่วันเอง เ้าผอมลงไปมากเลย”
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ” เมื่อเห็นแววตาห่วงใยนางอย่างไม่ปิดบัง กู้เจิงก็รู้สึกอบอุ่นใจ ไม่รู้ว่าเริ่มั้แ่เมื่อไหร่ที่นางเปิดใจให้กับพ่อแม่สามีเหมือนเป็คนในครอบครัวอย่างแท้จริง
“ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว ต่อไปก็บำรุงร่างกายให้ดี” หลายวันที่ผ่านมานางเป็ห่วงาแของลูกสะใภ้มาโดยตลอด ตอนนี้ก็โล่งใจได้แล้ว นางหันไปกล่าวกับชุนหงว่า “อาเจิงฟื้นแล้ว ต้องไปแจ้งจวนกู้สักหน่อย คนในบ้านนั้นจะได้ไม่กังวล”
ชุนหงตบหน้าผาก “บ่าวลืมเื่นี้ไปเลย จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละเ้าค่ะ” นางว่าแล้วก็รีบออกไป
“ท่านแม่ ซู่เหนียงของข้าคงไม่รู้ว่าข้าาเ็กระมังเ้าคะ”
นายหญิงเสิ่นกำลังจะพูด ทว่าเสิ่นเยี่ยนที่กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ถึงกับต้องวางพู่กันลง เขามองมารดาแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ อาเจิงเพิ่งฟื้นและดื่มยาไป จำต้องพักผ่อนขอรับ”
“ใช่ๆ” นายหญิงเสิ่นก้มตัวลงกดจุดตรงสองไหล่ของกู้เจิง “พักผ่อนให้สบาย พอตื่นขึ้นมาก็กินโจ๊กตุ๋นน้ำแกงนกพิราบสักหน่อย ร่างกายจะฟื้นตัวเร็วมาก”
“ท่านแม่ ซุ่หนียงรู้ว่าข้าได้รับาเ็แล้วหรือเ้าคะ?” เดิมทีกู้เจิงก็ถามไปอย่างนั้น แต่เห็นเสิ่นเยี่ยนไม่อยากให้แม่สามีพูดเื่ของซู่เหนียง จึงรู้สึกเป็ห่วงขึ้นมา
“เื่ใหญ่ขนาดนี้ ไหนเลยจะปิดบังไว้ได้?” นายหญิงเสิ่นถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หลังจากซู่เหนียงของเ้ารู้เข้าก็มาที่บ้านเพื่อตบตีอาเยี่ยน นางด่าเขาว่าดูแลเ้าไม่ดี”
“หา ซู่เหนียงนาง…” กู้เจิงยันตัวขึ้นอย่างใ
เสิ่นเยี่ยนรีบเข้ามาช่วยประคองนางให้นอนลงอีกครั้ง
“ซู่เหนียงตีท่านตรงไหนเ้าคะ?” กู้เจิงร้อนใจมาก
“ข้าไม่เป็ไรหรอก”
“จะไม่เป็ไรได้อย่างไรเ้าคะ? ท่านโดนตีตรงไหนกันแน่เ้าคะ?”
นายหญิงเสิ่นกระแอมเบาๆ “ข้าขอออกไปก่อนแล้วกัน” นางบอกแล้วรีบออกจากห้องไป
กู้เจิงมองปฏิกิริยาของแม่สามีอย่างแปลกใจ “ซู่เหนียงตีก้นท่านหรือเ้าคะ?”
สีหน้าของเสิ่นเยี่ยนดูผิดปกติในทันที เขาส่งเสียงอืมเบาๆ แล้วหันกลับไปเขียนอะไรบางอย่าง
กู้เจิง “...”
ครั้งนี้นางหลับลึกมาก พอกู้เจิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าเป็เวลาดึกมากแล้ว เสิ่นเยี่ยนยังคงอยู่ในตำแหน่งที่เขานั่งเมื่อ่บ่าย ไม่รู้ว่าเขากำลังเขียนอะไรอยู่
ราตรีอันสงัดเงียบ ในที่สุดกู้เจิงก็ปะติดปะต่อเื่ราวที่เกิดขึ้นได้
ทุกการกระทำขององค์ชายสามล้วนอยู่ในสายตาของเสิ่นเยี่ยนและตวนอ๋อง เช่นนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็เป็สิ่งที่คาดการณ์ได้ ดังนั้นเสิ่นเยี่ยนถึงให้องครักษ์เงาของตวนอ๋องมาคอยคุ้มครองนาง ใครจะรู้ว่าองครักษ์เงาเ่าั้พอเห็นองค์ชายสิบสองมีภัยก็สลัดนางทิ้งเสียอย่างนั้น
เสิ่นเยี่ยนโกรธจนต้องเขียนฎีกาโดยบอกเล่าเื่ราวให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ฮ่องเต้รู้สึกว่าเสิ่นเยี่ยนเป็คนมีความสามารถ ทั้งยังช่วยตวนอ๋องกับองค์หญิงสิบเอ็ดไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเลื่อนขั้นจากขั้นหกกลายเป็ขั้นสอง
นางหลับไปตื่นหนึ่ง ก็กลายเป็ฮูหยินขั้นสองแล้วงั้นหรือ?